0
with love,
from us, and all our memories
as always
‘ตกลงนะดีน มึงต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้กูนะ’
‘เออ เดี๋ยวกูบินกลับไป’
‘มึงสัญญาก่อนดิ’
‘อย่าวอแว’
‘ไม่เอา สัญญามาก่อน เดี๋ยวมึงเทกูอะ’
‘เออ สัญญา’
...ทำอย่างกับว่ากูเคยทิ้งมึงงั้นอะ
‘ตกลงนะ มึงเบสสิงคโปร์ใช่ปะ เอางี้ มึงวัดตัวมึงมาแล้วส่งไปให้ยูตะ เดี๋ยวมันไปจัดการเรื่องชุดให้’
‘เออ แค่นี้นะ กูทำงานต่อก่อน’
‘ขอบใจมากนะ’
‘อืม’
‘มึง’
‘ว่า’
‘จริงๆ กูเกรงใจมากเลยอะ เห็นมึงเพิ่งได้งานใหม่’
…มึงก็มีแต่จะหาเรื่องมาให้กูตลอด
น่ารำคาญ
‘เพิ่งจะมาเกรงใจหรอ’
‘…’
‘ถ้าเกรงใจมากก็วางได้แล้ว กูต้องทำงาน’
‘เออๆๆๆ’
‘แซน’
‘อะไร’
‘ยินดีด้วย’
‘…’
‘ในที่สุดก็ได้แต่งสักที’
..แต่ก็นะ เพราะเป็นมึง ต่อให้มึงจะหาเรื่องอะไรมาให้กูทำอีก
กูก็จะยังเต็มใจทำให้มึงอยู่ดีนั่นแหละว่ะ
ด้วยรัก
จากกูเอง
#ว้ากมาดิ
.
.
.
.
.
ถ้าถามว่าชีวิตนี้ดีนเกลียดอะไรมากที่สุด หนึ่งในนั้นเขาจะตอบมันว่า ดีนเกลียดมนุษย์ ไอ้ชิบหาย การเรียนคณะนิเทศศาสตร์ไม่เคยทำให้ดีนเคยชินกับมนุษย์โลกได้เลย ถึงแม้มนุษย์คณะนี้มันจะชอบยุ่งกับเขามากก็เถอะ แต่หัวเด็ดตีนขาดยังไงดีนก็เกลียดมนุษย์โลก เข้าใจมั้ย
“ครับ เอาลูกโป่งห้าสิบลูก ขอสี่โมงเย็นวันนี้ครับ ครับ ปาร์คไฮแอทครับ ตรงเอมบาสซี่ครับ”
แล้วก็เป็นเขา -- ดีนคนนี้ ดีนที่เกลียดการคุยกับมนุษย์โลกที่สุดคนนี้ ดีนที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม มือข้างซ้ายอุ้มเด็กน้อยในชุดสีชมพูไว้บนตัก มืออีกข้างหนึ่งกำลังถือโทรศัพท์คุยกับร้านขายลูกโป่งในปลายสาย คิ้วขมวด ขณะมองรายชื่อแขกและผังที่นั่งบนแผ่นกระดาษด้านหน้า ทั้งหมดเรียกว่าการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์โลก
ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ -- เขาถามตัวเองมาเป็นล้านๆ รอบแล้วให้ตายเถอะว่ะ แต่สุดท้ายก็ยังไม่หยุดคุยโทรศัพท์อยู่ดี และจะบอกให้นะ ตั้งแต่ตีสี่จนถึงตอนนี้ดีนยังไม่หยุดพูด เพราะดีน(กับเอย!) นั่นแหละที่กลายเป็นแขนกับขาให้เจ้าของงาน จนอีกนิดนึงเขาจะนึกว่าตอนนี้เราย้อนเวลากลับไปปีสาม และเขาย้อนกลับไปเป็นนิสิตสัมพันธ์แล้วด้วยซ้ำ
ให้ตายเถอะไอ้ห่า
ยังดีนะที่งานมีออแกไนซ์ แต่คนอย่างดีน... คนนิสัยอย่างดีน ยังไงก็ต้องลงมาดูความเรียบร้อยให้กับงานทุกงานเองอยู่ดี โดยเฉพาะงานสำคัญ
