เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
WHY ร้ายSALMON X VANAT
23: MAGNETO สายพันธุ์แห่งความขัดแย้ง
  • PROFILE
    NAME:
    Magneto / Max Eisenhardt / Erik Lehnsherr
    FIRST APPEARANCE: X-Men #1 (1963)
    GOAL: ทŽำให้มิวแทนต์มีอŽำนาจเหนือกว่ามนุษย์

    เมื่อประชาชนทั่วไปรับรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘ชาวมิวแทนต์’ (มนุษย์กลายพันธุ์) พวกเขาพากันคิดว่าเหล่าครึ่งคนครึ่งมนุษย์เป็นดั่งมดปลวกที่รอเวลาถูกกำจัด หากพบเจอเมื่อไหร่สามารถรุมทำร้ายและจัดการได้โดยทันที ชาวมิวแทนต์ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะเก็บงำความลับนี้ไว้กับตัวเพราะหากเผลอให้คนอื่นรู้ ชีวิตของพวกเขาก็จะแขวนอยู่บนเส้นด้ายและอาจเลยเถิดไปถึงคนรอบตัว อย่างเช่นชีวิตของ ‘แม็กซ์ ไอเซนฮาร์ดท์’ หรือ ‘แม็กนีโต’ มิวแทนต์ที่อันตรายที่สุดคนหนึ่ง

    เดิมที แม็กนีโตเป็นเพียงเด็กชาวยิวชนชั้นกลางซึ่งเกิดที่ประเทศเยอรมนีแต่หลังจากพรรคนาซีเรืองอำนาจและออกกฎหมายนูเรมเบิร์ก (Nuremberg Laws) มากำจัดชาวยิว ครอบครัวของเขาจึงต้องระหกระเหินย้ายหนีไปประเทศโปแลนด์ แต่ก็ดันถูกทหารนาซีตามจับตัวได้ ท้ายที่สุดครอบครัวไอเซนฮาร์ดท์จึงถูกสั่งประหาร 

    อย่างไรก็ตาม แม็กนีโตกลับรอดชีวิต แต่ก็ต้องแลกมากับการเห็นภาพครอบครัวถูกกองทัพนาซียิงตายต่อหน้าต่อตา และถูกส่งไปอยู่ค่ายกักกันเอาชวิทซ์ตั้งแต่เด็กทำงานเป็นคนเก็บกวาดห้องรมแก๊ส และที่นี่เองทำให้เขาได้เห็นภาพผู้คนจำนวนมากถูกสังหารโหดด้วยการรมแก๊สพิษ ตั้งแต่นั้นเขาก็เริ่มเกลียดชังมนุษย์และค้นพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษ
  • จากนั้นไม่นานแม็กนีโตตัดสินใจหนีออกจากค่ายกักกัน เขาพา ‘แม็กดา’ หญิงสาวยิปซีในค่ายหนีออกมาด้วย ทั้งคู่ตกลงแต่งงานอยู่กินกันที่ยูเครน เขาเปลี่ยนชื่อแซ่ใหม่เป็น ‘อีริก เลห์นเชอร์’ หวังใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบและเลี้ยง ‘อันยา’ ลูกสาวที่เพิ่งเกิดอย่างเป็นสุข 

    แต่แล้วความฝันของเขาก็พังทลาย เมื่อคนในหมู่บ้านรู้ความจริงว่าแม็กนีโตเป็นมิวแทนต์ หลังจากนั้นบ้านของเขาถูกวางเพลิง ลูกสาวเสียชีวิต แม็กนีโตควบคุมสติไม่อยู่และจัดการใช้พลังฆ่าคนในหมู่บ้านไปเกือบหมด ภรรยาที่เห็นเหตุการณ์จึงตัดสินใจหนีจากเขาไปด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับลูกในท้อง ซึ่งต่อมาก็คือ ‘ควิกซิลเวอร์’ และ ‘สการ์เลต วิตช์’ นั่นเอง

    ชีวิตหลังจากนั้นของเขาเคว้งคว้าง แม็กนีโตเดินทางไปเป็นเจ้าหน้าที่ด้านจิตวิทยาในโรงพยาบาลที่อิสราเอลและพบกับ ‘ชาร์ลส์ ซาเวียร์’ หรือ ‘ศาสตราจารย์เอ็กซ์’ เป็นครั้งแรก การพบกับซาเวียร์ทำให้ทั้งคู่ได้แลกเปลี่ยนทัศนคติเรื่องมิวแทนต์ ก่อนจะรู้ว่าแต่ละคนมีพลังก็เมื่อต่างฝ่ายเผลอใช้พลังออกมา ซาเวียร์ชักชวนให้แม็กนีโตมาเป็น ‘เอ็กซ์เมน’ รวมกลุ่มกันเพื่อเป็นตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมิวแทนต์กับมนุษย์ ทำให้คนเดินดินได้เห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย  

