Merry Christmas Mr.Lawrence (Piano) - Ryuichi Sakamoto
Album: Playing the piano
Dedicated to my love for piano and choral music
Merry Christmas
xxx
1
“เหมือนหิมะกำลังตกจริงๆ”
นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมได้ยินจากปากเขา
เพื่อนผมคงโมโหน่าดูทีเดียว ถ้ารู้ว่าผมใช้เวลา 4 นาที 38 วินาทีตลอดการแสดงของเขาไปกับการแอบมองที่นั่งข้างๆ คิดไปก็นึกเสียดายนิดหน่อย Merry Christmas Mr.Lawrence ไม่น่าเป็นเพลงอันดับสุดท้ายในรายการ ไม่อย่างนั้นผมคงได้ยินเสียงที่อยากฟังมาตลอดหนึ่งเทอมเต็มเร็วกว่านี้ เด็กคณะอักษรศาสตร์ที่พบตัวได้ในโรงอาหารคณะศิลปกรรมศาสตร์แต่เช้าตรู่ แขนซ้ายหนีบหนังสือเล่มหนาไว้ข้างตัวและสวมแว่นตาเงินกรอบบางบนจมูกเล็กๆ โชคดีที่เป้าหมายจมหายไปในเสียงดนตรีจนปิดกั้นสิ่งรอบข้างโดยสิ้นเชิง ไม่เช่นนั้นคงเสี่ยงโดนสายตาคมคู่นั้นคาดโทษเข้าได้ ผมยังไม่อยากให้ความประทับใจแรกของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า
เสียงเพลงเงียบลง รู้ตัวอีกทีเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วฮอล ผมทำมือแปะๆ ก่อนชำเลืองมองไปด้านข้าง หวังได้เห็นใบหน้ารูปไข่อีกสักหน
หากเก้าอี้ตัวนั้นกลับว่างเปล่า
.
ผมเจอเขาอีกครั้ง 3 นาทีให้หลังตรงลานข้างนอกอาคารแสดง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยังอยู่ด้านใน ท่ามกลางแสงสว่างอันอ่อนล้าจากเสาไฟ มีเขาอยู่เพียงลำพัง ยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าคืนเดือนหงาย คล้ายกำลังรอให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ผมเชื่อสุดใจว่านี่คือพรหมลิขิต
“พรุ่งนี้มี Gjeilo” ผมโพล่งออกไปอย่างนั้นถ้าความทรงจำยังไม่ขึ้นสนิม อุณหภูมิร้อนอบอ้าวแม้เวลาล่วงเลยมายามพลบค่ำ แต่เหงื่อที่ซึมเต็มฝ่ามือนั้นไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศ “Whitacre และ Ešenvalds ด้วย” นี่สินะที่เขาเรียกว่าปฏิกิริยาจากกระดูกสันหลัง
เขาจ้องผมราวกับผมเป็นคนบ้า ดวงตาคู่นั้นกลมโตยิ่งกว่าดวงจันทร์ ทว่าหัวใจยังไม่สั่งให้หยุดพูด
“คุณจะมาไหม”
.
อีก 21 ชั่วโมง 38 นาที 57 วินาที แสงไฟสาดส่องลงมาบนเวทีอีกครั้งหนึ่ง
การแสดงดำเนินไปจนเวลาพักครึ่ง ในห้องพักนักแสดงไร้ผู้คน ผมถูกรุ่นพี่วาทยกรลากตัวไปเอ็ดว่าทำไมเสียงผมถึงแหลมโดดออกมาจากคนอื่นทั้งที่มันไม่เคยเป็นปัญหา ผมก้มหัวขอโทษเสียยกใหญ่ แต่ไม่ได้ตอบคำถาม"ทำไม"ของเขา ใครจะกล้าพูดออกไปเล่าว่าตอนนั้นผมคิดแต่เพียงอยากให้เสียงของผมส่งไปถึงใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมกับเมื่อวาน ชายหนุ่มตัวเล็กที่กำลังจะทำให้ผมหุบยิ้มไม่ได้แม้การแสดงจะจบไปแล้วหลายชั่วโมง
17 นาที 32 วินาทีต่อมา ในที่สุดผมก็ได้รู้ชื่อของเขา
.
