[1]
ทั้งที่อยู่กันสองคน แต่ในรถกลับเงียบกว่าตอนหล่อนขับมาคนเดียวหลายเท่า ผิดวิสัยการรับคนเมากลับบ้านไปนิดหน่อย ซาแมนธาเหลือบมองนีลเป็นระยะ พอให้สบายใจว่าจะไม่มีการกระอักอาเจียนออกมาอีกให้เลอะรถ ฝ่ายนั้นซบศีรษะกับขอบประตูนิ่ง นั่งหลับตาอย่างที่หล่อนเดาไม่ถูกว่าแค่พักสายตาหรือเมาหลับ เสียงฝนที่ยังตกเปาะแปะกระทบหลังคารถกับลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศชักทำให้หล่อนหาวหวอด หญิงสาวสุ่มเปิดเพลงจากไอพอดที่ต่อกับเครื่องเสียงแก้ง่วง เสียงบทสนทนาและความวุ่นวายที่นำมาก่อนบอกให้รู้ว่าเป็นเพลงจากภาพยนตร์เพลงเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่ไม่ทันที่เนื้อร้องท่อนแรกจะขึ้น หล่อนก็เห็นมือขาวไว ๆ เอื้อมมาวิสาสะกดเปลี่ยน
“เอ๊ะ!”
“ไม่เอาเพลงนี้” คนที่เหมือนจะหลับไปแล้วงึมงำบอก ดวงตาสีเขียวหม่นหรุบหรู่ เบือนมองออกไปนอกหน้าต่าง ซาแมนธาพ่นลมหายใจแรง หล่อนบอกตัวเองว่าหล่อนหยัน
“A Little Fall of Rainไม่ดีตรงไหน”
“ตรงเอโปนีนตาย”
“งั้นฉันจะเปิด On My Own”
“ไม่เอาโว้ย!” นีลเผลอขึ้นเสียง เมื่อรู้ตัวเขาก็กลับเงียบ ชายหนุ่มเตะรองเท้าออกจากเท้า ก่อนขดตัวนั่งเหมือนเด็ก ๆ แขนขายาวเก้งก้างล้นเบาะ ศีรษะปกคลุมด้วยเส้นผมสีทองยุ่งเหยิงหันหนีจากหล่อนไปทางหน้าต่าง ไฟข้างทางสาดเข้ามาในรถ พอให้เห็นปลายจมูกแดงและขอบตาก่ำชื้น หญิงสาวใจสะดุด หล่อนเริ่มไม่แน่ใจขึ้นมาว่าตนหยอกเพื่อนแรงเกินไปไหม
“นีล... ฉัน...” ซาแมนธาอึกอักจะขอโทษ ถ้าไม่ใช่ว่าคนเมาข้างตัวหัวเราะออกมาเสียก่อน เสียงหัวเราะที่ไม่บอกความรื่นรมณ์เลยสักนิด
“Don't you fret, Mademoiselle Samantha. I don't feel any pain.” เขาร้องเหมือนกำลังขบขัน แต่ท้ายสุดก็หลุดสะอื้น
ซาแมนธาลำบากใจเป็นที่สุด หล่อนทำท่าจะเบี่ยงรถเข้าข้างทางเพื่อจอดคุยกับเพื่อน หากไม่ใช่ว่าฝ่ายที่ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดตาป้อย ๆ โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธเสียก่อน หญิงสาวจึงทำได้เพียงแค่ปิดเพลง ปล่อยให้รถเงียบลงเหมือนเก่าจนน่าอึดอัด เป็นเรื่องยากที่หล่อนจะต้องแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ แสร้งไม่สนใจ ไม่หันไปหา
นีลเบือนหน้าหลบตาหล่อน ชายหนุ่มไม่ได้สะอึกสะอื้นฟูมฟาย เขาร้องไห้เงียบ ๆ นานครั้งจึงจะได้ยินเสียงสูดจมูก หล่อนเห็นรอยน้ำตาสะท้อนแสงไฟเมื่อเหลือบมอง
“แกโอเคไหม”
“งี่เง่าว่ะ”เขาพึมพำแทบจะสวนกลับมาในทันที ซาแมนธาไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงใครกันแน่ ระหว่างตัวเขาเองหรือหล่อน
หญิงสาวเลือกจะเงียบแทนต่อความยาว แต่ไม่ทันไร นีลก็เริ่มพูดด้วยเสียงแหบอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้ว่าเธอ ฉันว่าตัวเอง” ชายหนุ่มพาดแขนปิดดวงตา สูดจมูก “งี่เง่าชะมัด ครึ่งปีแล้วแท้ ๆ ทำไมยังร้องไห้อยู่อีกวะ”
“ก็แกเจ็บ แกร้อง มันแปลกตรงไหน”
“แต่ฉัน...”
