เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
WANDER BOY หนทางยังเยาว์วัยSALMONBOOKS
01: PROLOGUE
  • สี่โมงเย็น, โคเปนฮาเกน, เดนมาร์ก

    เคยมีคนบอกผมว่า สนามบินเป็นเหมือนกับประเทศประเทศหนึ่ง

    บนโลกมีสองร้อยกว่าประเทศ อาจต้องนับรวม ‘ประเทศสนามบิน’ เข้าไปอีกหนึ่ง

    แม้พื้นที่ทางกายภาพของสนามบินแต่ละแห่งจะไม่เชื่อมต่อกัน แต่พวกมันก็เชื่อมต่อกันในบางมิติ

    มันเป็น ‘สถานีวาร์ป’ ที่คอยส่งต่อผู้โดยสารไปยังอีกแห่ง มีการประดับประดาตกแต่งและมีภาษาเป็นลักษณะเฉพาะของตน

    นักท่องเที่ยวบางคนรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในสนามบิน ไม่ว่าจะเป็นสนามบินของประเทศไหน เมืองไหน มีหน้าตาแตกต่างกันไปอย่างไร แต่โดยรวมแล้วพวกมันก็มีบรรยากาศคล้ายคลึงกัน (จะว่าไปก็คล้ายๆ กับธุรกิจแฟรนไชส์อย่างแมคโดนัลด์หรือสตาร์บัคส์ ที่แม้จะแตกต่างในรายละเอียด แต่โดยรวมก็ให้ความรู้สึกเหมือนกันทั่วโลก) อารมณ์ที่เกิดขึ้นในสนามบินเป็นลักษณะเฉพาะที่หาไม่ได้จากสถานที่อื่น เป็นเวลาที่นักท่องเที่ยวรู้อย่างแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรเมื่อไหร่ มีต้น มีปลายและจบอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสถานการณ์ปกติ

    สนามบินโคเปนฮาเกนไม่ต่างไปจากสถานีวาร์ปอื่นๆ—การใช้สีและสัญลักษณ์ที่ป้ายบอกทาง ทำให้เราเข้าใจได้โดยไม่ต้องอ่านภาษาของเขาออก แต่ใช่ว่าเราจะไม่พบความเป็นเดนมาร์กหรือความเป็นสแกนดิเนเวียเลยนะครับ เพราะเพียงเดินเข้ามา กลิ่นไม้สนข้นคลั่กอันมีลักษณะเฉพาะก็ถลันเข้ามาหาเราอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และผมไม่เคยได้กลิ่นนี้จากสนามบินไหนมาก่อนเลย
  • ผมเดินไปตามห้องโถงไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่พาเราไปสู่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เสียงรองเท้าสัมผัสพื้นไม้ให้ความรู้สึกต่างไปจากสนามบินที่กรุงเทพฯ เล็กน้อย บนสองฟากผนังประดับภาพศิลปะแบบสแกนดิเนเวียนไว้เป็นระยะ

    ที่บอกว่าศิลปะแบบสแกนดิเนเวียน ผมอาจเข้าใจไปเอง แต่ผมหมายถึงศิลปะที่ใช้สีป๊อปๆ ฉูดฉาดเหมือนถูกบีบจากหลอดสีของนักเรียนอนุบาล ฉวัดเฉวียนราวกับว่าหากขึงเฟรมวางไว้ห่างจากผมหนึ่งร้อยเมตร ในวันที่หมอกจัดที่สุด ก็น่าจะยังสามารถเห็นมันได้

    การเดินทางมักจะเริ่มด้วยความธรรมดาอย่างนี้ ก็จะแบบไหนได้อีกล่ะครับ นอกจากเสียงล้อเครื่องบินที่ถูกง้างออกจากตัวเครื่อง ปีกทดตัวลงเชื่องช้า ล้อบดกับพื้นรันเวย์ ผนัง หน้าต่างเพดานโคลงเคลงสั่นกึกเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็นิ่งลงก่อนความตกใจจะพลุ่งพล่านเกินระงับ เมื่อตัวเครื่องสงบ ผู้โดยสารใจร้อนบางคน (รวมถึงผม) รีบกดเปิดโทรศัพท์มือถือเหมือนกับว่ามันจะหนีหายไปไหน เสียงกรุ๊งกริ๊งกรีดกรายจากการเปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พร้อมกันฮึมฮัมไปทั่วลำเครื่อง แทบทุกคนลุกขึ้นยืนเอาสัมภาระมากอดไว้กับตัว ชะเง้อมองทางออกว่าจะเปิดให้ตนเองหนีจากการทรมาน—นั่งนิ่งๆ เป็นสิบชั่วโมงในพื้นที่แคบๆ—ได้เมื่อไหร่ แล้วก็เบียดตัวออกมาอยู่ในเทอร์มินัลเช่นตอนนี้

