คุณเคยเล่นซ่อนแอบไหมครับ ?
สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก การละเล่นที่ผมชอบมากที่สุด คือ “ซ่อนแอบ” และถ้าเลือกได้ ผมมักอาสาเพื่อนๆ ให้ผมรับบทเป็น "คนหา" มากกว่า "คนแอบ" เพราะมันทำให้รู้สึกสนุกตื่นเต้นเร้าใจทุกครั้งกับการ “หา” สิ่งต่างๆในสถานที่ที่เราไม่คาดคิดว่ามันจะอยู่ที่ตรงนั้น
นั่นแหละครับ... ผมไม่รู้ว่ามันเป็นผลทางจิตวิทยา, ปมสมัยเด็ก หรืออะไรก็ตามแต่ เพราะความสนุกสนานจากการเล่นซ่อนหามันถูกเชื่อมโยงไปยังเวลาที่ผมได้เริ่มค้นหา “อะไรบางอย่าง” ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่หายไป ความลับของใครสักคน หรือ ความรู้สึกบางอย่างที่หล่นหาย
และทุกครั้งที่ผมเจอ "ของที่หายไป"
ผมรู้สึกคล้ายว่าผมได้รับความสำคัญจากโลกใบนี้มากขึ้น
ผลจากการเล่นซ่อนหาในวัยเด็ก คงทำให้ผมมีนิสัยเป็นคนชอบสังเกต ค้นคว้า หาความจริง และคำตอบจากสิ่งรอบข้างมาโดยตลอดละมั้งครับ มันคงเป็นนิสัยของผมไปซะแล้ว
“ไม่ใช่หรอก มึงมันคนชอบเสือกต่างหาก”
“การยุ่งเรื่องชาวบ้านมันทำให้มึงรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญใช่ไหมล่ะ”
“ที่เป็นแบบนี้... เพราะตัวมึงไม่มีคุณค่าอะไรจะให้หาไง"
ทริปเปิ้ลคอมโบ!! แม่ม!! “ไอ้ฟิวส์” เพื่อนสนิทของผมมาตอกตะปูปิดฝาโลกแห่งความสวยงามทุกที เมื่อไรก็ตามที่มันเห็นผมชอบค้นหาความจริง ไปยุ่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ คนโน้นคนนี้ แล้วรีบมาเล่าให้มันฟัง มันจะตอกย้ำผมด้วย 3 ประโยคนี้ซ้ำๆ
จนบางทีผมก็คิดเหมือนกันนะว่า เอ๊ะ.. หรือว่าเราจะเป็นคนชอบเสือกจริงๆ เอาเป็นว่าไว้มีโอกาสเมื่อไร ผมจะมาเขียนเล่าวีรกรรมของผมกับไอ้ฟิวส์ให้คุณฟังละกันนะครับ
กลับมาที่เรื่องของเรากันต่อดีกว่า...
ระหว่างที่ผมกำลังผึ่งสมุดเล่มนั้นอยู่ (หรือควรจะเรียกว่าตากดี?) ผมเริ่มสังเกตเห็นถึงความหนาของกระดาษแต่ละแผ่นที่ไม่เท่ากัน กระดาษบางแผ่นเหมือนถูกแปะประกบกันอยู่ด้วยกาวหรืออะไรสักอย่าง มิน่าล่ะ มันเลยทำให้ผมรู้สึกแปลกๆเวลาเปิดสมุดเล่มนี้ คงเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความหนาของกระดาษนี่เอง
ผมลองไล่เปิดสมุดทั้งเล่มเรียงไปเรื่อยๆ มีอยู่ 3 ช่วงที่กระดาษถูกประกบติดกันอยู่ ความรู้สึกของสิ่งลึกลับที่เหมือนกำลังจะเล่นซ่อนหากับผมอยู่ ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดๆ แต่ผมควรอดใจรอให้สมุดมันแห้งเสียก่อน แล้วค่อยมาเปิดออกดู เพราะถ้ารีบแกะตอนที่กระดาษเปียกๆแบบนี้ เดี๋ยวถ้ามันขาดขึ้นมา ความสนุกที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมาน่าจะหายไปทั้งหมด
กลางดึกคืนนั้น... ผมตัดสินใจทิ้งสมุดไว้ที่ราวตากผ้า
และกลับมาข่มตาพร้อมกับคิดว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น?
ผมมีสติรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเกือบๆจะเที่ยงวัน แดดที่ร้อนของประเทศนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าอยากจะมีแอร์ติดไว้ที่กางเกงในเสียเหลือเกิน
สิ่งแรกที่ผมทำทันทีหลังจากตื่นนอน คือ รีบวิ่งไปหยิบสมุดเล่มนั้นมาเปิดดู ถึงแม้มันจะยังไม่แห้งสนิทดี แต่น่าจะพอได้แล้วล่ะที่เราจะค้นหาความจริงของมัน มีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นกันนะ - ผมคิดในใจ
หลังจากที่ผมค่อยๆบรรจงฉีกกระดาษที่ประกบกันแผ่นแรกออกดู มันเป็นเหมือนข้อความขนาดยาวที่เขียนไว้ด้วยลายมือตัวบรรจงว่า...
ถึงท่านผู้โชคดีมีลาภและวาสนา,
ขอบอกเป็นวิทยาทานท่านจะได้โชคดีตลอดไป ตำราแก้โรคต่างๆ ป่วยหายจากโรคมะเร็ง โดยไม่คาดคิด ตำรานี้ห้ามนำไปขายหรือคิดเงินแต่อย่างใด เพียงแค่ท่านไปซื้อสิ่งเหล่านี้ที่ร้านยาจีน
1. หัวข่า 3 ตำลึง
2. หัวขิง 3 ตำลึง
3. ก้อนเกลือ 3 ก้อน
เมื่อได้มาแล้วใส่น้ำครึ่งขัน ทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง รับประทาน 4-5 เดือนติดต่อกัน มะเร็งจะหายเป็นปลิดทิ้ง สำหรับผู้ได้รับจดหมายฉบับนี้ให้ลอกตาม ส่งให้เพื่อนฝูงท่าน 29 ฉบับ ภายใน 7 วัน แล้วท่านจะโชคดีไม่มีวันสิ้นสุด และถ้าไม่ถ่ายทอดให้ผู้อื่นรู้จะมีอันเป็นไปทั้งครอบครัวของท่าน
หมายเหตุ:
1. ส.ส. ราชบุรีได้รับจดหมายตำรานี้แล้วไม่บอกใคร ภายใน 5 เดือนต่อมาตัวเองต้องตาย
2. คุณชนะ ศูนย์หนึ่งได้รับจดหมายแล้วส่งต่อ 20 ฉบับ ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1
3. คุณสั่นฯได้รับจดหมายนี้แล้วเก็บไว้ 20 วัน ก็ป่วยกะทันหัน หลังส่งจดหมายก็หายเป็นปลิดทิ้งจึงถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 3 ทำให้ครอบครัวมีความสุข
ถ้าหากท่านได้รับจดหมายแล้วไม่เชื่อไม่ศรัทธาท่านจะเป็นเหมือนผู้หญิงที่รับราชการที่เชียงใหม่ เธอถึงแก่ความตายด้วยโรคหัวใจวายทันที
ลงชื่อ... พระครูวิจิตรธรรมโชติ
แสดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
“เชี่ยยย.. ความลับพ่องงงง” ผมโยนสมุดนั้นลงบนเตียงพร้อมกับสบถออกมา อะไรกันวะเนี่ย ใครมันบ้าเล่นจดหมายลูกโซ่แบบนี้ ปริศนาที่กูค้นหาแม่งหมดความคลาสสิกขึ้นมาทันที นึกแล้วอยากจะตบกบาลแม่มรัวๆ สัก 3 ทีซ้อน
อานิสงส์จากการโยนลงบนเตียง ทำให้สมุดเล่มนั้นเปิดให้เห็นอีกช่วงหนึ่งที่กระดาษถูกประกบติดไว้ ผมหยิบขึ้นมาฉีกออกอีกครั้ง หวังว่าคราวนี้ไม่ใช่จดหมายลูกโซ่นะ ถ้าใช่อีกกูจะเอามึงไปเผาแน่ๆ
มันเป็นข้อความสั้นๆ เขียนด้วยลายมือที่มุมล่างขวาของกระดาษว่า...
