รถแล่นฉิวไปตามทางหลวงแพนอเมริกันไฮเวย์ สองข้างทางเป็นทะเลทรายเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา
เขาเอื้อมมือไปสะกิดปลุกคนข้างตัวที่กำลังหลับ แผนที่ในมือหมิ่นเหม่จะหลุดมิหลุดแหล่สะบัดโยกไปมาตามจังหวะของรถ คนกำลังหลับขยับยุกยิก หาวหวอดพร้อมยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ ปลายมือยกขึ้นปัดชนเข้ากับแผงบังแดดที่เขากางออกให้กับคนกำลังหลับตั้งแต่ช่วงบ่าย แผนที่เกือบจะร่วงลงพื้นแต่เจ้าตัวคว้าเอาไว้ได้ทันท่วงทีก่อนจะหันมายิ้มให้เขาทั้งๆ ที่ตาข้างหนึ่งยังไม่ค่อยจะลืมเต็มที่ “โทษทีนะ เผลอหลับซะได้”
เขาพยักหน้า มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย อีกข้างเอื้อมไปจะพับบังแดดเก็บให้ “ไม่เป็นไร ถือว่าได้พักหู” คนข้างตัวตีมือเขาออกจะแรงไปนิดสำหรับการส่งภาษากายว่าจะพับเก็บเอง เขาหัวเราะเบาๆ มือขยับกลับมาจับพวงมาลัย
“จอดพักก่อนมั้ย” คนข้างกายถามหลังตื่นเต็มตา อาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเนินทราย สะท้อนแสงสีส้มหลากหลายเฉดพร้อมเหลี่ยมเงามืดตัดกัน สองข้างทางเริ่มมืดลงแล้ว
“หิวรึยัง” เขาถามกลับ ในรถยังมีขนมปังอยู่ “ไม่ค่อย แต่ก็กินได้” เป็นเสียงท้องของเขาเองที่ร้องราวจะประท้วง อีกฝ่ายหัวเราะ ก่อนจะก้มลงดูแผนที่ในมือ “พักจอดก่อนเถอะ อีกตั้งพักใหญ่ๆ กว่าจะถึงเมืองไม่ใช่หรือ”
เขายังคงขับต่อไปอีกซักพักก่อนจะหยุดจอดตามที่ว่า อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้ครู่ใหญ่ แทนที่ด้วยแสงนวลจากดวงจันทร์ครึ่งดวง ส่องล้อกับเนินทรายเป็นสีขาวเย็นตา ท่ามกลางเนินทราย แสงจันทร์ส่องให้เห็นบางสิ่งขาวโพลนโผล่ตะคุ่มระเกะระกะอยู่เป็นระยะ
"Cello ballena" คนข้างๆ เปิดประตูรถเดินลงไป
“สุสานวาฬ” เขากล่าวเสริมอีกฝ่าย มือแกะห่อขนมปังไปพลางๆส่งเข้าปากตัวเอง ก่อนจะเดินไปยื่นให้อีกฝ่ายที่กำลังก้มๆเงยๆ ดูซากดึกดำบรรพ์ตรงหน้าใกล้ๆ
“ทำไมถึงอยากมาที่นี่นัก” เขาถาม อีกฝ่ายหันกลับมาหยิบอาหารเข้าปากเคี้ยว ราวจะใช้เวลาหยุดพิจารณาหาคำตอบ "ก็อยากเห็น" ทางนั้นตอบหลังใช้เวลาเคี้ยวกลืนอยู่ครู่หนึ่ง "ซากกาลเวลาจากท้องทะเลในอดีต ที่รวมตัวกันอยู่ท่ามกลางพื้นดินปัจจุบัน" มือหยิบอีกชิ้นหนึ่ง "เผื่อจะเข้าใจทั้งสองอย่างให้มากขึ้น"
เขาส่งกระติกน้ำให้ “เอาง่ายๆก็ซากวาฬกับตัวอะไรต่อมิอะไรที่โดนพิษสาหร่ายจนตาย แล้วก็โดนซัดมาติดฝั่ง”อีกฝั่งทำหน้าเหมือนจะพูดอะไร หากแต่ติดที่ปากไม่ว่าง “จะยุคไหนก็โดน algae bloom เหมือนกันหมด”
“หลุมศพปลาวาฬ” คนข้างๆ พูดหลังจากกลืนอาหารลงคอไปแล้ว มือรับกระติกน้ำ “ขอบคุณ”
“ไหนว่าฟังแล้วไม่รู้เรื่อง” เขาตอบ ยังจำได้ถึงสมัยที่เพลงนี้เพิ่งออกมาได้ไม่นาน ซึ่งประจวบเหมาะเป็นช่วงที่เขากำลังสับสนกับชีวิต สารภาพว่าฟังไปทั้งเพลงแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็เข้ากันได้กับสมองที่กำลังกลวงโบ๋จากงานประจำ ถึงจะยังไม่เห็นดวงตาในดวงตา แต่รู้ตัวอีกที เขาก็ฮัมเพลงนี้ได้ไปแล้ว ผิดกับคนข้างๆที่นั่งฟังเพลงนี้ไปครั้งเดียวก็บ่นว่าไม่เข้าใจและไม่เคยฟังเพลงนี้อีกเท่าที่เขาเห็น แต่กลับหาข้อมูลมากมายเพื่อมาอธิบายเนื้อเพลง
อีกฝ่ายส่งกระติกน้ำกลับมาให้ “กาลเวลามันคือชัยชนะของความพ่ายแพ้ ท่อนนี้ฟังดูดี” หันไปมองซากวาฬอีกตัวที่เล็กกว่า โบกมือปฏิเสธขนมปังที่เขายื่นให้อีกชิ้น “พอแล้ว เดี๋ยวกินไม่อิ่มหรอก”
เขายัดชิ้นขนมปังในมือเข้าปากตัวเอง “นึกว่าจะชอบท่อนที่ว่า‘ความเที่ยงแท้คือปัญญา กาลเวลาคงบุบสลายไป’ ”
“นั่นก็ด้วย แต่ไม่เด็ดขาดเท่า” คนข้างๆ ตอบ “อีกอย่างฉันยังไม่เข้าใจ หรือไม่ก็อาจจะยังกลัวที่จะเข้าใจ ‘ความจริง’ ที่ว่า”
เขาเอาถุงขนมไปเก็บที่รถ ก่อนจะเดินกลับมาหาคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงวาฬโบราณ อีกฝ่ายหันมาหา “เดี๋ยวต่อไปขับให้นะ”
“อืม เดินเล่นกันก่อนก็ได้” เขาตอบ ออกเดินไปท่ามกลางซากดึกดำบรรพ์ มือโอบไหล่คนข้างตัวไว้ ดึงให้โน้มเข้ามา
“ปลาดาวซบปลาหมึกกลางฝูงห่าน”เขากระซิบบอกอีกฝ่าย
คนข้างตัวเขาหันไปมองเนินทราย ก่อนตอบกลับมาด้วยเสียงอันเบา“ฝูงวาฬต่างหาก”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in