    ผมไม่เคยมาประเทศแถบสแกนดิเนเวียมาก่อน แถมยังโง่เง่ารู้จักแค่ร้านเฟอร์นิเจอร์อิเกียจากสวีเดน นมไทย-เดนมาร์ค อะไรทำนองนี้ เป็นความรู้ในแบบที่เด็กประถมยังหัวเราะใส่หน้าได้ เอาเข้าจริง ไม่ต้องสกงสแกนดิเนเวียอะไร—ผมไม่เคยมายุโรปด้วยซ้ำ ผมชอบเดินทางในที่เดิมๆ ทำอะไรซ้ำๆ ไปแต่ในที่ที่เคยไป อะไรที่คนอื่นว่าน่าเบื่อ ผมก็ทำได้วันแล้ววันเล่า ต้องอาศัยระยะเวลานานพอสมควร กว่าที่จะกล้าขยายขอบเขตพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง แล้วลองก้าวเท้าเข้ามาในยุโรป
  • พี่หนุ่ม—โตมร ศุขปรีชา ผู้ร่วมทาง เป็นนักเขียนใหญ่นามเอกอุ ชั้นเชิงแพรวพราว หนึ่งในบู๊ลิ้ม และอาจารย์ทางด้านการเขียนของผม (ทั้งหมดนี่ผมแต่งตั้งเองทั้งสิ้น โดยไม่ได้รับการยินยอมจากสังคม กระทั่งตัวพี่หนุ่มแต่อย่างใด—แต่เรื่องที่ว่าเขาเป็นนักเขียนใหญ่นี่จริงนะ) เคยมายุโรปหลายครั้งแล้ว เขาเป็นนักเดินทางตัวฉกาจ ผู้มีหน้าที่การงานอนุญาตให้ไปสูดอากาศหายใจในแผ่นดินอื่นบ่อยครั้ง แต่ถึงประสบการณ์ท่องเที่ยวจะโชกโชน เขาก็ไม่เคยมาเดนมาร์ก นี่จึงเป็นครั้งแรกของเขาเช่นกัน

    เรามาด้วยกันได้ยังไง—นั่นสิ เรามาด้วยกันได้ยังไง

    ผมรู้จักพี่หนุ่มจากการทำรายการสารคดีรายการหนึ่ง นั่นหมายถึงการรู้จักแบบได้เห็นหน้าค่าตา เอาเข้าจริง ผมรู้จักตัวหนังสือของเขามานานแล้ว นับถืออยู่ในใจ พอได้รู้จักตัวตนก็ยิ่งขยายขอบข่ายความเข้าใจและความนับถือที่ผมมีมากขึ้น

    เราร่วมงานกันได้สองสามปี พูดคุยถูกคอในระดับที่ไม่ตบตีหรือฆ่าแกงกัน (สำหรับผม นั่นคือดีแล้วครับ เพราะในชีวิตนี้ผมตบตีและฆ่าแกงกับคนจำนวนมาก!) ด้วยความนับถือ ผมอาศัยความสนิทนี้ปรึกษาหาคำแนะนำจากเขาหลายเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการเขียนและการดำเนินชีวิต (ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวกัน)
  • ปีที่แล้ว (2014) พี่หนุ่มมีธุระให้ต้องไปนิวยอร์ก และบังเอิญว่าผมก็จะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง พอดีว่าพอดีกัน จึงไปด้วยกัน ทั้งที่ผมก็หวั่นว่าไปแล้วจะทะเลาะกันไหม เพราะเดินทางกับใครทีไร ไอ้เงื่อนไขอันเป็นนิสัยงี่เง่าในตัวผมก็มักจะไปจำกัดให้อีกฝ่ายลำบากใจอยู่เรื่อย ไม่อีกฝั่งก้าวก่ายผม ก็กลายเป็นผมก้าวก่ายอีกฝั่ง พอเป็นแบบนั้น ผลที่ได้จากการเดินทางกับใครๆ เลยมักจะลงเอยไม่ค่อยดีเท่าไร