ถ้าลูกอยากรู้ความจริงทั้งหมดของพ่อ
จงหาสมุดเล่มที่ซ่อนอยู่หลังตู้หนังสือให้เจอ
ความหงุดหงิดเมื่อตะกี้กลับกลายเป็นความตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่ง!! แล้วตู้หนังสือที่ว่ามันคือตู้ไหนวะ ผมคิดระหว่างเดินไปดูที่ห้องเก็บของ น่าจะเป็นตู้หนังสือของพ่อพวกนี้แหละ
แต่เดี๋ยวก่อนนะ!! กูเพิ่งเก็บหนังสือทั้งหมดในบ้านนี้ลงกล่องเมื่อสองวันก่อน แถมยังแยกบางส่วนออกไปทิ้งเป็นที่เรียบร้อย ส่วนที่เหลืออยู่คือหนังสือที่ขายได้และยังจัดไม่เสร็จบางส่วนที่กองไว้ปนกัน
โอยยยย... แล้วกูจะรู้ป่ะวะว่ามันเป็นเล่มไหนล่ะเนี่ย ตู้ก็ไม่อยู่ หนังสือก็ไม่มีแล้ว ปริศนาครั้งนี้แม่มยากเกินความสามารถของกูไปหรือเปล่า?
คุณเคยตัดสินใจทำงานที่ยากเกินกำลังไหมครับ?
มีหลายครั้งที่ผมตัดสินใจไม่กล้าที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง เพราะคิดว่าตัวเองคงทำไม่ไหว ทั้งๆที่หนังสือ HOW-TO ทั้งหลายมักจะสอนไว้ว่า “ถ้ามีคนให้คุณทำอะไรที่ยากมากๆ มันแปลว่าเขามองเห็นว่าคุณทำได้”
แต่ผมเห็นตัวอย่างจากคนมากมายที่รับงานด้วยความรู้สึกแบบนี้แล้วทำไม่ได้อย่างที่คนเขามองเห็นจริง บางคนคิดว่าตัวเองเก่งมาก ทำงานหนักจะเป็นจะตาย แต่สุดท้ายแล้วไม่มีผลลัพธ์อะไรออกมาเลยสักกะอย่าง สุดท้ายมีแต่ความพังพินาศทิ้งไว้ให้คนจ้างงานดู
เอาจริงๆผมว่าเราอาจจะต้องสำเหนียกตัวเองกันบ้างนะเนี่ย ว่าอันไหนเราทำได้ อันไหนเราทำไม่ได้ เหมือนอย่างที่หนังสือ HOW-TO อีกเล่มบอกไว้ว่า "เป็นปลา อย่าไปฝืนปีนต้นไม้"
การหาหนังสือเล่มนี้ถือเป็นงานที่ยากเกินกำลังสำหรับผม แหม่... ผมจะหาได้ยังไงล่ะ จะให้ไปวิ่งตามรถขยะ หรือ ค้นหนังสือทั้งหมดมาเปิดหาให้ทั่ว คงจะดูไม่ฉลาดสักเท่าไร
ผมยืนมองหนังสือที่กองอยู่เรียงกันสักพัก คิดไปคิดมาเพิ่งนึกออกว่า เอ๊ะ! เรายังเหลือเบาะแสอยู่หนึ่งอย่าง พยานปากเอกคนสำคัญ นั่นก็คือ “แม่” คนนี้นี่เองงงงง
ผมรีบหยิบโทรศัพท์โทรหาแม่ และรัวคำถามใส่อย่างไม่ยั้ง
“แม่ๆ เก่ากำลังเก็บบ้านอยู่ แต่มีเรื่องอยากรู้อ่ะ”
“ว่ายังไงลูก”
