มึงอ่านหนังสือเยอะขนาดนี้ เมื่อไรจะประสบความสำเร็จสักทีวะ?
เป็นคำพูดกวนตีนที่ทำให้ผมรู้สึกจี๊ดดดดดดดขึ้นมา
---
“ถามหน่อยเหอะ... กูไปเอาหนังสือพ่อมึงมาอ่านหรอวะ?” ผมมองหน้ามันพร้อมกับถามกลับไป - ไอ้ฟิวส์ - จริงๆมันเป็นเพื่อนรักผมครับ แต่ผมชอบเรียกมันว่าเพื่อนแซะ เพราะแม่มแซะผมได้ทุกเรื่อง แนวคิดชีวิต พฤติกรรม ไลฟ์สไตล์ ผมอยากบอกเลยว่าไอ้ฟายนี่แม่มแสบจริงๆ
ไอ้ฟิวส์มันเป็นคนเก่ง หัวดี บ้านรวย แถมหน้าตายังดีอีกต่างหาก มันเป็นคนที่มีชีวิตแตกต่างกับผมโดยสิ้นเชิง แต่โชคชะตาก็ทำให้มันต้องกลายมาเป็นเพื่อนสนิทผมตั้งแต่วันแรกในชีวิตมหาวิทยาลัย เพราะเราอยู่กรุ๊ปรับน้องกรุ๊ปเดียวกัน
“ทำไมมึงถึงมาสนิทกับกูวะ” ผมเคยเอ่ยปากถามมันกลางวงเหล้า
“เชี่ยยยย มึงแม่งไม่รู้อะไรแล้ว กูสนิทกับมึงเพราะกูจะได้ดูดีไง มึงไม่เคยเห็นเรอะ พระเอกหล่อๆมันต้องมีเพื่อนเนิร์ดๆห่วยๆสักคนไว้ช่วยเหลือไงแสส”
"สัส"
"ขอบคุณครับผม"
---
หลายคนชอบบ่นกับผมว่ามันเป็นคนชั่ว คนเลว เพลย์บอยสันดานหมาประจำคณะ แต่เอาเข้าจริงผมว่ามันเป็นแค่คนตรงๆคนหนึ่งเท่านั้น ความกวนตีนของมันไม่มีผลอะไรกับผมสักเท่าไร
มีหลายครั้งที่มันช่วยเหลือผมโดยไม่ได้มองว่าผมด้อยกว่ามัน #เราคือเพื่อนกัน มันบอกกับผมแบบนั้น ครั้งหนึ่งมันเคยลุกขึ้นมาต่อยปากรุ่นพี่ที่มาหาว่าผมเป็นลูกคนจนหวังจะเกาะเอาผลประโยชน์จากไอ้ฟิวส์
“ไอ้เหี้ย รวยจนก็คนเหมือนกัน ทำไมต้องดูถูกกันวะ
รุ่นพี่อย่างมึงกูไม่นับถือให้เสียเวลาหรอกสัส”
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว... มันทำให้ผมรู้สึกว่าเลือกคบเพื่อนไม่ผิดคน ถึงแม้ว่าบางครั้งผมจะต้องคอยเช็คชื่อเข้าเรียนให้มันบ้าง ทำรายงานให้มันบ้าง เอ่อ.. แต่ที่หนักสุดๆ คือ บางครั้งผมต้องเคลียร์สาวๆ เพื่อช่วยสับรางให้มันนี่แหละครับ
“เมื่อไรมึงจะหยุดสักทีวะ” ผมเคยถามมันหลังจากสาวคนที่สามของมันเดินมาตบหน้ากลางโรงอาหาร
“ถ้ากูเจอคนที่ใช่เมื่อไร กูจะหยุดทันที” มันตอบผมอย่างไม่แยแส
"มันมีด้วยเหรอวะ คนที่ใช่"
"มึงไม่เข้าใจความรักหรอก เบบี๋"
---
“แฟร์ ... เราขอโทษ ... เรารักแฟร์นะ”
เสียงในโทรศัพท์นั้นมันช่างเป็นเสียงที่ผมคุ้นเหลือเกิน
---