    แต่จากการเดินทางไปนิวยอร์ก ใช้ชีวิตและหายใจด้วยกันสิบกว่าวันในครั้งนั้น ผลออกมาว่าใช้ได้ ไม่มีฝ่ายไหนกินแหนงแคลงใจกัน (ผมอาจคิดไปเอง เขาอาจจะกินแหนงกับผมก็ได้ แต่ผมไม่รู้!) เราเลยคิดว่าจะเดินทางด้วยกันอีกหลายระลอก และการเดินทางครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในหลายระลอกนั้น

    เราตั้งชื่อการเดินทางครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมาว่า ‘ทริปเด็ก’ 

    มองดูหน้าผมกับพี่หนุ่มก็คงรู้ว่าชื่อนี้ไม่ได้สื่อถึงคนที่ไปว่าเป็นเด็ก (เพราะไม่เด็กแล้วทั้งคู่ ถ้าจะตั้งชื่อให้สื่อถึงคนที่ไปคงต้องตั้งชื่อว่าทริปแก่) แปลความหมายโดยง่ายคือ เราตั้งใจจะไปในที่ที่ทำให้เรานึกถึงวัยเด็ก นึกถึงเมื่อวาน เป็นทริปนอสทัลเจีย เปิดฟิลเตอร์สีน้ำตาลอุ่น

    ครับ ผมก็นึกรำคาญตัวเองเหมือนกัน แค่จะไปเที่ยวก็ต้องมีธีม…

    ก่อนที่จะไปกันต่อ ขอสรุปสภาวะทางจิตของผมในช่วงนั้นให้ฟังโดยย่นย่อ

    คุณเคยรู้สึกว่าทุกอย่างบนโลกนี้ ‘เฉยๆ’ ไหมครับ?
  • ตื่นก็เฉยๆ กินข้าวก็เฉยๆ ทำงานก็เฉยๆ ครั้นจะดูหนังหรือเล่นเกม...ก็เฉยๆ

    ความเฉยนี้ไม่ใช่ความเฉยอันดีงามอย่างความเพิกเฉยในพุทธศาสนา แต่มันคือความเฉยอันปราศจากพลังงานในการขับเคลื่อน

    เอ้อ อาจเป็น ‘ความเฉื่อย’ มากกว่าก็ได้

    ผมอาจใช้ชีวิตเร็วเกินไป เร่งรัดเกินไป เมื่อทุกสิ่งวนมาให้เจออีกครั้งจึงไม่มีความตื่นเต้นอะไรหลงเหลืออีกแล้ว ทุกวันคือการผลิตซ้ำของเมื่อวาน โลกของผมถูกลดทอนเหลือเพียงประโยคง่ายๆ—เมื่อวานนำมาสู่วันนี้ และวันนี้ก็จะนำไปสู่พรุ่งนี้โดยไม่ต้องควบคุมอะไร

    รถไฟวิ่งวนเป็นวงกลมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และผมก็ลงจากขบวนไม่ได้ การวิ่งออกกำลังกายหรือการได้หัวเราะตลกโปกฮากับเพื่อน พอจะทำให้ลืมความเฉยไปได้บ้าง แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง ผมก็พบว่ากำลังนั่งอยู่บนรถไฟขบวนเดิม ผ่านป้ายสถานีเดิมๆ วนไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนวันหนึ่ง ถังแก๊สพลังงานของผมก็หมดลง ผมขยับตัวไม่ได้อีกต่อไป ได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ใช้ชีวิตไปตามแรงเต้นของสิ่งรอบตัว ไม่มีความฝันใฝ่ปรารถนาอะไรเหลืออยู่