“อย่าพูดอะไรโง่ ๆ อย่างเพราะแกเป็นผู้ชายเลยร้องไห้ไม่ได้เชียวนะ” หล่อนขู่แฟ่ กระทืบเบรกให้รถหยุดตามสัญญาณไฟจราจรอย่างที่ออกจะรุนแรงไปสักหน่อย คนข้างตัวร้องโอ๊ย หน้าคะมำก่อนจะติดสายเข็มขัดที่รั้ง “แกเจ็บแกก็ร้อง แกมีสิทธิ์ร้อง แปลกตรงไหน น้ำตาไม่ได้มีคำระบุเพศแบบแมนบันสักหน่อย งี่เง่า”
“เธอกำลังบอกว่าฉันงี่เง่า หรือบอกว่าการเติมแมนเข้าไปในบันเฉย ๆ มันงี่เง่า” ผู้ชายคนเดียวในรถปาดน้ำตา หลุดหัวเราะออกมาได้นิดหน่อย
“ทั้งสองอย่างเลยย่ะ” ซาแมนธาแกล้งว่า
“เสียใจชะมัด” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่น้ำเสียงนีลก็ยังฟังหยอกเย้ากว่าก่อนหน้า “ที่ว่างี่เง่าน่ะฉันไม่ได้หมายถึงที่ร้องไห้หรอก” เขาสูดจมูกฟุดฟิด “แค่รู้สึกว่า ให้ตายเถอะ ฉันมีเวลาตัดใจตั้งหลายปีก็เอาแต่เลี้ยงไข้ จนพอรู้ว่าจะเสียไปจริง ๆ ห้าหกเดือนให้พยายามนี่มันโคตรไม่พอเลย”
“รู้ไหม มาสเตอร์โยดาเคยบอกว่า ‘Do. Or do not. There is no try.’” หล่อนเลียนสำเนียงเหมือนเป๊ะ “คำตอบของปัญหานายอาจอยู่ตรงนี้ก็ได้”
ชายหนุ่มถอนหายใจ
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง” เขาเขี่ยแขนเสื้อแจ็กเก็ตเล่น “ตอนไปจอร์แดนสองเดือนกว่า ถ่ายรูป ทำงานอยู่กับพวกอาสาสมัคร ฉันก็คิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ความรู้สึกจะสงบลง ฉันจะตัดใจได้แล้ว ไม่เจ็บ ไม่โหวง แต่พอกลับมา พอได้เห็น...”