แต่จะว่าไปแล้ว ความดีอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ผมซึ้งบุญคุณไอ้ฟิวส์มากๆ นั่นคือการที่มันช่วยให้ผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักทีครับ แฟนสุดที่รักของผม “แฟร์” ที่ผมจีบเธอติดก็เพราะมันช่วยนี่แหละ
ตอนแรกดูเหมือนว่ามันจะสนใจเธออยู่บ้าง แต่พอมันได้ลองไปคุยสักพัก มันดันบอกว่า "ไม่เอาดีกว่าว่ะ กูไม่ชอบแนวลูกคุณหนู" ผมคิดเองว่ามันคงแพ้ทางกันยังไงสักอย่าง และนั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมกล้าเอ่ยปากถามมันอย่างหน้าด้านๆว่า
“งั้นถ้ามึงไม่จีบ กูจีบแฟร์ได้ป่ะ”
“เอ้าไอ้ห่านนนนน นี่มึงชอบแฟร์หรอวะ มาๆๆกูจัดให้"
ด้วยคำแนะนำและเทคนิคจีบสาวชั้นครูของมัน ทำให้ผมได้เป็นแฟนกับแฟร์ได้ทั้งที่ยังอยู่ปีหนึ่ง คิดดูสิครับ!! คนธรรมดาๆ อย่างผมเนี่ยนะ จะสามารถจีบแฟร์ที่เป็นดาวคณะได้เหรอ? ไม่อยากจะคิดเลยล่ะครับ
“ต่อไปมึงเรียกกูว่าโค้ชฟิวส์ ผู้หิวความรักได้เลยสัส”
มันพูดกวนตีนหลังจากที่ได้ยินข่าวดีของผม
---
หลังจากที่ขึ้นเรียนชั้นปีสาม ผมกับมันก็เริ่มห่างๆกันไป เพราะว่าเราเลือกกันคนละสาขา มันเลือกเรียนแนวเทคโนโลยี ส่วนผมขอยืนยันอยู่กับสายทฤษฏีต่อไป ส่วนแฟร์แฟนสาวสุดที่รักของผม ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอเลือกเรียนสาขาเดียวกันกับมัน
“เดี๋ยวกูดูแลเมียมึงให้เอง รับรองไม่มีใครกล้าจีบ มึงอย่าลืม กูใคร กูโค้ชฟิวส์ เลิฟกูรูยู้ฮูมีไลน์มั้ย” มันบอกผมแบบนั้นตอนที่รู้ตัวว่ามันต้องเรียนสาขาเดียวกันกับเธอ
---
“แฟร์ๆๆ แฟร์อย่าเพิ่งวางสายนะ แฟร์ฟังเราก่อน”
เสียงคุ้นเคยเสียงนั้นยังคงอ้อนวอนปลายสาย
คุณคงเดาถูกใช่ไหมครับว่าปลายสายเป็นใคร
ครับ.. ไอ้ฟิวส์เพื่อนรักของผม
---
ตอนขึ้นปีสี่ สาขาที่ผมเรียนอยู่ส่งผมไปฝึกงานที่บริษัทบัญชียักษ์ใหญ่ ทำให้ผมไม่มีเวลาว่างพอที่จะดูแลแฟร์เหมือนเดิม ยังดีที่ได้ไอ้ฟิวส์มาช่วยดูแลเธอแทนผม
มีอยู่ช่วงนึง ผมสังเกตว่ามันดูไม่ค่อยเต็มใจจะดูแลเธอสักเท่าไร แต่ลองถามแฟร์ดู เธอก็บอกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ เอาจริงๆ ผมยังแอบคิดว่าเหมือนเธอจะโอเคกับมันเสียด้วยซ้ำ
“ช่วงนี้มึงเป็นไรป่ะ มีอะไรไม่สบายใจก็บอกกูได้นะ เรื่องสาวเหรอ”
“เฮ้ย กูสบายดีๆ ไม่มีไรเล้ยยมึง”
“หลังๆเห็นแฟร์บอกว่ามึงไม่ค่อยจีบสาวแล้วเหรอวะ”
“เออ กูเหนื่อยๆ น่ะ โตแล้วมั้งมึง ฮ่ะๆๆ”
---
“ฟิวส์ นี่กูเอง”
“.....”