“พ่อเค้าเคยมีเขียนหนังสือ บันทึกอะไรบ้างมะ”
“เอ.. แม่เห็นเค้าเขียนหลายครั้งนะ ชอบ เขียนๆเลิกๆ แบบนี้ตลอด”
“แล้วพ่อเค้าเคย ซ่อนหนังสืออะไร หรือแบบทำไรแปลกๆไหม”
“อืม .. ไม่น่าจะมีนะลูก ปกติพ่อเค้าไม่ค่อยมีความลับ”
“อ่า.. แล้วพ่อเค้าเคยมีบันทึกหรือฝากอะไรให้เก่าบ้างไหม”
“ไม่มีนะลูก ถามทำไม มีอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าๆแม่ ไม่มีอะไร พอดีเก็บหนังสืออยู่เลยอยากรู้เฉยๆ”
“แน่ใจนะ? แล้วงานที่แม่สั่งให้ทำ เสร็จหรือยัง”
“สบายๆ จัดไปบางส่วนแล้วแม่ เหลือตั้ง 20 วันนะ”
“แกแน่ใจว่าเสร็จทันนะเจ้าเก่า”
“ครับ”
“โอเค งั้นแม่จะได้สบายใจ”
จากการสอบถามเบาะแสของเราเบื้องต้น ผมคิดดูแล้วเหมือนว่าแม่จะไม่รู้เรื่องของสมุดบันทึกเล่มนี้ ลองวิเคราะห์ดูจากคำพูดของแม่ พ่อของผมน่าจะเป็นคนหยิบหย่งสักเล็กน้อย ทำนองว่าทำอะไรเป็นพักๆ ทำแล้วก็เลิกไป ไม่จริงจัง คิดแล้วก็น่าผิดหวังกับผู้ใหญ่แบบนี้เหมือนกันแฮะ
หลังจากที่เบาะแสแรกไม่ให้ความร่วมมือ ผมเลยตัดสินใจว่า เราคงต้องพยายามที่จะทำเองให้ได้แล้วล่ะ เอาวะ! พลิกดูมันให้เยอะที่สุด เผื่อว่าจะฟลุ๊คเจอขึ้นมา
ผมเริ่มตั้งแต่กองหนังสือที่รอการจัดเรียง ไปถึงกองที่ถูกแพ๊คเข้าลังเป็นที่เรียบร้อย รื้อทุกเล่มมาเปิดดูอย่างละเอียด แต่โชคร้ายเหลือเกินที่ผมหาไม่เจอสักที
เวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่ายแก่ๆ จูนโทรศัพท์มาหาผมอีกครั้ง พร้อมกับถามไถ่ว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะเธอส่งข้อความมาหาแล้วผมไม่ตอบ ดูทรงแล้วน่าจะเป็นห่วงที่ผมหายหัว เอ้ย หายเงียบไปนาน ผมได้แต่ตอบเธอไปว่ากำลังวุ่นกับการจัดหนังสือในบ้านอยู่
“นี่เก่ากินข้าวหรือยัง”
“ยังเลย”
“ทำไมไม่ไปหาอะไรกินล่ะ เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะนะ”
“พอดีมันวุ่นๆเลยลืมไปเลยอ่ะ”
“คนบ้าอะไร ลืมกินข้าว”
“เราเป็นแบบนี้บ่อยอ่ะ แหะๆ”
“งั้นเดี๋ยวเราทำไปให้กินนะ”
“อ่า.. ไม่เป็นไรก็ได้ เดี๋ยวเราหากินเอง”
“โอเค เจอกันนะ บายยย”
“.....”
คุณเคยปฎิเสธอะไรบางอย่างไม่ได้หรือเปล่าครับ?