“มันก็เป็นแบบเดิม” เสียงเขาขาดหาย หล่อนจึงต่อคำให้ “ฉันเข้าใจ”
“ความรักนี่ก็งี่เง่าดีเนอะ”
นีลไม่พูดอะไรอีกกระทั่งถึงบ้าน ชายหนุ่มเดินโผเผนำหน้าไปไขประตู ถึงจะดูมึนงงอยู่ แต่อย่างน้อยนีลก็สร่างกว่าตอนออกมาจากร้านอยู่โข
เจ้าของบ้านต้องแวะตากร่มที่หน้าประตูก่อน หล่อนจึงเดินมาทันเห็นตอนผู้อาศัยชั่วคราวล้มตัวคว่ำหน้าใส่เก้าอี้นวมในห้องนั่งเล่นพอดี ผมบลอนด์ยาวกระเซิงของนีลกระจายออกเหมือนเป็นหมอนขนฟูสีฟางแห้ง ชายหนุ่มกอดหมอนอิงไว้แนบอก ขดตัวเหมือนเด็ก ๆ ไม่ให้แขนขายาวเก้งก้างของตนล้นที่วางแขนของเก้าอี้ ซาแมนธาส่ายหน้า หล่อนเอื้อมมือจะลูบศีรษะเพื่อน แต่ท้ายสุดก็รั้งมือไว้
“ไม่คิดจะอาบน้ำหน่อยหรือไง”
แขกดึงคอเสื้อยืดขึ้นมาดมงึมงำตอบทำนองว่าไม่เหม็นอ้วก หรืออะไรสักอย่าง ก่อนทิ้งหัวลงนอนแปะเหมือนเก่า ซาแมนธากลอกตา ถอนหายใจ ล้มเลิกความคิดจะบอกให้อีกฝ่ายเข้าไปนอนในห้องพักแขกดี ๆ
หล่อนบอกราตรีสวัสดิ์เพื่อนแล้วเดินอ้อมหลังโซฟา ตั้งใจว่าจะอาบน้ำอีกหนก่อนเข้านอน
“แซม...” นีลเรียกเบาจนเหมือนกระซิบ เท้าหล่อนหยุด รอฟัง แต่เจ้าคนเมาก็เงียบไปอีกหลายอึดใจกว่าจะรวมเสียงพูดต่อ “ขอโทษนะ...”
“เรื่องอะไร”
“ที่เป็นภาระเธอ” ชายหนุ่มตอบสั้นก่อนค่อยขยายความ “ขอโทษที่มากวนเธอกับคริสเป็นเดือนแล้ว”
ซาแมนธาหัวเราะ
“ตอนฉันโดนพ่อเฉดหัวออกจากบ้าน แกยังให้ฉันไปอยู่ด้วยเสียครึ่งปี โทนี่เองก็ไม่เห็นว่าอะไรสักคำ”
“แต่...”
“อีกอย่างนะ ฉันไม่ปล่อยให้แกนั่งอูเบอร์กลับเองตอนตีสองหรอก”
ในเงาสลัว หล่อนเห็นนีลเหมือนจะยิ้ม ถ้าแสงไม่ได้เล่นตลกกับเคราหรอมแหรมนั่น
[1] A Little Fall of Rain - เพลงจากภาพยนตร์เพลงและละครเวทีเรื่อง Les Misérables เป็นบทร้องโต้ตอบกันของเอโปนีนและมาริอุส ระหว่างเอโปนีนกำลังจะสิ้นใจจากพิษบาดแผลและได้มาริอุสผู้ที่เธอหลงรักข้างเดียวมานานเอ่ยปลอบโยน ซึ่งเป็นความอ่อนโยนครั้งแรกและครั้งเดียวที่เอโปนีนได้รับ
[2] On My Own - เพลงจากภาพยนตร์เพลงและละครเวทีเรื่อง Les Misérables เป็นเพลงร้องเดี่ยวของเอโปนีน พูดถึงความรักข้างเดียวที่ไร้หวังของเธอซึ่งมีให้มาริอุส
[3] ดัดแปลงจากเนื้อเพลง A Little Fall of Rain ท่อนของเอโปนีน เนื้อเพลงต้นฉบับคือ Don't you fret, M'sieur Marius. I don't feel any pain. (เนื้อเพลงประพันธ์โดย Herbert Kretzmer)
[4] Star Wars: Episode V - The Empire Strikes Back (1980)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in