    จะอธิบายอย่างไรดี มันไม่ได้เป็นความทุกข์ มันไม่ได้เป็นความสุข มันเป็นความเฉย ผมหาเหตุผลไม่ได้ว่านั่งรถไฟขบวนนี้ไปทำไม เพื่ออะไร วันไหนที่ผมตกร่องความคิดลงไปลึกๆ ก็อาจเผลอไปเห็นคำถามที่ติดอยู่ตรงหุบเหวว่า เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร แต่โดยมาก ก่อนที่จะเห็นคำถามนั้น ผมจะหลับตา ไม่อยากเห็น ไม่อยากตอบ กลัวว่าหากพยายามตอบแล้วผมจะกลายเป็นบ้า

    ไม่ชอบเลย
  • ผมคิดเองว่าวิธีหลุดออกไปจากรถไฟขบวนนี้คือการไปที่อื่น หากไปที่อื่นข้างในใจไม่ได้ ไปที่อื่นข้างนอกก็ยังดี ถึงอย่างนั้น ผมก็ต้องอาศัยความกล้าพอสมควรถึงจะก้าวพ้นจากบริเวณปลอดภัยของตัวเอง

    ทุกครั้งที่ออกเดินทาง ผมเรียกร้องสิ่งต่างๆ มากมาย เรียกร้องความแปลกใหม่ เรียกร้องพลังให้กับชีวิต เรียกร้องวิธีมองโลกจากมุมอื่น ซึ่งเท่าที่ผ่านมา มันก็ตอบโจทย์ผมได้เสมอ มันเคยให้ความสุขกับผม มันเคยให้ความกลัวกับผม มันเคยให้สายตาใหม่อันสดชื่นกับผม มันฉุดให้ผมขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำได้อีกครั้ง

    ครั้งนี้ผมจึงเรียกร้องจากมันเช่นเดิม

    อย่างที่บอก ผมทำความตื่นเต้น แรงฝันใฝ่ปรารถนา ความฝันโง่ๆ ความกล้าแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่มีสมการ ไม่มีสูตร ไม่มีตัวแปรหายไป ผมคิดว่าหากจะค้นหาพวกมันให้กลับมาได้อีกครั้งก็มีแต่ต้องเดินกลับไปทางเดิม ย้อนไปในวันที่ผ่านมา กลับไปในวัยเด็กเท่านั้น แต่อย่างที่รู้ เราถอยหลังกลับในมิติของเวลาไม่ได้ (อย่างน้อยก็ในตอนนี้) ทำได้อย่างดีที่สุด คือให้สถานที่พาเราถอยไปข้างหลัง ให้สถานที่ช่วยระลึกอดีต กระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่อาจลืมไปแล้วกลับมา

    ฟังดูงี่เง่าชะมัด แต่นี่แหละคือโจทย์ของผม—เอาแต่ใจผมรู้น่า
  • ย้อนกลับมาปัจจุบัน ตรงที่ที่กำลังยืนอยู่

    สุดลูกหูลูกตา คือคำที่ผมอยากใช้เพื่อนิยามวิวแถบนี้ เนินเตี้ยหลายลูกเล่นระดับสลับกัน สีเขียวอ่อนอมเหลืองของหญ้าบนเนินตัดกับฟ้าสีจางจนขาวได้พอดี มองรอบตัวเหมือนกับจะเห็นไปได้ถึงสุดขอบทวีป เหมือนสบตากับความเป็นอนันต์ มีต้นไม้แซมแทรกผืนดินขึ้นมาบ้าง แต่พวกมันก็เล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับภาพอันกว้างใหญ่ ไม่มีอะไรบดบังทัศนวิสัยใดๆ ฟ้าสีขาว ผืนดินสีเขียว ต้นไม้เข้ม จับมือประสานกันเป็นหนึ่งภาพอย่างพอดี ทั้งหมดนี้คือวิวภายนอกของสนามบินโคเปนฮาเกน

    อากาศก็วิเศษ เย็น แต่สูดหายใจเข้าก็ไม่ถึงกับเจ็บโพรงจมูก เป็นความเย็นที่ทำให้สดชื่น ปลุกให้ตื่นเหมือนได้อาบน้ำตอนเช้า

