เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
fictober 2018sleepy cat
12. whale มาเคารพหลุมศพปลาวาฬ
  • รถแล่นฉิวไปตามทางหลวงแพนอเมริกันไฮเวย์ สองข้างทางเป็นทะเลทรายเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยลงต่ำ พวกเขาเข้าสู่เขตทะเลทรายอาตากามาของชิลีกันได้ครู่ใหญ่แล้ว หลังจากที่ขับรถกันมาหลายวัน

    เขาเอื้อมมือไปสะกิดปลุกคนข้างตัวที่กำลังหลับ แผนที่ในมือหมิ่นเหม่จะหลุดมิหลุดแหล่สะบัดโยกไปมาตามจังหวะของรถ คนกำลังหลับขยับยุกยิก หาวหวอดพร้อมยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ ปลายมือยกขึ้นปัดชนเข้ากับแผงบังแดดที่เขากางออกให้กับคนกำลังหลับตั้งแต่ช่วงบ่าย แผนที่เกือบจะร่วงลงพื้นแต่เจ้าตัวคว้าเอาไว้ได้ทันท่วงทีก่อนจะหันมายิ้มให้เขาทั้งๆ ที่ตาข้างหนึ่งยังไม่ค่อยจะลืมเต็มที่ “โทษทีนะ เผลอหลับซะได้”

    เขาพยักหน้า มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย อีกข้างเอื้อมไปจะพับบังแดดเก็บให้ “ไม่เป็นไร ถือว่าได้พักหู” คนข้างตัวตีมือเขาออกจะแรงไปนิดสำหรับการส่งภาษากายว่าจะพับเก็บเอง เขาหัวเราะเบาๆ มือขยับกลับมาจับพวงมาลัย  

    “จอดพักก่อนมั้ย” คนข้างกายถามหลังตื่นเต็มตา อาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเนินทราย สะท้อนแสงสีส้มหลากหลายเฉดพร้อมเหลี่ยมเงามืดตัดกัน สองข้างทางเริ่มมืดลงแล้ว

    “หิวรึยัง” เขาถามกลับ ในรถยังมีขนมปังอยู่ “ไม่ค่อย แต่ก็กินได้” เป็นเสียงท้องของเขาเองที่ร้องราวจะประท้วง อีกฝ่ายหัวเราะ ก่อนจะก้มลงดูแผนที่ในมือ “พักจอดก่อนเถอะ อีกตั้งพักใหญ่ๆ กว่าจะถึงเมืองไม่ใช่หรือ”

    เขายังคงขับต่อไปอีกซักพักก่อนจะหยุดจอดตามที่ว่า อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้ครู่ใหญ่ แทนที่ด้วยแสงนวลจากดวงจันทร์ครึ่งดวง ส่องล้อกับเนินทรายเป็นสีขาวเย็นตา ท่ามกลางเนินทราย แสงจันทร์ส่องให้เห็นบางสิ่งขาวโพลนโผล่ตะคุ่มระเกะระกะอยู่เป็นระยะ

     "Cello ballena" คนข้างๆ เปิดประตูรถเดินลงไป

    “สุสานวาฬ” เขากล่าวเสริมอีกฝ่าย มือแกะห่อขนมปังไปพลางๆส่งเข้าปากตัวเอง ก่อนจะเดินไปยื่นให้อีกฝ่ายที่กำลังก้มๆเงยๆ ดูซากดึกดำบรรพ์ตรงหน้าใกล้ๆ

    “ทำไมถึงอยากมาที่นี่นัก” เขาถาม อีกฝ่ายหันกลับมาหยิบอาหารเข้าปากเคี้ยว ราวจะใช้เวลาหยุดพิจารณาหาคำตอบ "ก็อยากเห็น" ทางนั้นตอบหลังใช้เวลาเคี้ยวกลืนอยู่ครู่หนึ่ง "ซากกาลเวลาจากท้องทะเลในอดีต ที่รวมตัวกันอยู่ท่ามกลางพื้นดินปัจจุบัน" มือหยิบอีกชิ้นหนึ่ง "เผื่อจะเข้าใจทั้งสองอย่างให้มากขึ้น"  

    เขาส่งกระติกน้ำให้ “เอาง่ายๆก็ซากวาฬกับตัวอะไรต่อมิอะไรที่โดนพิษสาหร่ายจนตาย แล้วก็โดนซัดมาติดฝั่ง”อีกฝั่งทำหน้าเหมือนจะพูดอะไร หากแต่ติดที่ปากไม่ว่าง “จะยุคไหนก็โดน algae bloom เหมือนกันหมด”

    “หลุมศพปลาวาฬ” คนข้างๆ พูดหลังจากกลืนอาหารลงคอไปแล้ว มือรับกระติกน้ำ “ขอบคุณ”

    “ไหนว่าฟังแล้วไม่รู้เรื่อง” เขาตอบ ยังจำได้ถึงสมัยที่เพลงนี้เพิ่งออกมาได้ไม่นาน ซึ่งประจวบเหมาะเป็นช่วงที่เขากำลังสับสนกับชีวิต สารภาพว่าฟังไปทั้งเพลงแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็เข้ากันได้กับสมองที่กำลังกลวงโบ๋จากงานประจำ ถึงจะยังไม่เห็นดวงตาในดวงตา แต่รู้ตัวอีกที เขาก็ฮัมเพลงนี้ได้ไปแล้ว ผิดกับคนข้างๆที่นั่งฟังเพลงนี้ไปครั้งเดียวก็บ่นว่าไม่เข้าใจและไม่เคยฟังเพลงนี้อีกเท่าที่เขาเห็น แต่กลับหาข้อมูลมากมายเพื่อมาอธิบายเนื้อเพลง

    อีกฝ่ายส่งกระติกน้ำกลับมาให้ “กาลเวลามันคือชัยชนะของความพ่ายแพ้ ท่อนนี้ฟังดูดี” หันไปมองซากวาฬอีกตัวที่เล็กกว่า โบกมือปฏิเสธขนมปังที่เขายื่นให้อีกชิ้น “พอแล้ว เดี๋ยวกินไม่อิ่มหรอก”

    เขายัดชิ้นขนมปังในมือเข้าปากตัวเอง “นึกว่าจะชอบท่อนที่ว่าความเที่ยงแท้คือปัญญา กาลเวลาคงบุบสลายไป

    “นั่นก็ด้วย แต่ไม่เด็ดขาดเท่า” คนข้างๆ ตอบ “อีกอย่างฉันยังไม่เข้าใจ หรือไม่ก็อาจจะยังกลัวที่จะเข้าใจ ความจริง’ ที่ว่า”

    เขาเอาถุงขนมไปเก็บที่รถ ก่อนจะเดินกลับมาหาคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงวาฬโบราณ อีกฝ่ายหันมาหา “เดี๋ยวต่อไปขับให้นะ”

    “อืม เดินเล่นกันก่อนก็ได้” เขาตอบ ออกเดินไปท่ามกลางซากดึกดำบรรพ์ มือโอบไหล่คนข้างตัวไว้ ดึงให้โน้มเข้ามา

    “ปลาดาวซบปลาหมึกกลางฝูงห่าน”เขากระซิบบอกอีกฝ่าย

    คนข้างตัวเขาหันไปมองเนินทราย ก่อนตอบกลับมาด้วยเสียงอันเบา“ฝูงวาฬต่างหาก”

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in