3 เดือนให้หลัง ผมมองคนที่นอนหลับปุ๋ยในอ้อมกอด พลางคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก
.
“หิมะตกแล้ว”
เขานั่งพิงหน้าต่าง จ้องมองเกล็ดสีขาวที่กำลังโปรยปรายอยู่ข้างนอก ให้ภาพซ้อนทับกับเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้ายามใบไม้ร่วงโรย ผมกระชับคาร์ดิแกนตัวโคร่งของตนเข้าหา ฉวยโอกาสเอาคางเกยไหล่อีกฝ่าย สูดกลิ่นสบู่จางๆ บนกายเปลือยเปล่า
“คิดถึงวันนั้นจัง”
“วันไหน”
“วันที่ไปดูการแสดงของคณะเราด้วยกัน”
เขาหลุดหัวเราะ “ผมจำได้ว่าผมไปดูคนเดียวนะ”
“แต่เรานั่งข้างกัน”
“มันเหมือนกันซะที่ไหน อีกอย่างผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าดูได้ไหมด้วย”
“ทำไมเหรอ”
“ก็ผมมัวแต่แอบมองพี่ตลอดทั้งงาน”
คืนวันนั้นเราร่วมรักกันด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป ไม่มีใครอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เสียงครางที่ได้ยินชัดกว่าเดิม อีกทั้งแรงจูบที่บดเบียดลงมาบ่งบอกว่าอีกฝ่ายรับรู้เช่นเดียวกัน และก่อนที่สติสัมปชัญญะจะเลือนหาย เขาเคลื่อนมือมาสวมกอดแนบแน่นเท่าที่แขนเล็กๆ ของเขาจะทำได้ ราวกับกลัวว่าผมจะหายไปเหมือนหิมะในเช้าวันรุ่งขึ้น
.
ผมซื้อตุ๊กตากระต่ายให้เขาเป็นของขวัญวันคริสต์มาส
ความที่ไม่เคยซื้อของขวัญเทศกาลให้ใครมาก่อน จึงตัดสินใจเลือกอะไรง่ายๆ เข้าไว้ ช่วงชีวิตก่อนหน้านั้นผมไม่ใส่ใจกับงานเฉลิมฉลองนัก พ่อแม่ผมนับถือคริสต์ก็จริง ส่วนทางเขาผมเองไม่เคยถาม ทว่าเราสองคนกลับไม่ศรัทธากับสิ่งใดยกเว้นตนเองและกันและกัน คิดๆ ดูแล้ว ผมคงแค่อยากหาโอกาสสปอยล์เขาโดยที่ไม่โดนดุล่ะมั้ง
ตกเย็นผมได้ชิมสปาเก็ตตี้โบโลเนสฝีมือเขาเป็นครั้งแรก และก่อนเข้าเมนูของหวาน เขาโน้มตัวลงมาสัมผัสริมฝีปากของผมที่ยังเปื้อนซอสมะเขือเทศ ชั่ววินาทีนั้นผมอธิษฐานในใจ
หากพระเจ้ามีจริง ได้โปรดให้ช่วงเวลานี้เป็นนิรันดร์
“เมอร์รี่คริสต์มาสครับพี่จอห์น”
ผมยังคงหลับตา แต่รู้ว่าเขากำลังยิ้ม
ก่อนเข้านอน ผมยื่นตุ๊กตากระต่ายสีขาวหน้าตาเกรี้ยวกราดให้อีกฝ่าย คนอายุน้อยกว่าไม่พูดอะไรนอกจากคำขอบคุณสั้นๆ แต่การที่มันปรากฏอยู่บนเตียงนอนทุกคืนนั้นมีความหมายมากกว่าคำพูดเป็นร้อยเป็นพันคำ
2
