'ข้าเกลียดแสงสุริยัน'
นั่นเป็นเรื่องตั้งแต่คราเมื่อข้ายังเป็นเด็กตัวน้อย
ดวงดาวและจันทราพร่ำสอนบอกข้าถึงเหล่าดวงตะวันผู้แสนโหดเหี้ยม
แสงตะวันเข่นฆ่า กำจัด กีดกันชาวจันทราที่มิได้นับถือแสงเดียวกับตนให้หลุดพ้นราวสั่งตาย
ครั้งหนึ่งสองเผ่าเคยอาศัยร่วมภูผาผืนเดียวกัน
ทว่าตอนนี้กลับถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายー ชาวจันทราและชาวสุริยัน
ยามเช้าคือพื้นที่แห่งสุริยันผู้เจิดจ้า คอยทอแสงประกายสีเหลืองทองปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายใช้ชีวิตภายใต้แสงสีเหลืองนั่นราวกับพระมารดาของตนก็ไม่ปานー ทั้งให้ความอบอุ่น ทอแสงให้ชีวีรอดพ้นจากความมืดมิด ภูเขาหินผาถูกอาบล้อมไปด้วยแสงสีทอง ผิวแม่น้ำไหลนิ่งก็ถูกปกคลุมไว้ไม่ต่างกัน ว่ากันว่าแสงสุริยันคอยให้ชีวี มอบทุกสรรพสิ่งให้แก่สิ่งมีชีวิตในยามดวงสุริยันฉายแสง
ยามพลบค่ำดวงตะวันลับขอบฟ้า
ไม่นานนักดวงดาราเริ่มทอแสงประกายริบหรี่
ยามค่ำคือพื้นที่แห่งจันทราผู้เงียบสงบ คราเมื่อโลกทั้งใบถูกปกคลุมไว้ด้วยความมืดจากก้นบึ้งของหัวใจ แสงจันทราคอยโอบอุ้ม นำพาผู้หลงทาง และชี้นำให้ไปยังทางที่ถูกต้องโดยมิเคยกีดกันว่าผู้ใด ปล่อยให้ดาราทั้งหลายประกายพรึกตามคำกล่าวเล่า มอบแสงดวงน้อยแม้จะมืดมิดจนแทบสิ้นใจ ทว่าครั้งหนึ่งจันทรานั้นเคยดับสูญー ยามใดเมื่อครบรอบโคจร แสงจันทราจะกลับมาทอแสงประกายอีกครา วนซ้ำเวียนไปมาเช่นนี้ไม่มีวันสิ้นแม้ในคืนเดือนดับแสนมืดมิด
ดังคำกล่าว แสงทั้งสองมิอาจอยู่ร่วมผืนแผ่นดินเดียวกันได้เหมือนคราวแต่ก่อน พวกเขาต่อสู้ กำจัด เข่นฆ่า ผู้ใดมิใช่คนที่นับสือแสงเดียวกัน ว่ากันว่าคำสั่งสุดท้ายคือความตายแสนเจ็บปวด
ทว่าข้ากลับแตกต่าง
'ครั้งหนึ่งข้าเคยพบแสงสุริยัน'
ตัวข้าผู้อยู่ใต้การดูแลจากแสงจันทรา โชคชะตากลับพานพบให้ข้าได้พบกับลูกหลานของชาวสุริยันโดยมิอาจว่ากล่าวว่าแสนบังเอิญได้เต็มปาก
ครานั้นแสงสุริยันถามชื่อของข้า
'ข้า..เอมันต์'
ข้าตอบไปเพียงเพราะอยากจะรอดชีวิต
ชาวสุริยันมาในคราบของนักรบสวมเกราะหนา สีทองประกายราวแสงตะวันยามบ่าย อาวุธครบมือไม่ต่างจากนักรบอันสูงส่งของเผ่าข้า
ตัวข้าสั่นเทาด้วยความหวาดผวา ขาของข้าไม่มีแรงเหลือจนแทบล้มลงเสียตรงนั้น
'เอมันต์?'
