เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Tales of The Sun and The Moon [OC Fanfiction]ashie
ครั้งหนึ่งตำนานเอ่ยเล่า ... ถึงดวงจันทราผู้อยู่สูงลับฟ้าไป
  • 'ข้าเกลียดแสงสุริยัน'



    นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่คราเมื่อข้ายังเป็นเด็กตัวน้อย 


    ดวงดาวและจันทราพร่ำสอนบอกข้าถึงเหล่าดวงตะวันผู้แสนโหดเหี้ยม 


    แสงตะวันเข่นฆ่า กำจัด กีดกันชาวจันทราที่มิได้นับถือแสงเดียวกับตนให้หลุดพ้นราวสั่งตาย 


    ครั้งหนึ่งสองเผ่าเคยอาศัยร่วมภูผาผืนเดียวกัน 

    ทว่าตอนนี้กลับถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายー ชาวจันทราและชาวสุริยัน 



    ยามเช้าคือพื้นที่แห่งสุริยันผู้เจิดจ้า คอยทอแสงประกายสีเหลืองทองปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายใช้ชีวิตภายใต้แสงสีเหลืองนั่นราวกับพระมารดาของตนก็ไม่ปานー ทั้งให้ความอบอุ่น ทอแสงให้ชีวีรอดพ้นจากความมืดมิด ภูเขาหินผาถูกอาบล้อมไปด้วยแสงสีทอง ผิวแม่น้ำไหลนิ่งก็ถูกปกคลุมไว้ไม่ต่างกัน ว่ากันว่าแสงสุริยันคอยให้ชีวี มอบทุกสรรพสิ่งให้แก่สิ่งมีชีวิตในยามดวงสุริยันฉายแสง



    ยามพลบค่ำดวงตะวันลับขอบฟ้า 

    ไม่นานนักดวงดาราเริ่มทอแสงประกายริบหรี่



    ยามค่ำคือพื้นที่แห่งจันทราผู้เงียบสงบ คราเมื่อโลกทั้งใบถูกปกคลุมไว้ด้วยความมืดจากก้นบึ้งของหัวใจ แสงจันทราคอยโอบอุ้ม นำพาผู้หลงทาง และชี้นำให้ไปยังทางที่ถูกต้องโดยมิเคยกีดกันว่าผู้ใด ปล่อยให้ดาราทั้งหลายประกายพรึกตามคำกล่าวเล่า มอบแสงดวงน้อยแม้จะมืดมิดจนแทบสิ้นใจ ทว่าครั้งหนึ่งจันทรานั้นเคยดับสูญー ยามใดเมื่อครบรอบโคจร แสงจันทราจะกลับมาทอแสงประกายอีกครา วนซ้ำเวียนไปมาเช่นนี้ไม่มีวันสิ้นแม้ในคืนเดือนดับแสนมืดมิด


    ดังคำกล่าว แสงทั้งสองมิอาจอยู่ร่วมผืนแผ่นดินเดียวกันได้เหมือนคราวแต่ก่อน พวกเขาต่อสู้ กำจัด เข่นฆ่า ผู้ใดมิใช่คนที่นับสือแสงเดียวกัน ว่ากันว่าคำสั่งสุดท้ายคือความตายแสนเจ็บปวด



    ทว่าข้ากลับแตกต่าง



    'ครั้งหนึ่งข้าเคยพบแสงสุริยัน'


    ตัวข้าผู้อยู่ใต้การดูแลจากแสงจันทรา โชคชะตากลับพานพบให้ข้าได้พบกับลูกหลานของชาวสุริยันโดยมิอาจว่ากล่าวว่าแสนบังเอิญได้เต็มปาก



    ครานั้นแสงสุริยันถามชื่อของข้า



    'ข้า..เอมันต์'


    ข้าตอบไปเพียงเพราะอยากจะรอดชีวิต


    ชาวสุริยันมาในคราบของนักรบสวมเกราะหนา สีทองประกายราวแสงตะวันยามบ่าย อาวุธครบมือไม่ต่างจากนักรบอันสูงส่งของเผ่าข้า



    ตัวข้าสั่นเทาด้วยความหวาดผวา ขาของข้าไม่มีแรงเหลือจนแทบล้มลงเสียตรงนั้น


    'เอมันต์?'