เฉกเช่นนักศึกษามหาลัยปีสูงๆ ที่ง่วนอยู่กับการร่ำเรียนจนลืมวันลืมคืน ผมกับเขาใช้เวลาส่วนใหญ่จมอยู่กับกองหนังสือโดยมีสายหูฟังเชื่อมระยะทางระหว่างเรา ตอนนี้ผู้อยู่อาศัยชั่วคราวได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้อาศัยถาวรด้วยเหตุผลประหลาดๆ ที่ว่า “ฮีทเตอร์ห้องพี่อุ่นกว่า” ไม่ว่าคำว่า ‘ฮีทเตอร์’ จะหมายถึงอุปกรณ์ทำความร้อนตามตัวอักษรหรือเป็นคำเปรียบเปรยที่ทำให้หน้าร้อนขึ้นมาดื้อๆ ผมก็ยินยอมโดยดี
คริสต์มาสโคจรกลับมาอีกครั้งหนึ่งไม่ทันรู้ตัว
อันที่จริงเราเกือบไม่ได้อยู่ฉลองด้วยกัน
ก่อนวันคริสต์มาสสองสามสัปดาห์ จู่ๆ เขาเอ่ยถึงครอบครัวที่ไม่เคยพูดถึงมาก่อน
“ผมต้องกลับไป” เขาพูดเสียงเรียบ ผมจูบริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ นั่นเรียกรอยยิ้มกลับมาได้ครู่หนึ่ง “ไม่รู้ว่าจะกลับมาทันคริสต์มาสไหม”
น่าประหลาด เราสองคนให้ความสำคัญกับมันมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เขาไม่ได้พูดอะไรอีกกระทั่งก้าวขาขึ้นรถไฟ
ผมผ่านพ้นค่ำคืนอันหนาวเหน็บบนเตียงที่ดูกว้างผิดปกติหน้าจอคอมพิวเตอร์กับพิซซ่ารสชาติจืดชืดจากร้านตรงหัวมุมตรอก และคืนวันศุกร์ที่หิมะตกหนักราวโลกทั้งใบถูกจุ่มลงถังสีขาว ผมดู Merry Christmas Mr.Lawrence จบด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เขายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก
“สุขสันต์วันคริสต์มาสครับพี่จอห์น”
เช่นเดียวกับขาไป การเดินทางครั้งนี้ยังคงไร้ซึ่งคำอธิบายนอกเหนือจากการกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว สองขาเดินเข้าห้องนอน แม้เนื้อตัวยังเปื้อนเกล็ดหิมะ เขาผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น และอาจเพราะตะกอนอารมณ์ที่ยังตกค้างอยู่เต็มอกจากหนังที่เพิ่งดูจบ ผมเอนตัวลง มือสองข้างสวมกอดเขาไว้ พร่ำขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่ทำให้ผมสามารถรักคนคนนี้ได้โดยไม่ต้องปกปิดความรู้สึกอันท่วมท้นของตัวเอง
3
พวกเราไม่พูดถึงเรื่องวันนั้นอีก ผมจึงทิ้งมันไว้ใต้ก้นมหาสมุทร และเมื่อย่างเข้าฤดูร้อนปีที่สาม ผมก็ลืมมันไปโดยปริยาย
อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษชวนให้มึนหัวจนแทบทนไม่ไหว
ต่อให้เป็นวันสำคัญในชีวิตขนาดไหน สิ่งเดียวที่ปรากฏอยู่ในสมองคือเครื่องปรับอากาศกับเตียงนุ่มๆ แต่จะให้ผมเทนัดทานข้าวกับพ่อแม่เพื่อกลับไปซุกกระต่ายที่บ้านก็คงกระไรอยู่ พวกท่านอุตส่าห์บินจากต่างประเทศมางานจบการศึกษาของลูกชายคนเดียวทั้งที ผมฝืนยิ้ม มองอาหารลายตาบนโต๊ะอาหารที่ทำให้รู้สึกวิงเวียนหนักกว่าเดิม ทว่าผมยังเป็นอะไรไม่ได้ ยังเหลืองานฉลองตอนเย็นกับเขาอีกทั้งคน
.