    แต่ความที่เห็นการกระทำอันโหดร้ายของมนุษย์มาตั้งแต่เด็ก แม็กนีโตจึงปฏิเสธและแยกตัวมาตั้งกลุ่มของตัวเอง รวบรวมมิวแทนต์ที่คิดเหมือนเขามาสร้างโลกที่มนุษย์กลายพันธุ์เป็นใหญ่ กลายเป็นจุดขัดแย้งระหว่างเขากับซาเวียร์ และเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างมิวแทนต์แถมยังทำให้มนุษย์ปกติต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว
  • BAD LIST

    • หลังแตกหักกับซาเวียร์ แม็กนีโตก็ประกาศจุดยืนด้วยการตั้งกลุ่ม ‘ภราดรภาพผู้ชั่วร้าย’ (Brotherhood of Evil) ซึ่งในหนังสือการ์ตูนเล่มต่อๆ มา จะเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า ‘ภราดรภาพแห่งมนุษย์กลายพันธุ์’ (Brotherhood of Mutants) เพื่อต่อต้านสังคมมนุษย์และตั้งตนเป็นศัตรูกับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ธรรมดา โดยภารกิจแรกของพวกเขาคือการเข้ายึดฐานทัพยิงมิสไซล์ของสหรัฐฯ เพื่อทำให้โลกได้เห็นศักยภาพและยอมจำนนให้กับชาวมิวแทนต์

    • การเอาชนะแม็กนีโตเป็นเรื่องลำบาก ต่อให้ซาเวียร์มีพลังเป็นการอ่านและควบคุมจิตใจคนได้แต่แม็กนีโตก็มีหมวกที่ป้องกันพลังอยู่ หรืออย่าง ‘วูล์ฟเวอรีน’ หนึ่งในความหวังของกลุ่มเอ็กซ์เมนพอเจอแม็กนีโตก็ต้องหงอย เพราะสุดยอดมิวแทนต์คนนี้สามารถควบคุมเหล็กได้ทุกอย่างในโลก (และทั้งตัววูล์ฟเวอรีนก็เป็นเหล็ก!) เมื่อปะทะกัน แม็กนีโตก็เล่นดูดอะดาแมนเทียม—โลหะที่แข็งแกร่งที่สุดและจำเป็นต่อวูล์ฟเวอรีนออกมาจนหมดตัว

    • เกิดเป็นลูกแม็กนีโตใช่ว่าจะดี เพราะความที่พ่อเป็นถึงมิวแทนต์ระดับเทพที่หาคู่ต่อกรได้ยาก เวลาลูกทำผิดแม็กนีโตจึงไม่หยิบไม้เรียวมาตีก้น แต่เปลี่ยนเป็นเอาปืนมายิงเข้าที่เข่าแทน... (อ้อ ลูกคนนี้ไม่ใช่ลูกที่ตายไปนะจ๊ะ)
  • IN-DEPTH
    โดย วณัฐย์ พุฒนาค


    ‘แม็กนีโต’ เป็นตัวร้ายที่ก้าวไปสู่ระดับที่มีมิติ มีความซับซ้อน มีอดีตและแรงจูงใจในการเป็นตัวร้าย ต่างกับตัวร้ายในยุคก่อนที่มักจะร้ายอย่างไม่มีเหตุผล ร้ายโดยธรรมชาติ อยากจะร้ายก็ร้าย เช่นเดียวกับเนื้อเรื่องของ X-Men ที่ก็นำเสนอประเด็นที่ซับซ้อนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง ‘สายพันธุ์อื่น’ ‘ความวิตกกังวลต่อสายพันธุ์อื่น’ และ ‘การพยายามจัดการสายพันธุ์อื่นของเผ่าพันธุ์มนุษย์’ (ที่ถือว่าตัวเองสูงส่งกว่าเผ่าพันธุ์อื่น) ซึ่งสายพันธุ์อื่นที่ว่าก็คือพวก ‘กลายพันธุ์’ กลุ่มผู้มีพลังพิเศษที่ถูกพิจารณาว่าเป็นตัวร้ายหรือเป็นอันตรายต่อมนุษย์ เนื่องจากมีความสามารถ ‘เหนือมนุษย์’ เลยต้องถูกควบคุมดูแลอย่างเหมาะสม 
     
    การตั้งคำถามเสนอประเด็นที่ซับซ้อนและท้าทายความสูงส่งของมนุษย์ได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องเผ่าพันธุ์และเป็นจุดด่างพร้อยดวงใหญ่ของมนุษยชาติอย่าง ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว’ หรือ ‘Holocaust’ เหตุการณ์ดังกล่าวถูกเอามาอธิบายถึงแรงจูงใจและการสูญสิ้นศรัทธาในตัวมนุษย์ของแม็กนีโต ในฐานะเหยื่อของปฏิบัติการอันโหดร้ายไร้มนุษยธรรมครั้งใหญ่หลวงในประวัติศาสตร์