เขามุ่นคิ้ว บทสนทนาจากปลายสายฟังดูไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก เพราะร้านลูกโป่งดันบอกว่าอาจจะมาส่งไม่ทันสี่โมง
“จะต้องเพิ่มเงินเท่าไหร่อะครับ” แล้วดีนก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าตัวเองที่เป็นคนบ้าอุดมการณ์ชิบหาย คนที่หันไปด่าทุกคนที่เริ่มต้นเหยียดเชื้อชาติ คนที่ออกไปเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย.. จะเป็นคนพูดประโยคนี้ออกมา
เขาจัดการอุ้มวีว่าเข้าเอว แล้วยืนนิ่งๆ อย่างที่ชอบทำในยามไม่สบอารมณ์ ดวงตาเรียวเล็กทอดมองไปยังแบ็คดรอปที่ยังไม่เรียบร้อยดีเบื้องหน้า ก่อนที่หัวสมองชักจะเต้นตุบๆ เมื่อหางตาดันเห็นเพื่อนตัวโตยืนยิ้มแฉ่งเป็นไททัน -- ดูอารมณ์ดีและว่างจนชวนให้ดีนหงุดหงิด
“จัส มึงเอาไปดูหน่อยดิ๊” เขาตะโกนเรียกเพื่อนที่กำลังทำท่าฉีกยิ้มถ่ายเซลฟี่กับแบ็คดรอปด้วยกล้องฟิล์ม จัสตินสะดุ้งแล้วรีบวิ่งดุ๊กๆ มาหาเขา ดีนหันไปสบสายตางงๆ ของเพื่อนตัวโต ก่อนเอ่ยตัดสายเสียงแข็ง
“สี่โมงนะครับ ขอบคุณครับ” เขาจัดการยัดโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วลงไปนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม ก่อนยื่นกระดาษไปให้จัสตินที่ยืนทำหน้าโง่อย่างสมกับเป็นมัน เรียกให้ต้องเอ่ยย้ำเพื่อแจกแจงงาน “มึงเอากระดาษแผ่นนี้ไปตรวจอีกรอบ ว่าชื่อโต๊ะตรงมั้ย โต๊ะไหนอยู่ตรงไหน เวลาแขกมาจะได้ไม่งง”
“มึง มันยากอะ กูขอเลี้ยงวีว่าแทนได้มั้ย” จัสตินแย้ง
“ไม่ได้” เขาตอบทันควัน -- ก็แน่สิวะว่าไม่ได้ ในเมื่อวีว่ากลัวจัสติน
ขนาดตอนนี้แค่จัสตินมายืนอยู่ข้างหน้า เด็กจิ๋วบนตักของดีนยังเบะปากแล้วซุกใบหน้าลงกับอกของเขาเลย
“อะไรวะ ทำไมทีมึงตะโกนวีว่าไม่เห็นหนีเลยอะ”
“ก็มันเกลียดมึง” ดีนว่าเรียบๆ เรียกให้จัสตินเบะปากอย่างแสนงอน
“วีว่า เลิกเกลียดลุงจัสได้มั้ยอะ” จัสตินหันไปบ่นเสียงอ่อยกับเด็กน้อย แน่นอนว่าวีว่าในวัยหนึ่งขวบแปดเดือนหันหน้ามาแลบลิ้นใส่คนพูด ก่อนซุกใบหน้าลงกับอกของดีนตามเดิม เรียกให้จัสตินขมุบขมิบปากเจริญพรไปตามระเบียบ
‘เหมือนแม่มัน’ ครั้งหนึ่งจัสตินเคยกล่าวไว้ โดยมียูตะพยักหน้าเห็นด้วย
‘หรอ กูว่าวีว่าจมูกเหมือนฟินน์’
‘ไม่ใช่ กูหมายถึงเวลามันอ้อนมึง’
‘จริงมึง กับกูนะไม่เคยจะอ้อน อ้อนแต่มึงอะดีน’
‘หรอ’
