แปลจาก The tale of the golden cockerel โดย Alexander Pushkin (1834) ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ ยังไม่ทราบผู้แปล จาก https://www.goldencockerel.com/en-us/about-us/how-we-got-the-name.html
ครั้งหนึ่งนานมา ในอาณาจักรอันไกล ยังมีพระเจ้าซาร์ดาดอนผู้เกรียงไกร ซึ่งในวัยเยาว์นั้นพระองค์ทั้งหาญกล้าและโหดเหี้ยม ทรงทำศึกสงครามอันเลวร้ายกับผู้ปกครองอาณาจักรใกล้เคียง แต่เมื่อพระองค์ชราภาพแล้ว ก็อยากพักผ่อนจากสงครามและใช้ชีวิตสงบสุข แต่แล้วผู้ปกครองอาณาจักรใกล้เคียงก็เริ่มตอบโต้พระองค์กลับอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับที่พระองค์เคยทำมาก่อน ดังนั้นเพื่อป้องกันอาณาเขต พระองค์จึงทรงต้องสร้างกองทัพยิ่งใหญ่ ทหารของพระองค์ได้พยายามอย่างหนักหนา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก หากคาดว่าศัตรูจะมาจากทางใต้ กองทัพของพวกเขาก็จะโผล่มาทางตะวันออก หากเตรียมการรับศึกทางบก ผู้รุกรานแสนป่าเถื่อนก็จะยกพลมาทางทะเล พระเจ้าซาร์ดาดอนไม่สามารถจะข่มพระเนตรหลับลงได้ พระองค์กราดเกรี้ยว ชักจะทนไม่ไหว จึงทรงขอความช่วยเหลือจากผู้วิเศษแลโหราจารย์ ส่งผู้นำสารไปเชิญท่านมาที่ท้องพระโรง
ผู้วิเศษเข้ามาใกล้บัลลังก์ของพระองค์ และล้วงไก่ทองคำออกมาจากกระเป๋า "เอาเจ้านกนี่ไป" ผู้วิเศษกล่าวกับพระองค์ "วางมันไว้บนยอดหอคอยที่สูงที่สุด ไก่ของข้าฯ จะป้องกันพระองค์อย่างซื่อสัตย์ ตราบใดที่แผ่นดินยังสงบสุข มันจะนั่งเงียบๆ อยู่บนยอดนั่น แต่เมื่อใดก็ตามที่มีสัญญาณของสงครามจากที่ใด หรือการโจมตี หรือภยันตรายใดๆที่ไม่คาดคิด มันจะโก่งคอขันในทันใด และหันหัวไปยังทิศที่มีอันตรายนั้น"
พระเจ้าซาร์ทรงยินดี และให้คำสัญญากับผู้วิเศษ "เพื่อตอบแทนท่าน" พระองค์ตรัส "ข้าจะตอบแทนความปรารถนาของท่าน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม"
เจ้าไก่ยังคงเฝ้าระวังอาณาจักรจากยอดสูงที่มันอยู่ เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่ามีอันตราย เจ้าทหารยามผู้ซื่อสัตย์นี้จะตื่นขึ้น หันหน้าไปยังทิศนั้นและโก่งคอขัน "เอกอีเอ้กเอ้ก ขอพระเจ้าซาร์ทรงครองราชย์อย่างสงบสุข" และเหล่าผู้ปกครองแว่นแคว้นใกล้เคียงต่างก็ระแวดระวังไม่กล้าก่อสงครามอีก เนื่องจากตอนนี้พระเจ้าซาร์ดาดอนสามารถป้องกันพวกเขาได้จากทุกทิศ
ปีแล้วปีเล่าผ่านไปอย่างสงบสุข เจ้าไก่นั่งเงียบนิ่ง แต่แล้ววันหนึ่ง พระองค์ก็ถูกปลุกด้วยเสียงอันร้ายกาจ "พระเจ้าซาร์ ฝ่าบาท ทรงตื่นเถิด!" ผู้ประกาศสารตะโกน