    ชาวสุริยันเอ่ยนามข้าซ้ำราวทบทวน ข้าคิดในใจ นี่คงเป็นการทวนชื่อครั้งสุดท้ายก่อนจะลงมือฆ่าข้าให้สิ้นใจ ทิ้งให้ร่างของชาวจันทราผู้ผ่องสะอาดต้องแปดเปื้อนไปด้วยน้ำมือของชาวสุริยันโดยไร้ซึ่งหนทางสู้ใดๆ



    ทว่าดวงทินกรกลับยื่นมือมาหาข้า

    นั่นจึงทำให้ข้าแปลกใจเป็นที่สุด



    'ข้าอนาโตเลียส'


    สุริยันเอ่ย รอยยิ้มประดับบนใบหน้า


    ข้านึกในใจด้วยความสงสัย คำถามมากมายพรั่งพรูเข้ามาเต็มหัว ราวชะตาฟ้าลิขิตให้ข้าและชาวสุริยันผู้นี้มาพบกัน



    'เจ้ามาทำอะไร? นี่ไม่ใช่พื้นที่ของชาวสุริยันแบบเจ้า..'


    ข้าเอ่ย เสียงที่ออกไปแสนจะสั่นเทาด้วยความกลัว เป็นเวลาเดียวกับที่ข้าเริ่มจะถอยห่าง คำสอนที่เอ่ยว่าชาวสุริยันมักลงมือกำจัดชาวจันทรายังคงฝังลึกในใจข้าดี


    แผ่นหินผาให้สัมผัสเย็นเฉียบแล่นผ่านฝ่ามือที่วางประทับ ตอนนี้ข้าอยู่ตัวคนเดียว ท่ามกลางพระจันทร์เสี้ยวข้างแรมทอแสงเพียงน้อยนิดให้ได้เห็นตัวของชาวจันทราผู้เกิดในคืนเดือนดับ ข้าไม่ใช่นักรบ ไม่ใช่มือสังหาร แน่นอนว่าข้าไม่เคยจับอาวุธใดๆเหมือนที่ชาวสุริยันผู้นี้กำลังถือครอง


    ร่างกายสูงใหญ่ที่ดูแข็งแรงราวกับทหารชั้นหน้ายิ่งทำให้ข้าหวาดผวาจนลมหายใจรวยริน


    พร้อมกันชาวสุริยันกลับโพล่งหัวเราออกมาอย่างไร้ซึ่งเหตุผล นั่นยิ่งทำให้ข้ายิ่งนึกสงสัยในการกระทำดังกล่าว



    'ข้ารู้ดี บ้านของข้าคือหมู่บ้านแห่งชาวโซลาริ หมู่บ้านที่นับถือแสงตะวันเป็นสิ่งสูงสุดจากทุกสิ่งบนโลกา'


    'และข้ามาเพื่อพาเจ้ากลับบ้าน เอมันต์'



    ชาวสุริยันทำให้ข้านึกสงสัยได้อีกครั้งโดยที่ยังมิเอ่ยตอบคำถามแรกของข้า 


    บ้าน?


    ข้าไม่เข้าใจ.. ที่นี่คือบ้านของข้าแล้วมิใช่หรือ?



    'ข้าอยู่ที่บ้านของข้าแล้วโซลาริเอ๋ย 

    เจ้าเสียที่ต้องออกไป'


    ข้าเอ่ยตอบ บทสนทานี้ดูไม่เหมือนการสั่งตายครั้งสุดท้ายดังคำกล่าวในนิทานพื้นเมือง... ข้าไม่รู้ว่าชาวสุริยันผู้นี้ต้องการอะไรจากข้า การบุกรุกเข้าหมู่บ้านของชาวจันทรา เข้ามาหาข้าแล้วบอกจะพากลับบ้าน


    ใช่ ข้าตอบปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดในทันที


    ต่อให้จะพูดดีราวนักบุญเสียเพียงใด แต่ชาวสุริยันก็เป็นชาวสุริยันเสียวันยันค่ำ เขาเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงดังนี้ไม่ได้อยู่เป็นไหนๆ