‘เออสิวะ’ จัสย้ำ ‘เหมือนรู้ว่าอาดีนยังไม่ตัดใจจากแม่มัน’
‘ไม่ตัดใจเหี้ยอะไร มันจะแต่งงานอยู่แล้วมั้ย’
‘พาสเวิร์ดโทรศัพท์มึงยังเป็นเลขเดิม กูรู้’
‘เสือก’
ก็นั่นแหละ
ขี้เกียจจะเถียง
ในเมื่อมันเป็นจริงทุกอย่าง -- วีว่าติดดีนตั้งแต่ไหนแต่ไร คงเป็นเพราะอาดีนของวีว่าเป็นอาดีนที่ใจดีที่สุดในโลก และตามใจเด็กหญิงเป็นที่หนึ่ง เรียกได้ว่าจัสตินถึงขั้นนิยามความสัมพันธ์ของดีนกับวีว่า ว่า ‘ไอ้ดีน มึงมันเหี้ยกับคนทั้งโลก ยกเว้นวีว่ากับอีแซน’
ดีนหัวเราะหึ
ก็จริงของมัน
“อะดีน” เด็กน้อยในชุดราตรีบนตักเงยหน้าขึ้นมองอาดีน -- เขาเปลี่ยนสีหน้าทันควัน ขณะยกมือขึ้นลูบเรือนผมของเด็กน้อย
“ว่าไงครับ”
“หาหมะมี๊” วีว่าเบะปาก
“ลุงจัสพาไปหาแม่มั้ย” จัสตินเสนอตัวเสียงใส และแน่นอนว่าเด็กน้อยส่ายหน้า ก่อนซุกลงกับพุงของอาคนโปรดตามเดิม
“อะดีน” เสียงเล็กๆ อ้อนอาดีนอีกครั้ง สุดท้ายดีนก็จัดการวางปากกา อุ้มวีว่าเข้าเอว แล้วตามใจเด็กน้อยตามเคย
ทิ้งให้จัสตินบ่นอุบอยู่เบื้องหลัง
“เห็นกูเป็นขี้ทั้งแม่ทั้งลูก” เสียงบ่นจากเพื่อนตัวโตดังเข้าหูจากไกลๆ เรียกให้เขาหันไปทำหน้านิ่งใส่ -- แต่พอเห็นจัสตินมันทำหน้างอแงจริงจัง ดีนก็หัวเราะออกมาเบาๆ
ก่อนที่เสียงบ่นของจัสจะกลายเป็นเสียงกรี๊ด เมื่อยูตะโผล่มาจากที่ไหนสักที่ แล้วจัดการกระโดดขี่หลังจัสเหมือนเด็กๆ
คราวนี้ดีนหัวเราะลั่น โดยมีวีว่าหัวเราะตามด้วย
ไอ้พวกบ้านี่ยังเป็นบ้าเหมือนเดิม
เขาได้ยินเสียงบ่นของอีขี้วีนประจำกลุ่ม เมื่อประตูห้องพักที่กลายมาเป็นห้องแต่งตัวของแซนถูกเปิดออกโดยผู้ชายในชุดสูทเต็มยศ -- อันที่จริงดีนจับใจความไม่ค่อยได้นักหรอกว่าแซนมันบ่นอะไร แต่เหมือนจะได้ยินลางๆ ว่าเป็นคำว่า ‘แซนบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเข้ามา’ อะไรประมาณนั้น เพราะไอ้คนถูกบ่นมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่ปิดประตู
เขายืนมองหน้ามันนิ่งๆ
ส่วนมันก็หันมาสบตากับเขาด้วยสีหน้าเหมือนหมาท้อ
“โดนด่าแต่เช้าเลยพี่” มันบ่นอุบ “พี่โดนแซนด่ามั้ยวันนี้ พี่จัสบอกว่ามันโดนไปแล้วแปดรอบ”
ดีนส่ายหน้า สัมผัสได้ว่าเด็กที่อยู่ตรงเอวดิ้นขลุก -- คนในชุดสูทเองก็คงเห็นเหมือนกัน เพราะมันจัดการลงไปนั่งชันเข่ากับพื้น ยิ้มกว้าง แล้วอ้าแขนเตรียมกอดเด็กจิ๋วในชุดราตรี ที่ดีนเพิ่งปล่อยให้ลงเดิน
“ปะป๊ะ!”