"มีอะไรรึ" พระองค์ถาม หาวหวอด "ใครอยู่ที่นั่น เกิดอะไรขึ้น" ผู้ประกาศสารตอบ "เจ้าไก่ขันแล้ว ทั้งเมืองกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวและวุ่นวาย" พระองค์ทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง จึงทรงเห็นว่าไก่ได้หันไปทางทิศตะวันออก ไม่มีเวลาให้ชักช้าแล้ว "เร็วเข้า! ไปขึ้นม้า! เร็วอีก เร็วอีก!" พระองค์ส่งกองทัพไปยังทิศตะวันออกที่อยู่ในความดูแลของพระโอรสองค์โต เจ้าไก่สงบลง เสียงวุ่นวายก็เช่นกัน และพระองค์ก็ทรงสงบลงอีกครั้ง
แปดวันผ่านไปโดยไม่มีข่าวสงครามใดๆ ไม่มีใครรู้เลยว่ามีสงครามเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และพระองค์ก็ไม่ได้รับสารอันใดเลย แล้วเจ้าไก่ก็ขานขันอีกครั้ง พระองค์เรียกเหล่าทัพอีกครา และคราวนี้ส่งพระโอรสองค์รองไปช่วยอีกแรง เจ้าไก่ก็เงียบลงอีกครั้ง
เช่นเคย ข่าวเงียบหาย เวลาผ่านไปแปดวันอีกครั้ง ผู้คนในเมืองต่างใช้ชีวิตกันอย่างหวาดหวั่น และไก่ก็ขันอีกครั้ง พระองค์เรียกทัพเป็นครั้งที่สาม และครั้งนี้เสด็จไปยังทางตะวันออกด้วยพระองค์เองโดยไม่รู้เลยว่าจะพบกับอะไร
วันและคืนผ่านไป พวกเขาไม่เจอสัญญาณของการรบราฆ่าฟันอันใด ไม่มีการตั้งค่าย ไม่มีหลุมฝังศพ เวลาล่วงไปเป็นสัปดาห์ และพระเจ้าซาร์ก็ทรงนำทัพเข้าไปในภูเขา ทันใดนั้น ท่ามกลางยอดเขาที่สูงที่สุด พวกเขาแลเห็นกระโจมผ้าไหม ในช่องแคบระหว่างภูเขา เหล่าซากศพของกองทัพที่แตกพ่ายนอนเรียงราย ผู้คนยืนนิ่งอย่างพรั่นพรึงอยู่รอบกระโจมนั้น พระองค์รีบรุดเสด็จเข้าไป ช่างเลวร้ายเหลือเกิน! ที่นั่น พระโอรสทั้งสองพระองค์นอนตายอยู่โดยปราศจากชุดเกราะ คมดาบหันเข้าเตรียมประหัตประหาร ม้าทรงเดินดุ่มไร้จุดหมายอยู่ในพงหญ้าเลอะเลือดที่แหลกราญ พระองค์ทรงร่ำไห้ "ลูกข้า ลูกข้า! เจ้าเหยี่ยวทั้งสองที่ข้าภาคภูมิใจ มาโดนดักในข่ายอันเดียว! ข้าคงจะตายจากความเศร้าเป็นแน่แท้!" ผู้คนต่างโศกสลดไปกับพระเจ้าซาร์ของพวกเขา เสียงร่ำร้องสะท้อนก้องไปในขุนเขา สั่นสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณ
ทันใด กระโจมไหมก็แหวกออก และสาวน้อยผู้เป็นองค์หญิงแห่งชามาคาน ผู้งามราวกับยามอรุโณทัยก็ปรากฏกายออกมาเข้าเฝ้าองค์ราชา พระองค์นิ่งตะลึงลานไปราวกับนกเค้าแมวต้องแสงอาทิตย์ เพียงโฉมนางก็ทำให้พระองค์หลงลืมการตายของพระโอรสไปสิ้น นางยิ้มให้พระองค์ ค้อมหัว และจูงพระองค์เข้าไปในกระโจม ที่ซึ่งนางให้พระองค์ประทับลงที่หัวโต๊ะ ปรนเปรอพระองค์ด้วยอาหารอันโอชา และให้พระองค์ประทับนอนบนเตียงปูผ้าดิ้นทอง หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปที่พระองค์ประทับอยู่กับนางอย่างลุ่มหลงราวต้องมนตรา