เสียงปลายสายที่กำลังร้อนรนอยู่
เงียบเสียงลงเพียงแค่ชั่วอึดใจ
---
วันรับปริญญา ผมเดินไปกอดมัน
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะมึง“
มันกอดผมกลับ, ตบไหล่แล้วบอกว่า
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม มึงจะเป็นเพื่อนรักของกูตลอดไป”
---
ผมวางสายโทรศัพท์หลังจากที่พูดอะไรบางอย่างกับฟิวส์เสร็จ หลังจากนั้นค่อยหยิบมือถือเครื่องนั้นใส่ไว้ในกระเป๋าของแฟร์เหมือนเดิม และทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมเดินไปปิดไฟ ล้มตัวลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่ตัวเดิม ผมไม่ได้ตั้งใจจะนอนหลับหรอกครับ แต่อยากอยู่เงียบๆเพื่อคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะให้คำตอบกับแฟร์ในตอนเช้า
---
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมจัดอาหารเช้าแบบง่ายๆ เตรียมไว้ให้ผมกับแฟร์ เก้าโมงตรงเธอเปิดประตูเดินลงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีสัญญานตอบรับใดๆให้กับผมสักคำ ผมนั่งมองเธอกินอาหารพลางจิ้มโทรศัพท์ไปพลางสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากว่า
“แฟร์”
“มีอะไร”
“เก่าว่า เราเลิกกันเถอะ” เธอเงยหน้ามองผมแบบไม่เชื่อสายตา...
“ทำไมเก่าทำแบบนี้ แล้วเวลา 5 ปีที่เราคบกันมันไม่มีความหมายเลยเหรอ เก่าไม่สงสารแฟร์บ้างเหรอ เก่า..”
“มันไม่มีความหมายตั้งแต่แฟร์คบกับฟิวส์แล้วล่ะ”
หลังจากผมพูดประโยคนี้ไป เธอชะงักไปแป๊บนึง เหมือนเธอจะตกใจมาก แต่ผมไม่รอให้เธอเถียงอะไรออกมาหรอกครับ ผมตัดสินใจพูดประโยคต่อไปอย่างรวดเร็ว
“เก่ารู้ทุกอย่างหมดแล้ว เมื่อคืนเก่าคุยกับไอ้ฟิวส์แล้ว
แฟร์ไม่น่าลืมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นไปด้วยเลยนะ”
ตั้งแต่คบกันมา 5 ปี
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าสีหน้าของเธอช่างดูน่าสงสาร
---
ช่วงสายของวันนั้น... แฟร์ลากกระเป๋าออกจากบ้านผมไปแล้ว เธอไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวคำลา มันเป็นการยุติความสัมพันธ์ที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด
ในแง่หนึ่ง... ผมรู้สึกว่าเหมือนโชคชะตากำลังตั้งใจเล่นตลกอะไรบางอย่างกับชีวิตผม มันคงเป็นทดสอบของชีวิตที่ส่ง “ความจริง”มาให้ผมได้เรียนรู้มัน
ถ้าเป็นช่วงก่อนหน้านี้ ผมคงร้องไห้คร่ำครวญหาความรับผิดชอบจากเพื่อนและคนรัก แต่มาถึงตอนนี้ ผมแค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ และทำความเข้าใจกับความจริงที่เกิดขึ้นเพียงลำพัง
---
ลูกรัก,
พ่อไม่แน่ใจว่าลูกเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ในโลกนี้มีความจริงอยู่ 2 อย่าง นั่นคือ จริงของมึง กับ จริงของกู” บ้างหรือเปล่า พ่อคิดว่าคำพูดนี้สะท้อนอะไรบางอย่างไว้ในนั้นได้ดีทีเดียวล่ะ
ถ้าหากเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้สึก
มันไม่เรื่องไหนหรอกที่เป็นความจริงสมบูรณ์แบบ
เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า... เรายืนมองมันด้วยสายตาแบบไหน มองผ่านสายตาของเราหรือสายตาของเขา หรือ มองข้ามไปทั้งหมดด้วยสายตาของคนที่ไม่ใช่ทั้งเราและเขา
ส่วนอีกคำหนึ่งที่ได้ยินบ่อยไม่แพ้กันอย่าง “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดจะตายเพราะความจริง” พ่อกลับมองว่า ถ้าเราเลือกเอาความจริงมาตัดแต่งผ่านมุมมองของเรา เราจะรู้ว่าแม้แต่ความจริงแบบเดียวกันในสายตาของเรา มันยังมีมุมมองอีกหลายๆชุดของความจริงซ่อนอยู่ในนั้น และเรานั่นแหละจะตัดสินใจเชื่อมันแบบไหน?