“เมอร์รี่คริสต์มาสครับพี่จอห์น และก็แสดงความยินดีด้วยนะครับ”
เขาหอมแก้มผมฟอดนึงก่อนปรี่เข้าห้องครัวเมื่อเสียงเตาอบร้องเตือนดังติ๊ง ก่อนกลิ่นซินนาม่อนจะอบอวลไปทั่วห้อง
ผมมองจดหมายตอบรับเข้าเป็นผู้ช่วยวาทยกรวงในมือ กระดาษหนึ่งใบกับก้าวเล็กๆ ในวงการขับร้องประสานเสียง ไม่มีใครรู้ดีว่ามันสำคัญกับผมขนาดไหนมากเท่าเขา
จะไม่รู้ได้อย่างไร ใครกันเป็นคนเช็ดขอบตาชื้นแฉะยามพ่ายแพ้ต่อความกลัว ว่าต้องละทิ้งความฝันและกลายเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งในโลกทุนนิยมเพื่อดำรงชีวิตมาหลายค่ำคืน
เขามองผมกัดคัพเค้กชิ้นโตเข้าปากด้วยสายตาอ่อนโยนแฝงอารมณ์บางอย่างที่ไม่สามารถถอดความได้ แต่พอย้อนกลับมามองดูอีกที ผมอาจโง่เองที่เลือกจะไม่สนใจมัน
พอตกค่ำ เขาเอ่ยปากถาม
“พี่จอห์น ร้องเพลงให้ฟังหน่อย”
ผมหันไปมองเขาที่นอนคว่ำอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา
“เพลงอะไร”
“อะไรก็ได้”
“กว้างไปไหมครับ”
“ร้องเพลงที่เคยฝึกสักเพลงก็ได้”
“จะฟังแต่พาร์ทเทเนอร์หรือยังไง”
“ถ้าเป็นเสียงพี่ ก็คือดนตรีสำหรับผมหมดนั่นแหละ”
เมื่อเห็นว่าผมเงียบ เขาเผยยิ้มเจ้าเล่ห์โดยไม่หันมามองผมด้วยซ้ำ ต่อให้ร่ายเพลงศาสนาที่รู้จักทั้งหมดในชีวิตก็ยากจะไล่ปิศาจตัวดีในคราบเทวดาตนนี้ออกไปได้
ผมหรี่ตาอ่านปกหนังสือตัวอักษรสีแดงในมือเขาที่เขียนว่า 'Modern American Poetry'
“Sarah Teasdale”
เขาเลิกคิ้ว
“เพลงที่พี่ได้ร้องท่อนโซโล่วันนั้นไง”
“จำได้” เขาเว้นจังหวะ “ผมชอบเพลงนั้นที่สุดเลย”
หากย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งแรกที่ผมจะทำคือไปเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่พี่วาทยกรที่ตัดสินใจมอบท่อนโซโล่ของอัลโต้ให้กับผม แม้จะด้วยเหตุผลที่ผมเองไม่เข้าใจนัก รุ่นพี่พูดแค่ว่าหากเพลงทั้งเพลงเป็นผืนป่าสนในฤดูหนาว โซโล่สุดท้ายเสมือนพระอาทิตย์ยามเช้าที่อาบท้องฟ้าในรอบหลายวัน อย่างน้อยมันทำให้ผมได้มอบความในใจให้กับคนคนนั้นตั้งแต่วันที่เรายังไม่รู้จักกัน
“And I know that
I am honored to be
Witness
Of so much majesty.”
4
ผมได้ดู Merry Christmas Mr.Lawrence อีกครั้งหนึ่งพร้อมกับเขาในอ้อมกอด หลังเก็บกวาดเศษป๊อปคอร์นและขวดโซจู เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาและพูดขึ้นมาลอยๆ ราวกับไม่ได้ตั้งใจให้ใครได้ยิน
“เพลงนั้นมาจากหนังเรื่องนี้เองหรอกเหรอ”
“ใช่ ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ”
เมื่อได้คำตอบมาเป็นความเงียบ ผมยื่นมือเข้าสัมผัสใบหน้าชุ่มน้ำตา นิ้วโป้งลูบเบาๆ บนผิวขาว ก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หากประกายความเศร้าในดวงตากลมยังคงอยู่อีกหลายวันถัดไป
.