ชาวสุริยันเอ่ยนามข้าซ้ำราวทบทวน ข้าคิดในใจ นี่คงเป็นการทวนชื่อครั้งสุดท้ายก่อนจะลงมือฆ่าข้าให้สิ้นใจ ทิ้งให้ร่างของชาวจันทราผู้ผ่องสะอาดต้องแปดเปื้อนไปด้วยน้ำมือของชาวสุริยันโดยไร้ซึ่งหนทางสู้ใดๆ
ทว่าดวงทินกรกลับยื่นมือมาหาข้า
นั่นจึงทำให้ข้าแปลกใจเป็นที่สุด
'ข้าอนาโตเลียส'
สุริยันเอ่ย รอยยิ้มประดับบนใบหน้า
ข้านึกในใจด้วยความสงสัย คำถามมากมายพรั่งพรูเข้ามาเต็มหัว ราวชะตาฟ้าลิขิตให้ข้าและชาวสุริยันผู้นี้มาพบกัน
'เจ้ามาทำอะไร? นี่ไม่ใช่พื้นที่ของชาวสุริยันแบบเจ้า..'
ข้าเอ่ย เสียงที่ออกไปแสนจะสั่นเทาด้วยความกลัว เป็นเวลาเดียวกับที่ข้าเริ่มจะถอยห่าง คำสอนที่เอ่ยว่าชาวสุริยันมักลงมือกำจัดชาวจันทรายังคงฝังลึกในใจข้าดี
แผ่นหินผาให้สัมผัสเย็นเฉียบแล่นผ่านฝ่ามือที่วางประทับ ตอนนี้ข้าอยู่ตัวคนเดียว ท่ามกลางพระจันทร์เสี้ยวข้างแรมทอแสงเพียงน้อยนิดให้ได้เห็นตัวของชาวจันทราผู้เกิดในคืนเดือนดับ ข้าไม่ใช่นักรบ ไม่ใช่มือสังหาร แน่นอนว่าข้าไม่เคยจับอาวุธใดๆเหมือนที่ชาวสุริยันผู้นี้กำลังถือครอง
ร่างกายสูงใหญ่ที่ดูแข็งแรงราวกับทหารชั้นหน้ายิ่งทำให้ข้าหวาดผวาจนลมหายใจรวยริน
พร้อมกันชาวสุริยันกลับโพล่งหัวเราออกมาอย่างไร้ซึ่งเหตุผล นั่นยิ่งทำให้ข้ายิ่งนึกสงสัยในการกระทำดังกล่าว
'ข้ารู้ดี บ้านของข้าคือหมู่บ้านแห่งชาวโซลาริ หมู่บ้านที่นับถือแสงตะวันเป็นสิ่งสูงสุดจากทุกสิ่งบนโลกา'
'และข้ามาเพื่อพาเจ้ากลับบ้าน เอมันต์'
ชาวสุริยันทำให้ข้านึกสงสัยได้อีกครั้งโดยที่ยังมิเอ่ยตอบคำถามแรกของข้า
บ้าน?
ข้าไม่เข้าใจ.. ที่นี่คือบ้านของข้าแล้วมิใช่หรือ?