ถ้าใครรู้จักผมสักนิด จะรู้ว่าผมติดนิสัยขี้เกรงใจคนเอามากๆ แต่บางทีผมคิดว่าจริงๆแล้ว ผมคงเป็นคนที่ไม่กล้าพูดความจริงมากกว่า อยากได้อะไรก็ไม่กล้าบอกเขา จนบางครั้งเราพลาดโอกาสอะไรดีๆในชีวิตไปตั้งเยอะ
ว่าก็ว่าเถอะ... แต่ไอ้นิสัยขี้เกรงใจมันก็มีข้อดีอยู่บ้างตรงที่ว่า เวลามีคนมาทำอะไรให้เรา เราจะไม่กล้าปฎิเสธเพรากลัวเขาจะเสียใจ สุดท้ายเราเลยไม่ได้ทำอะไรที่เราต้องการเสียที โอ๊ะ! สรุปมันดีหรือไม่ดีกันแน่วะเนี่ย
หนังสือ HOW-TO อีกเล่มหนึ่งเขียนไว้ว่า “คนที่ขี้เกรงใจ บางครั้งคือคนที่ไม่กล้ายอมรับความจริง” ซึ่งผมแอบเห็นด้วยอยู่นิดๆ ว่า บางทีการที่เรายอมทำอะไรตามคนอื่นหมด มันอาจจะเป็นเพราะว่า เราอยากตัดปัญหาเวลาที่เกิดความผิดขึ้น ทำนองว่า กูทำตามที่มึงต้องการแล้วนะ ถ้าไม่ดีก็เป็นเพราะมึง อืมมม...
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นมา จูนมาถึงบ้านผมไวโคตรๆ ในมือของเธอมีของกินมาฝาก มันเป็นผัดกะเพราไก่ไข่ดาว อาหารสิ้นคิดสำหรับชีวิตคนเมืองที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี และแน่นอนล่ะ ผมรับมันมาจัดการโดยที่ไม่ต้องรอให้เธอสั่ง
อาหารในกล่องหมดไปอย่างรวดเร็ว ตอนแรกผมตั้งใจจะกินด้วยความเกรงใจ แต่อารมณ์หิวมันพาไปจนทำให้ยัดทุกอย่างเข้าปากหมดภายในเวลาไม่ถึงห้านาที จูนนั่งมองผมกินด้วยแววตาดีใจ
“อร่อยไหมอ่ะ เรารีบทำไปหน่อย”
“อร่อยมากเลย จูน”
ระหว่างที่ผมเอาจานไปล้าง จูนเดินสำรวจบ้านไปเรื่อยๆ เธอดูตกใจเมื่อเห็นสภาพของกองหนังสือในห้องเก็บของ
“โอ้โห นี่ทำอะไรอ่ะ ทำไมเละขนาดนี้”
“อ่อ จัดของอ่ะ หาหนังสือบางเล่มอยู่”
“ให้เราช่วยหาไหม เราหาของเก่งนะ”
“อย่าเลย... เกรงใจจะแย่ แค่ทำข้าวมาให้กินก็พอแล้ว”
ผมลืมสังเกตการแต่งตัวของจูนไปเลย วันนี้เธอใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นดูบ้านๆ รวบผมทั้งหมดไว้ที่หลังศีรษะ ดูแล้วก็น่ารักไปอีกแบบเหมือนกันแฮะ
“แล้วนี่เก่าง้อแฟนได้หรือยัง” จูนถามถึงสถานะของผมกับแฟร์
“ยังเลย เราโทรไปสองสามครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้”
“โห.. น่าสงสารจัง เหงาแย่เลยสินะ”
“ไม่หรอก เราชอบอยู่คนเดียวอ่ะ”
จูนชะงักไปนิดนึงก่อนถามว่า
“นี่บอกแบบนี้ เพราะรำคาญเราใช่ป่ะ”
“ปะปะ เปล่า เราไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
เหมือนเธอจะหน้าเสียไปเล็กน้อย เราคุยกันต่ออีกสักพัก เธอเลยตัดสินใจขอตัวกลับบ้าน ถึงแม้ผมจะรู้สึกผิดที่พูดไม่คิดกับจูนก็ตาม แต่ว่าตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์ที่จะอธิบายให้เธอเข้าใจ เพราะมันมีสิ่งที่ผมกำลังสนใจมากกว่า ... นั่นคือคำตอบว่า สมุดเล่มนั้นมันอยู่ที่ไหน?