    'เจ้าไม่ใช่ชาวลูนาริแบบข้า โซลาริ อย่าริอาจคิดทำในสิ่งที่สองเผ่าเราห้ามกันเสียจะดีกว่า หากมีใครจับได้ขึ้นมา คนที่ซวยที่สุดจะเป็นเจ้า'


    ข้าบอก แต่นั่นดูจะไม่ทำให้ความคิดของชาวสุริยันผันแปรได้เท่าไหร่นัก 

    ... เรียกว่าไม่เข้าหัวเลยก็คงพูดถูก



    'ข้าจะไม่ย้ำว่าตัวข้านั้นคือโซลาริที่ต่างกับเจ้า ข้ายังเห็นญาติสนิทมิตรสหายของข้าเป็นราคอร์เช่นเดียวกัน'


    'หรือจะยามวิกาลเฉกเช่น ณ ตอนนี้ ... 

    มันก็อาจคุ้มค่าหากพาเจ้ากลับไปอยู่ที่ที่ควรได้'


    หากแต่สิ่งสุริยันเอ่ยล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น.. ครั้งหนึ่งสองเผ่าเราเคยอาศัยรวมหมู่บ้านเดียวกัน ใช้ชื่อภายใต้การปกครองของดวงตะวันผู้เป็นดั่งมารดาว่า 'ราคอร์' เปรียบได้เช่นลูกหลานแห่งแสงสุริยัน ก่อนที่ใครสักคนจะผันแปรความภักดี มอบความเคารพบูชาทั้งหลายแก่ดวงจันทราผู้ทอแสงยามค่ำคืน



    「ทั้งสองแตกหักกันโดยปริยาย ผู้คนส่วนมากที่เคารพบูชาในแสงสุริยันถูกเรียกขานนามว่า โซลาริ 


    กลับกันมีเพียงส่วนน้อยที่หันไปบูชาแสงจันทรา ผู้คนเหล่านี้กลับเรียกขานตัวเองในนามของ ลูนาริ 」



    ความจริงตลอดหลายชั่วอายุคนไม่เคยโกหกใดๆー ข้ารู้ และข้าทราบดีว่าการที่สองเผ่าจะยอมปรองดองต่อกันนั้นแทบจะไม่มีโอกาสที่เป็นไปได้



    ข้าจึงไม่เชื่อคำพูดของโซลาริผู้นั้น



    'หากแต่ข้าเป็นชาวลูนาริ ข้าไม่เหมือนกับเจ้า เราไม่เคยออกไปที่แห่งใดเหนืออื่นใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง'


    'ที่นี่คือบ้านของข้า หากแต่เป็นเพียงยามวิกาล..เจ้าเสียหากที่ต้องกลับออกไปก่อนจะโดนพบตัวเข้า เราชาวลูนารินั้นแสนชังแสงทินกรยามเที่ยงวัน เช่นเดียวกับที่พวกเขาเกลียดเจ้า โซลาริเอ๋ย..'



    ข้าเอ่ยบอกความจริงออกไปดังตำนานว่า สองเผ่าเรามิเคยถูกชะตากันไม่ว่าจะปีใดก็ตามแต่ ทุกอย่างเกิดจากความขัดแย้ง แปรผันตนไปสู่ความรังเกียจแม้เหล่ามนุษย์ด้วยกัน 


    ชาวสุริยันแสนหัวรั้นคนนี้ยากที่จะเอ่ยยอมคนโดยง่ายจนข้าสังเกตได้ เขาโต้เถียงข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอาแต่พูดถึงการพาข้ากลับบ้าน ทั้งที่การมาอยู่ในหมู่บ้านของชาวจันทราแบบเราจะเป็นอันตรายยิ่งสำหรับชาวสุริยันแบบเขาขนาดไหนทั้งข้าเองและเขาก็ใช่จะไม่รู้ดี



    และแน่นอนว่าการกระทำของข้านั้นผิดมหันต์



    ข้าปล่อยให้โซลาริมีชีวิตรอดออกไป


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in