“คนสวย ปะป๊าก็ว่าหนูหายไปไหน”
เขายืนนิ่งๆ มองวีว่ากอดกับปะป๊าแน่น มองเห็นฟินน์ยิ้มกว้างจนหนวดแมวขึ้นเต็มหน้า แล้วแย้มรอยยิ้มบ้าง
“หนูจะเข้าไปหาหม่ามี๊อยู่มั้ย” เขาถามเบาๆ
แต่ก็พอจะเดาคำตอบได้ว่าไม่ เพราะตอนนี้ฟินน์จัดการอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา ส่วนวีว่าก็ซบใบหน้าลงกับไหล่ของพ่ออย่างสงบ
“ไม่เป็นไรพี่ แซนยุ่งอยู่ เดี๋ยวผมดูลูกเอง” ฟินน์ตอบเรียบๆ มือตบก้นเด็กน้อยไปด้วย
ดีนพยักหน้า
“ขอบคุณมากนะพี่ที่ช่วยดูวีว่า”
“ไม่เป็นไร” ดีนตอบรับ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของฟินน์จะดังขึ้น มันรีบจัดการหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมารับอย่างทุลักทุเล เสียงคุยบ่งบอกว่ามันกำลังคุยกับเท็นและเอย ที่ดูท่าจะวุ่นวายกับงานฝั่งเจ้าบ่าวไม่ต่างจากเขาที่ยุ่งกับงานฝั่งเจ้าสาวมาทั้งเช้า
“โอเคมึง เดี๋ยวกลับไปๆ อย่าเพิ่งบ่น” มันตัดบทด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังเท่าไหร่นัก แล้วหันมาพูดกับเขาอีกครั้ง
“ผมไปห้องแต่งตัวก่อนนะพี่ เท็นบอกว่าผมยังแต่งหน้าไม่เสร็จ”
ดีนเลิกคิ้ว -- หันไปสนใจกับใบหน้าของฟินน์ แล้วพบว่าคิ้วมันไม่เท่ากันอย่างที่ว่า
เช่นเดียวกันกับที่พบว่ามันทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงของเด็กน้อยที่ซบหน้าอยู่บนไหล่ของมันกลับเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ปะป๊ะ ง่วน”
“โอเคครับ ไปนอนห้องปะป๊าได้มั้ย หรือหนูอยากอยู่กับหม่ามี๊?” เขามองเห็นภาพมันกำลังคุยกับเด็กหญิงที่ขยี้ตาแล้วเริ่มเบะปากอย่างอ่อนโยน โดยมีเด็กหญิงส่ายหน้าแล้วซุกลงกับไหล่ของฟินน์ตามเดิม
ชั่วขณะหนึ่งเขามองเห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับเนคไทด์ของนิสิตปีหนึ่งซ้อนทับกับชุดสูทขาวของมัน
ก่อนที่ห้วงภวังค์ทั้งหมดจะถูกทำลายเมื่อมันเอ่ยปากขอตัว
“ไว้เจอกันนะพี่ ขอบคุณมากครับ”
ขายาวๆ ของมันพาเจ้าของร่างให้เดินหันหลังกลับ ทว่าเดินไปไม่ทันจะพ้นหน้า มันกลับหยุดชะงัก แล้วหันมาพูดเสียงใส
“แซนสวยมาก”
เขาเลิกคิ้ว -- ไม่ทันจะตอบอะไร ฟินน์ก็เดินหายไปจากสายตา ทิ้งให้ดีนยืนอยู่หน้าประตูห้องของแซนตามลำพัง
มือของดีนทำท่าจะเคาะห้อง -- แต่เขากลับชะงักแล้วมุ่นคิ้ว
ในหัวกำลังเอ่ยประท้วงตัวเองว่าจะอยู่ตรงนี้ทำไม ในเมื่อคนที่ร้องจะมาหาแซนคือวีว่า และวีว่าไปอยู่กับฟินน์แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องมาวุ่นวายกับคนในห้อง ที่ดูท่าจะเม้งใช้ได้ในตอนนี้
แต่อยากเจอ
ห้วงความคิดกำลังเอ่ยคำที่ไม่น่าฟัง
มือข้างหนึ่งของดีนจับชายสูทของตัวเองอย่างประหม่า แต่สุดท้ายเขาก็เคาะห้องจนได้