ผมตั้งใจกลับไปหามันอีกครั้งหนึ่งในห้องเก็บของ พร้อมกับเรียงหนังสือทั้งหมดให้กลับสู่สภาพเดิมก่อนที่จะรื้อจนเละ ความรู้สึกตอนนี้ของผมเหมือนกำลังย้อนเวลาไปหาอดีตของเมื่อวาน คิดแล้วน่าสมเพชตัวเองเหมือนกันแฮะ
เสียงนาฬิกาที่ผนังบอกเวลาเที่ยงคืนวนมาอีกครั้ง นี่ผมใช้เวลาทั้งวันในการตามหา “สมุด” เล่มเดียว เพราะความอยากรู้ตัวเดียวแท้ๆ
ท้ายที่สุดก็ไม่มีแม้แต่เงาของ "ความจริง" ที่ผมอยากรู้ ผมเลยตัดสินใจอาบน้ำและเข้านอน มันควรจะถึงเวลาตัดใจเสียที บางทีแล้วเราก็ไม่ต้องเสือกทุกเรื่องอย่างที่ไอ้ฟิวส์เคยบอกไว้ก็ได้
ที่เรามาอยู่ที่นี่วันนี้ เรามาเพื่อทำอะไร เพื่อค้นหาตัวเอง ไม่ใช่ค้นหาสมุดบ้าๆเล่มนั้นไม่ใช่เหรอ ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่หลงทาง
คุณเคยทำของหายหรือเปล่าครับ?
ผมอยากบอกว่าช่วงเวลาเลวร้ายที่สุด มันไม่ใช่ตอนที่เราเหนื่อยจากการค้นหา ไม่ใช่ตอนที่หาไม่เจอ ไม่ใช่ตอนที่เรานึกถึงมัน แต่มันเป็นตอนที่เราต้องยอมรับความจริงว่า “ของมันได้หายไปแล้ว” และนั่นคือจุดที่เราจะเสียใจที่สุดกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเรามีหน้าที่ต้องยอมรับมันให้ได้...
สมัยเด็กๆ ผมเป็นคนขี้ลืมมาก มาถึงตอนโตก็ยังไม่หายอยู่ดี ดังนั้นผมเลยมีประสบการณ์ของหายนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผมจำได้ถึงคำที่พ่อเคยบอกผมไว้ว่า “ถ้าสิ่งนั้นมีความสำคัญมากพอ มันจะไม่หายไปจากความทรงจำของเรา”
ในตอนนั้น ผมไม่แน่ใจว่าพ่อหมายความถึงอะไรกันแน่ แต่วันนี้ดูเหมือนผมจะเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ใช่สินะ บางครั้งความทรงจำบางอย่างอาจจะสำคัญกับใครบางคน แต่ไม่มีค่าสำหรับคนบางคน เอาเข้าจริง ผมควรให้ความสำคัญของสมุดเล่มนั้นมากแค่ไหนกันแน่?
ผมหยิบสมุดเล่มนั้นมาดูอีกครั้งหนึ่ง และเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันยังมีอีกกระดาษอีกคู่หนึ่ง ที่ผมยังไม่ได้ฉีกออกดู คงเพราะความตื่นเต้นเมื่อเช้า เลยทำให้ผมลืมคิดถึงมันไปเสียสนิท
คราวนี้ผมเลือกที่จะบรรจงฉีกมันออกช้าๆ กระดาษชุดสุดท้ายนี้ มีข้อความเล็กๆ เขียนไว้อยู่ที่มุมซ้ายบน
ถ้าลูกยังหาสมุดเล่มนั้นไม่เจอ
แปลว่ามันถูกย้ายมาอยู่ที่ลิ้นชักตรงหัวเตียง
ด้วยความตื่นเต้นและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่เชื่อหรอกว่าปริศนาพวกนี้มันจะง่ายขนาดนั้น มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือคนละเรื่องกันก็ได้ ผมเหลือบมองไปที่ลิ้นชักหัวเตียงแล้วเปิดออกดู มันดูฝืดเล็กน้อยเนื่องจากไม่มีการใช้งาน ผมเลยต้องออกแรงมากขึ้นอีกหน่อย จนลิ้นชักหัวเตียงหลุดออกมาเสียงดัง "โผล๊ะ" พร้อมกับแผ่นไม้ที่ติดมือออกมาด้วย
ผมมองดูในซอกลิ้นชักที่พังคามือไปเป็นที่เรียบร้อย ในนั้นมีสมุดอยู่หนึ่งเล่ม หน้าปกสีดำของมันถูกเขียนด้วยลายมือไว้ว่า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in