ในที่สุด พระองค์ก็ยาตราทัพกลับเมืองพร้อมกับองค์หญิง ซึ่งข่าวลือทั้งเรื่องจริงเรื่องเท็จก็ได้ระบือไปก่อนหน้าแล้ว ชาวเมืองมาต้อนรับพระองค์ที่ประตูเมือง ส่งเสียงเซ็งแซ่ ทุกคนต่างวิ่งไปหาพระองค์และองค์หญิงในราชรถ ซึ่งพระองค์ก็ทักทายอย่างทั่วถึง และต่อมา พระองค์ก็แลเห็นผู้วิเศษพระสหายเก่าของพระองค์ที่ในเมือง ผู้ซึ่งศรีษะที่โพกผ้าไว้นั้นเด่นอยู่กลางฝูงชนราวกับหัวสีเทาของห่าน "สวัสดี เพื่อนยาก" พระองค์ตรัสเรียก "มาตรงนี้เถิด และบอกข้าว่าเจ้ามีสิ่งใดต้องประสงค์หรือไม่"
"ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท" เขาทูลตอบ "พระองค์ทรงจำได้หรือไม่? ที่สัญญากับข้าฯ ไว้ ว่าเพื่อตอบแทนแล้ว จะทรงประทานสิ่งแรกที่ข้าขอ ดังนั้นข้าจึงขอองค์หญิงชามาคานนี้"
"อะไรนะ!" พระองค์ร้องอย่างตกตะลึง "ปีศาจดลใจเจ้า หรือเจ้าเสียสติไปแล้วอย่างไร เจ้าคิดอะไรอยู่? แน่นอนว่าข้าสัญญากับเจ้า แต่ทุกอย่างก็ต้องมีข้อจำกัดบ้าง และจำไว้ด้วยว่าข้าคือใคร ขอทองคำสักหีบ หรือยศสูงศักดิ์ หรือม้าหลวง หรืออาณาจักรครึ่งหนึ่งของข้าก็ได้!"
"ข้าฯ ไม่ปรารถนาสิ่งใดเหล่านั้นเลย ขอองค์หญิงให้ข้าเถิด" ผู้วิเศษตอบ พระเจ้าซาร์สบถอย่างโกรธเกรี้ยว "ช่างชั่วร้ายอะไรเช่นนี้! เจ้าจะไม่ได้อะไรทั้งนั้น เจ้าแส่หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ นะตาแก่-ลากมันออกไป!"
ชายชราอยากจะเถียงพระองค์ แต่สำหรับบางคนแล้ว การเงียบเสียจะดีกว่า พระองค์ฟาดเขาเข้าที่หน้าผาก ทำให้เขาล้มลง และตาย ฝูงชนสงัดนิ่งไปด้วยความหวาดกลัว แต่องค์หญิงกลับระเบิดหัวเราะออกมาด้วยเสียงแหลมสูง และถึงแม้ว่าพระองค์จะเริ่มรู้สึกหวาดระแวงอย่างมากแล้ว ก็ยังยิ้มให้กับนาง
ในขณะที่พระองค์กำลังเสด็จเข้าไปในเมือง ก็มีเสียงขยับแผ่วเบา และเหล่าชาวเมืองที่ชุมนุมกันอยู่ก็ได้เห็นเจ้าไก่โฉบลงมาจากยอดสูง บินเข้าไปในราชรถไปเกาะอยู่ที่พระเศียรของพระเจ้าซาร์ เจ้าไก่กางปีก จิกเข้าที่พระเศียร ก่อนจะโผบินขึ้นฟ้า และพระองค์ก็ร่วงลงจากราชรถ หายใจเฮือกและสิ้นพระชนม์ไป ในขณะที่องค์หญิงก็ปลาสนาการไปราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่มาก่อน...
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็มีอะไรแอบแฝงสอนใจผู้เยาว์และผู้โหดร้ายอยู่บ้างนั่นแล
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in