พวกเราทะเลาะกัน
เรื่องธรรมดาๆ ทั่วไปของคู่รัก
ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยมีปากเสียงกันมาก่อน
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเก็บข้าวของหนีกลับบ้าน
ไปเล่าให้ใครฟังคงหาว่าอำไปตามๆ กัน ภาพจำเราสองคนในสายตาคนรอบข้างคล้ายเป็นคู่สร้างคู่สม กิ่งทองใบหยกอะไรทำนองนั้น อย่างที่เคยโดนเปรยเปรียบว่า “ดั่งกำแพงกรุงทรอย” ผมยืนขำกับท่าทางเล่นใหญ่เล่นโตของเพื่อนคณะละครที่เอ่ยปากเช่นนั้น ส่วนเขาหน้าแดงแปร๊ด เราแย่งกันว่าใครจะเป็นอพอลโล่อยู่นาน หากแต่เทพเจ้าเองยังไม่สมบูรณ์แบบ มนุษย์อย่างเราคงสูงส่งไปกว่านั้นไม่ได้ และความรักไม่ได้ทำให้ใครสมบูรณ์แบบ เพียงช่วยให้เราต่างยอมรับความเว้าแหว่งของผู้เป็นที่รักโดยไม่เป็นทุกข์จนเกินไป
.
กล้าพูดนะว่าผมรู้จักเขาดีกว่าใคร
ผู้ชายที่ตื่นสายโด่งทุกวันหยุดที่ปรากฏบนปฏิทิน ขี้เกียจตัวเป็นขนยามว่าง ทว่าทุ่มเทให้กับการเรียนและการครัวถึงขั้นเรียกได้ว่า ‘ผู้คลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบ’ ภายใต้ใบหน้าใสซื่อราวสัตว์ฟันแทะตัวเล็กๆ กลับซ่อนอีกตัวตนหนึ่งที่มองโลกได้เถรตรงอย่างไม่น่าเชื่อ รวมกับนิสัยที่ชอบซ่อนความอ่อนแอไว้ไม่ให้ใครเห็น เขาจึงเป็นคนดื้อรั้นที่สุดเท่าที่ผมรู้จักมา
ในอีกทางหนึ่ง เขาก็เช่นกัน ที่รู้จักผมดีกว่าใคร
รู้ดีว่าต้องโจมตีตรงไหนเพื่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงที่สุด
.
“คนมีอนาคตแล้วอย่างพี่จะไปรู้อะไร”
ถ้อยคำแสนเจ็บปวดถูกทิ้งไว้เป็นของต่างหน้านั่นไม่ได้ทำให้ผมรักเขาน้อยลงแม้แต่น้อย พยายามคิดเข้าข้างว่าการหนีหน้าคงเกิดจากความรู้สึกผิด ที่ผ่านมาผมรับมือกับเสียงโอดครวญปนน้ำตาของรุ่นน้องปีสี่มาหลายคนต่อหลายคน แต่เด็กพวกนั้นก็ไม่ใช่เขา
ไม่ใช่คนที่แตกหักกับครอบครัวเพื่อมาเรียนในสิ่งที่ตนรัก
ไม่ใช่คนที่ทุ่มเทพยายามอย่างหนักเพื่อชวดทุนเรียนต่อให้กับเด็กเส้นที่เป็นญาติกับหนึ่งในกรรมการ
ไม่ใช่ผู้หลงใหลในโลกที่ตัวอักษรร้อยเรียงเป็นบทกวีและพบว่าสมุดโน้ตตัวเองแทบว่างเปล่า
การได้เห็นผมยังใช้ชีวิตท่ามกลางเสียงดนตรีที่ผมรักได้คงสั่นคลอนอะไรบางอย่างข้างในตัวเขาอย่างห้ามไม่ได้
คนรอบตัวเราที่รู้เรื่องคงพูดกันไปต่างๆ นานา ทว่าเขาก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง
.