ถ้าใครสักคนเลือกที่จะพูดความจริง สิ่งที่เขาจะต้องระวังให้มาก คือ เขาอาจจะตายด้วยความเชื่อของคนฟัง แต่มั่นใจเถอะว่า เขาไม่มีทางตายเพราะความจริงนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง
ท้ายที่สุดแล้ว...
ความจริงจะทำให้เราเจ็บปวดที่สุด
ในตอนที่เรายอมรับว่ามันเป็นความจริง
---
ความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมในตอนนี้ มันจริงเสียยิ่งกว่าจริงเสียอีก ตั้งแต่ ลาออกจากงาน - ถูกแฟนทิ้ง – เพื่อนหักหลัง – คนที่อยากจะรักก็จากไป – ตัวเองไม่มีอะไรสักอย่าง ความรู้สึกของผมในตอนนี้คือไอ้ขี้แพ้สมบูรณ์แบบแล้วสินะ
สิ่งเหล่านั้นมันคือความจริงที่ผมจะต้องยอมรับมันเสียที ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม และผมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มันเกิดขึ้นมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะใครคนใดคนหนึ่ง หมดเวลาเสียทีที่จะมองหาคนผิดมารับความผิดที่เกิดขึ้น
ตอนนี้ผมรู้แค่อย่างเดียวว่า
ชีวิตต่อจากนี้ของผมต้องเดินต่อไปข้างหน้า
เราต้องพัฒนาตัวเองไม่ให้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
นั่นคือสิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนี้ และผมจะทำมันให้ดีที่สุด
---
“แม่ เอ่อ คือ เก่าเลิกกับแฟร์แล้วนะ”
“อ้าว... ทำไมล่ะลูก”
“เราเข้ากันไม่ได้อ่ะแม่” ผมตอบเลี่ยงๆ ไปเพื่อให้ไม่ให้แม่รู้สึกไม่ดีกับเธอ
“ตอบเหมือนดาราเลยเจ้าเก่า”
“ฮ่าๆๆๆ” มุกตลกของแม่วันนี้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
“เก่าโทรมาก็ดีแล้ว วันนี้คนเช่าเขาโทรมา เขาถามว่าจะเข้าไปเร็วหน่อยได้ไหม”
“ทำไมล่ะแม่”
“พอดีเขาต้องรีบใช้ที่บ้านเราจดบริษัทใหม่น่ะ”
“แล้วเค้าจะเข้ามาวันไหนแม่”
“เห็นว่าอีกสักอาทิตย์น่ะ เร็วกว่าเดิมหน่อย ไหวไหม”
“ได้แม่ เก่าว่าจะรีบทำให้เสร็จเหมือนกัน”
“แล้วตอบคำถามตัวเองได้หรือยังว่า งานที่รักคืออะไร”
"เก่าคิดว่าเก่าพอได้อะไรบางอย่างแล้วนะแม่"
"แม่หวังว่าจะเป็นคำตอบที่ใช่นะ"
---
การรีบมาของผู้เช่ารายใหม่ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกร้อนใจอะไรมากนัก เพราะผมเองก็ตั้งใจที่จะรีบจัดการให้เสร็จไวที่สุดอยู่แล้ว ความจริงที่เกิดขึ้น-ความรู้สึกที่มีต่อเรื่องราวต่างๆ-บันทึกในสมุดบันทึกของพ่อ-การได้อยู่คนเดียว มันทำให้เสี้ยวหนึ่งของผมนั้นรู้สึกว่าค้นพบอะไรบางอย่างที่มีความหมาย