'ข้าอยู่ที่บ้านของข้าแล้วโซลาริเอ๋ย
เจ้าเสียที่ต้องออกไป'
ข้าเอ่ยตอบ บทสนทานี้ดูไม่เหมือนการสั่งตายครั้งสุดท้ายดังคำกล่าวในนิทานพื้นเมือง... ข้าไม่รู้ว่าชาวสุริยันผู้นี้ต้องการอะไรจากข้า การบุกรุกเข้าหมู่บ้านของชาวจันทรา เข้ามาหาข้าแล้วบอกจะพากลับบ้าน
ใช่ ข้าตอบปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดในทันที
ต่อให้จะพูดดีราวนักบุญเสียเพียงใด แต่ชาวสุริยันก็เป็นชาวสุริยันเสียวันยันค่ำ เขาเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงดังนี้ไม่ได้อยู่เป็นไหนๆ
'เจ้าไม่ใช่ชาวลูนาริแบบข้า โซลาริ อย่าริอาจคิดทำในสิ่งที่สองเผ่าเราห้ามกันเสียจะดีกว่า หากมีใครจับได้ขึ้นมา คนที่ซวยที่สุดจะเป็นเจ้า'
ข้าบอก แต่นั่นดูจะไม่ทำให้ความคิดของชาวสุริยันผันแปรได้เท่าไหร่นัก
... เรียกว่าไม่เข้าหัวเลยก็คงพูดถูก
'ข้าจะไม่ย้ำว่าตัวข้านั้นคือโซลาริที่ต่างกับเจ้า ข้ายังเห็นญาติสนิทมิตรสหายของข้าเป็นราคอร์เช่นเดียวกัน'
'หรือจะยามวิกาลเฉกเช่น ณ ตอนนี้ ...
มันก็อาจคุ้มค่าหากพาเจ้ากลับไปอยู่ที่ที่ควรได้'
หากแต่สิ่งสุริยันเอ่ยล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น.. ครั้งหนึ่งสองเผ่าเราเคยอาศัยรวมหมู่บ้านเดียวกัน ใช้ชื่อภายใต้การปกครองของดวงตะวันผู้เป็นดั่งมารดาว่า 'ราคอร์' เปรียบได้เช่นลูกหลานแห่งแสงสุริยัน ก่อนที่ใครสักคนจะผันแปรความภักดี มอบความเคารพบูชาทั้งหลายแก่ดวงจันทราผู้ทอแสงยามค่ำคืน
「ทั้งสองแตกหักกันโดยปริยาย ผู้คนส่วนมากที่เคารพบูชาในแสงสุริยันถูกเรียกขานนามว่า โซลาริ
กลับกันมีเพียงส่วนน้อยที่หันไปบูชาแสงจันทรา ผู้คนเหล่านี้กลับเรียกขานตัวเองในนามของ ลูนาริ 」
ความจริงตลอดหลายชั่วอายุคนไม่เคยโกหกใดๆー ข้ารู้ และข้าทราบดีว่าการที่สองเผ่าจะยอมปรองดองต่อกันนั้นแทบจะไม่มีโอกาสที่เป็นไปได้
ข้าจึงไม่เชื่อคำพูดของโซลาริผู้นั้น
'หากแต่ข้าเป็นชาวลูนาริ ข้าไม่เหมือนกับเจ้า เราไม่เคยออกไปที่แห่งใดเหนืออื่นใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง'
'ที่นี่คือบ้านของข้า หากแต่เป็นเพียงยามวิกาล..เจ้าเสียหากที่ต้องกลับออกไปก่อนจะโดนพบตัวเข้า เราชาวลูนารินั้นแสนชังแสงทินกรยามเที่ยงวัน เช่นเดียวกับที่พวกเขาเกลียดเจ้า โซลาริเอ๋ย..'
ข้าเอ่ยบอกความจริงออกไปดังตำนานว่า สองเผ่าเรามิเคยถูกชะตากันไม่ว่าจะปีใดก็ตามแต่ ทุกอย่างเกิดจากความขัดแย้ง แปรผันตนไปสู่ความรังเกียจแม้เหล่ามนุษย์ด้วยกัน
ชาวสุริยันแสนหัวรั้นคนนี้ยากที่จะเอ่ยยอมคนโดยง่ายจนข้าสังเกตได้ เขาโต้เถียงข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอาแต่พูดถึงการพาข้ากลับบ้าน ทั้งที่การมาอยู่ในหมู่บ้านของชาวจันทราแบบเราจะเป็นอันตรายยิ่งสำหรับชาวสุริยันแบบเขาขนาดไหนทั้งข้าเองและเขาก็ใช่จะไม่รู้ดี
และแน่นอนว่าการกระทำของข้านั้นผิดมหันต์
ข้าปล่อยให้โซลาริมีชีวิตรอดออกไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in