เช้าวันถัดมา ขณะที่ดึงมู่ลี่ขึ้น แลเห็นแสงอาทิตย์ฤดูหนาวเล็ดลอดผ่านหมู่เมฆสีเทา เสียงโทรศัพท์ห้องนั่งเล่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นถี่
“พี่จอห์น” น้ำเสียงของเขาชุ่มน้ำตา รู้สึกได้ว่าเขาพยายามฝืนยิ้ม “สุขสันต์วันคริสต์มาสนะครับ”
วินาทีนั้นเอง ผมรู้ว่าพวกเราจะไม่เป็นอะไร
ท้ายที่สุด เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ยังคงรักผมสุดหัวใจเช่นกัน
5
ไม่เคยคิดเลยมาก่อนเลยว่าคริสต์มาสที่ไม่มีเขาจะเป็นเช่นไร แต่ใครจะรู้เล่าว่าการเป็นผู้ใหญ่มันเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้
เขาอยู่ในห้องครัวเมื่อผมกลับมาถึง จดหมายกองหนึ่งกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะกินข้าว ปากซองมีรอยฉีกขาดสะเปะสะปะ กระดาษบรรจุข้อความมีรอยยับอยู่ตรงมุม ทันทีที่เห็นก็พอเดาได้ว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น ความคิดในหัวต่อสู้กันดุเดือด สุดท้ายผมก็เลือกไม่ทำอะไร เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ยอมเป็นฝ่ายรอคำอธิบาย
ความเงียบระหว่างเรากลายเป็นเรื่องเคยชินไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เสียงจานชามกระทบกันยิ่งทำบรรยากาศน่าอึดอัด เขาคงกำลังเตรียมข้าวเย็นอยู่ ช่วงหลังมานี้เขาเข้าครัวบ่อยขึ้นด้วยเหตุผลเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ผมเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนั้นว่ามักเป็นฝ่ายจ่ายค่าอาหารเวลาออกไปข้างนอกเสมอ ไม่ได้สังเกตเลยว่าพักหลังเราเข้าคาเฟ่น่ารักๆ หรือร้านอาหารอิตาเลี่ยนนับครั้งได้ทั้งที่เป็นสถานที่โปรดปรานของเราสองคน ไม่ใช่เพราะผมที่ไม่ค่อยมีเวลาให้เขาอย่างที่โทษตัวเอง
‘อยากทำตัวมีประโยชน์’ มั่นใจว่าจะได้รับคำตอบมาแบบนั้นหากกล้าเอ่ยปากถาม หากแต่กลัวว่าเกิดหลุดปากไปว่า ‘ให้ฉันไปเลี้ยงตลอดชีวิตก็ได้’ นอกจากมันน่าสมเพชเต็มประดาเพราะเงินเดือนผู้ช่วยคอนดักเตอร์จะไปมีประโยชน์สักแค่ไหนเชียว คราวนี้คงโดนโกรธเข้าแบบมองหน้ากันไม่ติด
ขี้ขลาด ผมก่นด่าตัวเอง เพราะรักน่ะเหรอ แบบนี้มันใช่ได้ซะที่ไหนกัน
ผมเดินเข้าห้องด้วยความรู้สึกสิ้นหวังที่อธิบายไม่ได้ ผ้าปูเตียงถูกเปลี่ยนใหม่ยังมีกลิ่นหอมจางๆ อยากทิ้งตัวลง หลับตา แล้วตื่นมาให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
อย่างไหนเหรอที่ว่าปกติ
ตอนที่รั้วมหาลัยยังคุ้มหัว เราต่างเป็นอิสระจากความรับผิดชอบของผู้ใหญ่และใช้ชีวิตประหนึ่งวันพรุ่งนี้จะไม่มาถึง วันที่เรายังกระซิบคำสัญญาว่ารักที่กอบกุมไว้จะเป็นนิรันดร์
นั่นหรือเปล่า ความปกติที่ถวิลหา
มือคว้าขวดน้ำลายหมีพูห์ ของขวัญคริสต์มาสที่ได้มาปีที่แล้วบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าคอแห้งผาก แต่มือที่สั่นทำฝาครอบร่วงหล่นพื้นเสียงดังราวฟ้าผ่าในคืนเงียบสงัด มันค่อยๆ กลิ้งหายเข้าไปใต้เตียงอันมืดมิด ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจและก้มตัวลงเพื่อจะไปเก็บชิ้นส่วนที่คงบิ่นจากแรงกระแทก จนไปเห็นของบางอย่างที่ไม่สมควรอยู่ตรงนั้น
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางอ้าซ่าราวกับกำลังหัวเราะเยาะผม
.