---
3 วันผ่านไป, ผมใช้เวลาเก็บของในบ้านจนเสร็จเรียบร้อย ส่วนที่พอจะใช้ได้หรือขายต่อได้ ผมเรียกให้รถขนส่งมารับเพื่อส่งกลับไปที่บ้านแม่ หลังจากนั้นก็แยกของบางส่วนที่ผู้เช่าคนเก่าลืมทิ้งไว้ โทรบอกให้แม่ติดต่อไปให้เขารีบมารับก่อนที่ผู้เช่ารายใหม่จะย้ายเข้ามา
---
หลังจากทำงานเสร็จ ผมใช้เวลาที่เหลืออ่านสมุดบันทึกของพ่อจนจบ มันมีเรื่องราวของแรงบันดาลใจ ความคิด ทัศนคติในการทำงาน รวมถึงอีกหลายอย่างที่ผมได้รับจากมัน ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้อยู่สอนผมด้วยตัวเอง แต่สมุดบันทึกเล่มนี้ก็ทำให้ผมค้นพบอะไรบางอย่างในตัวเองเหมือนกัน
เมื่อวันก่อน... ไอ้ฟิวส์โทรศัพท์มาขอโทษผมอีกครั้งเรื่องแฟร์ ผมได้แต่อวยพรให้พวกเขาโชคดี และขอให้ทั้งคู่มีความสุขจากใจจริง
คุณคงสงสัยว่าทำไมผมให้อภัยพวกเขา เปล่าครับ! ผมไม่ได้ให้อภัยพวกเขา ผมภาวนาเสียด้วยซ้ำว่าอย่าได้เจอกันอีก แต่ผมไม่รู้ว่าจะโกรธเกลียดพวกเขาไปทำไม เพราะผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า ณ วันนี้ "แฟร์ไม่ได้รักผม" และ "ผมก็ไม่ได้รักแฟร์"
ตอนเย็นๆ ของทุกวันหลังจากทำงานเสร็จ ผมชอบออกไปเดินเล่นริมแม่น้ำ หาที่เงียบๆกว้างๆ เพื่อทำใจให้ว่างและพูดคุยกับตัวเองอยู่เสมอ
ณ วันนี้... ผมได้ข้อสรุปสั้นๆแล้วว่า
ชีวิตต่อจากนี้ของผมจะเป็นอย่างไร
เหลืออยู่แค่เรื่องเดียวที่ผมไม่รู้จะทำยังไงดี
"เรื่องของจูน"
---
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้ผมจะได้กลับบ้านแล้ว กลับไปหาแม่ กลับไปทำสิ่งที่ผมรัก สุดท้ายนี้ขอเพียงแต่คนเช่าทั้งเก่าและใหม่จะไม่เบี้ยวนัดผม เรื่องทั้งหมดก็น่าจะจบลงด้วยดี
บ่ายโมงตรง เสียงรถยนต์จอดที่หน้าบ้าน ตรงตามเวลาที่เขานัดกับผมไว้ ผมเพิ่งสังเกตว่า คนเช่าบ้านคนที่แล้วยังเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมอยู่เลย
เขายกมือไหว้สวัสดีผม (เอ่อ... กูหน้าแก่ใช่ไหม?) ผมรับไหว้แล้วชี้นิ้วไปที่ลังกระดาษที่แยกไว้ เขากล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินไปเช็คของว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง
โทษนะครับพี่...
พี่เคยเห็นสมุดสีดำที่เขียนตรงปกไว้ว่า “บันทึกของเก่า” บ้างไหมครับ?
เดี๋ยวนะ
ทำไมเขาถึงถามคำถามนี้กับผม?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in