    ในมิติทางประวัติศาสตร์ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวรวมถึงผลพวงต่างๆ ของสงครามโลกครั้งที่สองเป็นการเขย่าความเชื่อมั่นในเผ่าพันธุ์และความรู้ต่างๆ ของมนุษย์ที่ ‘ชาร์ลส์ ดาร์วิน’ เคยนิยามเอาไว้ว่า มนุษย์เป็นจุดสูงสุดของวิวัฒนาการ รวมทั้งความเชื่อมั่นในมนุษย์แบบ Humanism ในเรื่องการคิดและความรู้แบบวิทยาศาสตร์ ว่าในที่สุดจะค่อยๆ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้มนุษย์ก้าวไปข้างหน้าไปสู่โลกที่สมบูรณ์ได้ในท้ายที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่าทั้งมนุษย์และเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์กลับทำให้ทุกอย่างพินาศย่อยยับ

    การกระทำของมนุษย์จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สงครามที่มีแต่การทำลายล้าง และการสังหารหมู่อย่างไร้มนุษยธรรม ทั้งหมดนั้นไม่อาจนิยามว่าเป็น ‘ความสูงส่ง’ ได้เลย
  • มองอย่างผิวเผินการกระทำของแม็กนีโตก็มีความย้อนแย้ง เพราะวิธีคิดที่เขาพยายามสถาปนาโลกที่ปกครองโดยมิวแทนต์ในฐานะเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งกว่าก็เป็นวิธีคิดแบบเดียวกันกับแนวคิดเรื่องความเป็นอารยันที่นาซีใช้กำจัดชาวยิวอย่างที่เขาเคยโดน ด้วยความเชื่อที่ว่ามนุษย์ผมทองตาสีฟ้าเหนือกว่ามนุษย์สายพันธุ์อื่น!

    แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง การที่มนุษย์พิจารณามนุษย์กลายพันธุ์ว่าอาจเป็นอันตรายต่อ ‘มนุษย์ปกติ’ ก็นับว่าเป็นการแบ่งแยกสายพันธุ์ระหว่าง ‘ไม่กลายพันธุ์’ ’ กับ ‘กลายพันธุ์’ เช่นกัน

    สำหรับมนุษย์แล้วสายพันธุ์อื่น (ที่ไม่ใช่มนุษย์) ที่ดูว่าเป็นภัย ก็จะถูกมนุษย์ผู้สูงส่งเริ่มบริหารจัด ‘ระดับการมีมนุษยธรรม’ ให้ผกผันไปตามที่มนุษย์แต่ละสายพันธุ์จะได้รับประโยชน์ (แม้ว่าอีกสายพันธุ์หนึ่งจะมีรูปลักษณ์ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ปกติก็ตาม) ซึ่งในที่สุดก็ชวนให้คิดถึงสิ่งที่มนุษย์ถือวิสาสะกระทำต่อสายพันธุ์อื่นๆ อีกชั้นหนึ่ง

    ดังนั้น ด้วยความซับซ้อนของเรื่องและการเสนอคำถามที่ยากจะตอบ จึงยากที่จะตัดสินว่าในที่สุดแล้ว สายพันธุ์ไหนกันแน่ที่เป็น ‘ตัวร้าย’ หรืออาจต้องขบคิดมากไปกว่านั้นว่า เราใช้สายตาจากสายพันธุ์หรือจุดยืนใดมองคนอื่น?

    ในแง่หนึ่ง สิ่งที่ผลักดันแม็กนีโตคือการถูกคุกคามควบคุมจากมนุษย์ (และการสูญสิ้นศรัทธาในตัวมนุษย์) สิ่งที่เขาทำอาจเป็นการพยายามปกป้องสายพันธุ์ของตัวเอง ถ้าฟังอย่างนี้ก็อาจจัดได้ว่าไม่ผิด รวมถึงพวกเราเองในฐานะมนุษย์ก็อาจได้ย้อนนึกถึงความอหังการของเรา ที่กล้าประกาศว่าตัวเองอยู่เหนือสายพันธุ์อื่น ทั้งพืช ทั้งสัตว์ 

    ซึ่งสายพันธุ์อื่นๆ นั้นอาจจะกำลังมองมนุษย์ในฐานะตัวร้ายตัวสำคัญบนโลกใบนี้อยู่ก็เป็นได้

  • “I am Power! Men call me Magneto!”
    “ฉันคือพลัง! ทุกคนเรียกฉันว่า ‘แม็กนีโต’!”
    —Magneto

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in