    ตลอดทริป เราจะใช้รถยนต์เป็นหลัก รถที่เราเช่าเป็นรถฟอร์ดโฟกัส สีดำ เกียร์แมนวล เราเช่าเกียร์ออโต้ไม่ได้ เพราะราคาจะสูงขึ้นไปอีกเกือบเท่าตัว ยิ่งถ้าจะเช่าเพื่อขับข้ามประเทศเป็นระยะเวลาสองสัปดาห์ด้วยแล้ว แค่ค่าเช่าก็อาจทำให้หมดตัวได้ จึงเป็นโชคดีของพวกเราที่พี่หนุ่มขับเกียร์แมนวลได้ (แม้จะร้างสนามมานาน และต้องปรับตัวพอสมควร เพราะพวงมาลัยอยู่คนละฝั่งกับที่คุ้นเคย)

    ผมนึกในใจว่า นี่เหมือนกับรถที่ใช้ในรายการ The Amazing Race เรียลิตี้เกี่ยวกับการแข่งขันเดินทางที่ให้คนจับคู่กันทำภารกิจต่างๆ ระหว่างท่องเที่ยวไปในหลายประเทศ ซึ่งมันเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้มาก เพราะเราเองก็กำลังทำภารกิจบางอย่างอยู่เช่นกัน ภารกิจแรกคือไปให้ถึงโรงแรม
  • เมื่อพี่หนุ่มรับหน้าที่ขับรถ ผมจึงมีหน้าที่เป็นคนนำทาง ซึ่งอย่าเรียกว่าหน้าที่เลย เพราะในรถมีจีพีเอส ผมก็แค่กดให้มันนำทาง ผมดูแผนการเดินทาง สะกดคำ นิ้วจิ้มคีย์บอร์ดบนหน้าจอที่กดไม่ค่อยติด รวมแล้วใช้ความพยายามคิดเป็นหน่วยพลังงานไม่เกินสองกิโลแคลอรี จะมีมากกว่านั้นบ้างก็แค่ตอนลองค้นแผนที่ในมือถือเป็นระยะเพื่อเทียบว่าจีพีเอสพาไปถูก ผมไม่ไว้ใจรถยนต์ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าขนาดที่จะฝากชีวิตไว้กับมันโดยไม่ตั้งข้อสงสัย

    เพียงระหว่างทางไปโรงแรม ก็ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้จะตอบโจทย์ได้เร็วเกินคาด ผมตื่นเต้น สนุกเหมือนเด็กๆ มองซ้ายมองขวา ทุกอย่างใหม่ ไม่คุ้นชิน ผมไม่เคยเห็นอะไรพวกนี้ด้วยตาของตัวเอง—เอ้า คุณครับ ก็ยุโรปครั้งแรกนี่นา—รูปทรงตึกแปลกใหม่ ภาษาก็ไม่คุ้นหู ผมอ่านไม่ออกหรอก แต่ในความไม่รู้เรื่อง ในสิ่งที่เราไม่เคยมีประสบการณ์กลับมีความสนุกซ่อนอยู่

    “ไม่เคยเห็นตื่นเต้นขนาดนี้เลย มีความรู้สึกกับเขาด้วยเหรอ” พี่หนุ่มหันมาตั้งข้อสังเกต

    ปกติผมจะอธิบายสิ่งที่ชอบว่า “ก็ดี” เป็นก็ดีที่ไม่ยินดียินร้าย เหมือนกับกลัวว่าถ้ายินดีมากเกินไป ความเสียใจผิดหวังก็จะมากตาม ผมจึงพยายามมีความรู้สึกในกรอบแคบๆ เสมอ

    แต่ความรู้สึกในวันนี้มันเกินคำนั้นไปหลายช่วงตัว นี่คงเป็นการเดินทางที่เรียกได้ว่า โร้ดทริปโดยสมบูรณ์ ในช่วงแรกเราจะเปลี่ยนที่นอนกันเกือบทุกคืน ตามแผน—เราจะขับรถจากเดนมาร์ก เข้าเยอรมนี เลี้ยวเข้าเนเธอร์แลนด์ แล้วไปจบที่เบลเยียม คืนรถที่นั่นแล้วบินกลับบ้านโดยทรานซิตที่เคียฟประเทศยูเครน รวมระยะทางขับรถประมาณสองพันกิโลเมตร

    เราใช้เวลาทั้งหมดสิบสี่วัน

    ไม่นานมากหรอกครับ แต่ผมคิดว่านานพอที่จะทำให้ตัวเองกลับมารู้สึกดีกับชีวิต


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in