หน้าตาเขาตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อถูกกระชากไม่ทันตั้งตัว ความหวาดกลัวที่ปรากฏอยู่เสี้ยววินาทีในดวงตาคู่นั้นทำให้ผมยิ่งเกลียดตัวเอง แต่ผมหยุดไม่ได้แล้ว แขนของเขาคงเป็นรอยแดงแน่ถ้าผมยังไม่ปล่อยมือ
“ทำไมนายไม่เคยพูดอะไรเลย”
เขาไม่ถามด้วยซ้ำว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เพียงแค่หลบหน้า
“พูดอะไรบ้างสิ”
คำตอบของเขาเป็นสิ่งสุดท้ายบนโลกใบนี้ที่ผมอยากได้ยิน
“ผมขอโทษ”
.
“เมอร์รี่คริสต์มาสครับพี่จอห์น”
เสียงกระซิบแหบร่าดังขึ้นในความมืด เขาคงคิดว่าผมหลับไปแล้ว สมัยก่อน การนั่งคุยกันสองสามชั่วโมงไม่เคยเป็นเรื่องน่าเหน็ดเหนื่อย หากคราวนี้น่าจะเป็นสองสามชั่วโมงสุดท้ายที่จะมีโอกาสได้เปิดใจกันเช่นนี้ เขาระบายความอัดอั้นที่ถูกปิดล็อคไว้ในหัวใจดวงเล็กๆ ตลอดปีกว่าที่ผ่านมาด้วยเสียงเรียบๆ ความรู้สึกผิด ความรู้สึกไร้ประโยชน์ ความรู้สึกไร้ค่า ถูกบรรยายออกมาราวกับนักประกาศข่าวภาคค่ำรายงานสภาพอากาศ ผมควรโล่งใจสิว่าน้ำตาที่ไหลเอื่อยเฉื่อยบนแก้มของเขาไม่มีสาเหตุมาจากตัวผม ทว่าผมกลับกลั้นเสียงสะอื้นแทบไม่ไหว
ทุกอย่างกำลังจะจบลง โดยไม่มีใครผิดด้วยซ้ำ
“ผมรักพี่นะครับ”
“แต่ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“ไม่ได้แล้วจริงๆ”
.
เขาจากไปในคืนวันที่ 31 ท่ามกลางเสียงรายการพิเศษจากโทรทัศน์ในละแวกเพื่อนบ้าน เมื่อคิดๆ ดูแล้ว สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่การที่เขาเดินจากไป แต่เป็นความจริงที่ว่าต่อให้ผมยื้อเขาไว้ เขาก็จะไม่ทิ้งกระเป๋าเดินทางใบนั้นและวิ่งกลับเข้าสู่อ้อมกอดของผมอีก
หันกลับมามองในห้อง
ข้าวของทุกอย่างยังอยู่ในที่ที่มันควรอยู่
โซฟา โต๊ะ แก้วกาแฟ กระถางต้นไม้ เศษผมบนพื้น กลิ่นวานิลลาจางๆ ในอากาศ หนังสือรวมบทกวีอเมริกัน โน้ตเพลง Merry Christmas Mr.Lawrence กระจายอยู่บนโต๊ะกินข้าวในมุมเดิมองศาเดิม กระทั่งบริเวณแก้มที่ถูกจูบยังคงอุ่นอยู่ ผมอยากจะหัวเราะให้กับความปกติแสนร้ายกาจในวันที่ทุกอย่างล่มสลาย และเมื่อน้ำตาหยดแรกร่วงลง ก็ไม่อาจกักเก็บอารมณ์ที่ถาโถมลงมาได้อีกต่อไป
หากโชคชะตายังเห็นใจผมอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ให้ผมได้เล่นเพลงนั้นให้เขาฟังสักครั้งหนึ่งก็ยังดี
+1
ผมไม่ได้รับข่าวคราวของเขาอีกหลังจากนั้น
