ใช้เวลาไม่นาน ขึ้นรถไฟจากโอซาก้ามาเกียวโต ทันทีที่ถึงสถานี เราทำตามสูตรเดิม คือนำกระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรม และไปที่อื่นกันก่อนจะถึงเวลาเช็คอิน ครั้งนี้เราเลือกพักที่ Hotel Kanra ซึ่งอยู่ห่างออกมาจากสถานีเกียวโตประมาณ 10 นาที(รถยนต์) ซึ่งทำให้ต้องนั่งแท็กซี่ในการเดินทางไป แต่ก็แลกกันด้วยที่พักที่ตั้งใจอยากจะมา
Hotel Kanra เป็นโรงแรมที่ได้แรงบันดาลใจมากจากบ้านสไตล์ มาชิยะ(Machiya) ซึ่งเป็นสไตล์ของบ้านทาวน์โฮมญี่ปุ่นในยุคก่อน (ลองนึกภาพ “เรียวกัง” แต่เป็นในลักษณะของบ้านสองชั้นมากกว่าโรงแรม มีองค์ประกอบคล้ายๆ กัน เช่น โครงสร้างและวัสดุส่วนใหญ่ที่ทำขึ้นจากไม้ หลังคากระเบื้องสีดำ เสื่อทาทามิ ประตูโชจิ) ส่วนใหญ่จะมี 2 ชั้น ชั้นล่างจะทำเป็นร้านค้าและชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งมีเยอะในเกียวโต และถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองนี้
ซึ่งโรงแรมก็นำมาผสมกับความโมเดิล โมเดิลจนตอนแรกผมหาทางเข้าไม่เจอ พอมาถึงหน้าโรงแรม แคทซังก็ใช้เทคนิคเดิมคือให้ผมเป็นคนไปบุกเบิกเส้นทาง มองจากตรงหน้าจะเจอหน้าต่างขนาดใหญ่ ซึ่งจะเห็นเป็นร้านขายของที่ระลึก แต่พอผมเดินลงบันไดไป 1 ชั้น แทนที่จะเป็นทางเข้ากลับเจอกำแพง ผมเลยเดินลงไปอีก 1 ชั้น แต่ก็เจอร้านอาหาร ผมเดินขึ้นเดินลง 2 รอบเพื่อหาทางเข้า
สรุป ทางเข้าคือตรงกำแพงนั่นแหละ มันไม่ใช่กำแพงแต่เป็นประตูไม้ขนาดใหญ่ ที่ต้องเดินเข้าไปใกล้ ๆ ถึงจะเลื่อนเปิดแบบอัตโนมัติทั้งบาน
(ทางเข้า Hotel Kanra)
พอเข้ามาได้ก็นำกระเป๋ามาฝากไว้แล้วก็กลับออกมา สถานที่แรกที่เราจะไปคือร้านที่ผมเลือกเอง (ทริปนี้มีที่ผมเลือกอยู่ประมาณไม่เกิน 4 อย่างได้) ร้านอาหารฝรั่งเศสสุดลับ(และเล็ก) Le Cafe de Benoit
มีอันนี้มาด้วย เป็นเหมือนลูกฟิกในน้ำเชื่อมโฮมเมด (เดาเอาว่าเขาทำเอง พอกินผลไม้หมด แกบอกว่าให้เติมน้ำแข็งลงไปกินกับน้ำเชื่อมต่อ) ซึ่งอร่อยมาก ผลไม้อร่อย น้ำเชื่อมก็หวานกำลังดี
เซ็ทอาหารเช้าที่ผมสั่ง ขนมปังอร่อยดี พอกำลังจะเอาปากกัด เธอ(เจ้าของร้าน)ก็เดินมาบอกอีกว่าสามารถกินได้ 4 แบบ ( กินด้านที่มีแต่แยม กินด้านที่มีแต่เนย กินผสมกัน เอาขนมปังที่เหลือจิ้มกาแฟ) ไอ้เรากำลังหิวแต่ก็ลองทำตามดู ทุกด้านอร่อยหมดยกเว้นตอนจิ้มกาแฟ)
(คาเฟ่สวย ๆ มีด้านหลังเป็นวิวคลอง)
(เป็ดไหว้น้ำได้)
(ส่วนร้านนี้อยู่ทางด้านซ้ายของถนน ผมถ่ายรูปเฉย ๆ ไม่ได้เข้าไปนะ)
(ลายแกะสลักที่ลึกลับตัดกันกับป้ายชื่อร้านที่ดูน่ารัก)
(แคทซังสั่งเมนูฮิตของร้าน เป็นเจลลี่หลากสีในน้ำโซดาใส่มะนาว)
(ผมสั่งกาแฟ)
(เสาตรงทางเข้า เท่มาก)
(ร้านนี้แคทซังลิสต์เอาไว้ บังเอิญเจอเลยแวะเข้าไป)
(เจอร้านดองบ๊วยกับเหล้าเป็นไม่ได้)
ถึงเวลาเช็คอิน เข้าไปนั่งตรงเคาร์เตอร์ พนักงานต้อนรับผู้ชายมาดนิ่ง(แต่เป็นกันเอง) คุยกับเราด้วยน้ำเสียงที่เรียบ ๆ แต่มีความตั้งใจ ถามเรื่องจำนวนวันที่จะมาพัก และบอกเราในเรื่องทั่วไปของการเข้าพัก เช่น สิ่งอำนวยความสะดวก ห้องอาหาร กุญแจที่จะได้(เป็นกุญแจแบบยุคเก่า) หลังจากพูดคุยเรื่องที่พักเขาชวนเราคุยถึงเรื่องเกี่ยวกับเกียวโต ว่าเราจะไปไหน ทำอะไรบ้าง และก็แนะนำร้านให้กับเรา (แคทซังจดเอาไว้บ้าง) เขาประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าเธอรู้จักร้านต่าง ๆ เยอะ พอผมบอกว่าแคทซังเตรียมตัวมาอย่างดีและพูดภาษาญี่ปุุ่นได้นิดหน่อย(เพราะเรียนมา) เขาก็เริ่มคุยกับแคทซังเป็นญี่ปุ่น(เป็นคำง่าย ๆ ให้เธอได้ลองพูด) สักพักก็เดินมาแนะนำร้านขายของ/ที่จัด workshop ที่อยู่ด้านหน้าของโรงแรม มีของจำพวกเครื่องปั้นดินเผา เครื่องชาม ที่ขึ้นชื่อในแถบนี้ ทำออกมาในแนวร่วมสมัย มีมุมสำหรับ Workshop ทำ Kintsugi เพื่อซ่อมแซมเครื่องปั้นที่แตกหัก
(สวนหินเล็ก ๆ หน้าทางเข้าห้อง)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in