ชีวิตของผมเหมือนบทเพลงที่ไม่มีคอร์ดจบ บนเตียงนอนที่ดูอ้างว้างเหลือคนานับ ผมคิดทบทวนถึงอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามหาคำตอบให้คำถามที่ปรากฏในคืนที่อ่อนแอแทบขาดใจหากความแยกจากสามารถฆ่าคนได้ ผมไร้เดียงสาเกินไปอย่างงั้นหรือที่เคยคิดว่าความรักนั้นเพียงพอจะเอาชนะทุกสิ่ง หรือความจริงแล้วผมแค่ยังพยายามไม่พอ 2 ปีแล้วที่ผมจมอยู่กับปริศนาที่กลายเป็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ในจิตใจ จนกระทั่งในคืนแรกของฤดูหนาวที่โดนมารดาลากตัวออกมาจากกองขวดโซจูและกองโน้ตเพลงที่ยังเขียนไม่จบด้วยใบหน้าที่ยังมีคราบน้ำตาหลงเหลือ ผมจึงคิดว่าตัวเองควรหยุดเสียที
ทว่าพระเจ้าคงมีแผนการอื่น
คริสต์มาสปีนั้นเป็นวันที่ผมเก็บข้าวของเสร็จ เพิ่งรับสายพ่อที่โทรมาว่าอีกสิบนาทีจะรับไปกินข้าวก่อนไปสนามบิน ผมกวาดตามองสถานที่ที่ผมเคยเรียกว่า ‘บ้าน’ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนหยิบผ้าพันคอออกไปรับลมข้างนอก พอดีกับที่บุรุษไปรษณีย์ปรากฏตัว เขาเอ่ยชื่อผมเต็มยศก่อนยื่นซองจดหมายซองหนึ่งให้ หัวใจผมแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นชื่ออันแสนคุ้นเคยบนหน้ากระดาษ
.
ลายมือเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว
เนื้อหามีไม่มากไม่น้อย ถ้อยคำไม่ทางการไม่เป็นกันเองจนเดินไป ดูเผินๆ คล้ายจดหมายจากญาติผู้ใหญ่มากกว่าคนรักเก่าที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน เล่าความเป็นไปในชีวิตที่ผมปฏิเสธตัวเองว่าไม่อยากรับรู้เลยสักนิด
ไม่อยากรู้ว่าเขาได้ละทิ้งอุดมการณ์วัยเยาว์ เข้าทำงานเป็นเซลบริษัทแห่งหนึ่งและกลายเป็นฟันเฟืองชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งของโลกใบนี้อย่างที่เคยเกลียด
ไม่อยากรู้ว่าเขาแต่งงาน และมีลูกสาวที่เพิ่งเกิดเมื่อต้นปี อะไรบางอย่างทำให้ผมรู้ว่า ‘เจน’ ไม่ใช่ชื่อของภรรยาเขา ไม่รู้ว่าผมไปเอาความมั่นใจเขามาจากไหน ตอนอ่านจดหมายผมแทบยืนไม่ไหวด้วยซ้ำ
ไม่อยากรู้ว่าที่เขียนว่า ‘มีความสุขดี’ ‘คิดถึง’ ‘ขอบคุณ’ นั่นมีความจริงอยู่ในถ้อยคำเหล่านั้นสักเท่าไหร่ ทั้งที่ความจริงที่ผมกำลังสัมผัสอยู่ตรงนี้คือผมคิดถึงเขาเหลือเกิน
ด้วยรัก
Merry Christmas Mr.Suh
ผมได้แต่หัวเราะขมขื่น นั่นควรจะเป็นนามสกุลของเขาเสียด้วยซ้ำ
“เมอร์รี่คริสต์มาสเช่นกันนะโดยอง” ผมพูดกับท้องฟ้า หวังว่าสายลมจะพัดพาไปให้เขาได้ยิน
“พี่ก็คิดถึงนาย”
และจะคิดถึงตลอดไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in