ไม่กี่วินาทีต่อมาประตูห้องก็เปิดออก
ปรากฏภาพของผู้หญิงในชุดสีขาวสะอาดตา กำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่บนเก้าอี้กลางห้อง
“น้องแซน เพื่อนมาหา” เป็นแม่ของแซนที่เอ่ยคำพูดนี้ เรียกให้ผู้หญิงคนนั้นหันมามองเขาทั้งๆ ที่ยังขมวดคิ้วอยู่
เราสบตากัน
ก่อนที่มันจะยิ้มกว้าง “มึงใส่สูท”
“มึงตัดให้กูเอง” เขาตอบเรียบๆ
แต่หัวใจยังเต้นระรัวด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยสงบลงไปตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกัน
มองเห็นแซนขมุบขมิบปากเป็นคำด่าที่ไม่มีเสียง ก่อนที่มันจะหันไปเช็คหน้าตัวเองกับกระจกบานใหญ่ตามเดิม
หูของดีนอื้ออึงอย่างที่เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังมองแซนในชุดแต่งงานอยู่นานหลายนาที
ดีนมองเห็นภาพผู้หญิงผมสั้นในเสื้อยืดตัวโคร่งสีชมพูปรากฏขึ้นทาบทับกับคนตรงหน้า
‘ออกไปข้างนอกกันปะ ร้อนอะ’
แสงแดดพาดผ่านผ้าม่านสีขาวสะอาดตาเข้ามากระทบกับใบหน้าของแซน ขับให้ซีนมองเห็นเพื่อนสนิทได้อย่างเต็มตา
หัวใจเต้นระรัวมากขึ้นกว่าเดิม
ไวกว่าห้วงความคิด ดีนเดินเข้าไปใกล้ผู้หญิงในชุดสีขาว
แซนเลิกคิ้ว
“มีไรมึง” มันถาม ส่วนเขาส่ายหน้า
“วีว่าอะ” มันถามอีกรอบ เรียกให้เขาตอบเรียบๆ
“อยู่กับฟินน์”
เธอพยักหน้า แล้วเอื้อมมือขึ้นมาปัดฝุ่นบนสูทของดีน พร้อมบ่นอุบ “มึงไปคลุกฝุ่นที่ไหนมาเนี่ย”
เขาปล่อยให้มันบ่นไปเรื่อยๆ โดยที่ยังคงมองไปที่ใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าอย่างไม่วางตา ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าตัวเองจะได้เห็นภาพที่แซนติดขนตาปลอม เพราะเขาจำได้ว่าตอนมันเป็นสตาฟเชียร์ แค่โดนทุกคนบังคับให้ใส่ส้นสูงมันยังด่าแล้วด่าอีก แต่วันนี้มันกลับใส่ทั้งส้นสูง ชุดราตรี และติดขนตา จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่ามันยอมทำไปได้ยังไง
แต่มันก็ทำไปแล้ว
แล้วก็สวยจนเขานึกไม่ถึงเหมือนกัน
“แซน..”
“ไร” เธอช้อนตาขึ้นมอง
เราสองคนสบตากันนิ่งๆ ก่อนที่ดีนจะเอ่ยปากพูดก่อน
“ยินดีด้วย”
สัมผัสได้ว่าตัวเองเสียงสั่น
แล้วสภาพก็คงตลกมาก ที่ผู้ชายหน้าดุๆ จะยิ้มบางๆ ใส่หน้าผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ด้วยเสียงสั่นๆ แบบนี้ กับมือสั่นๆ ที่ยกขึ้นจับต้นแขนของเพื่อนตรงหน้าอย่างลังเลแบบนี้
แซนเองก็คงเห็นความประหม่าในใจเขา
เพราะมันคือคนที่คว้าเอาตัวดีนเข้ามากอดแน่นอย่างที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะทำ
ดีนหลับตา
แล้วปล่อยให้ห้วงความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาในความรู้สึก
‘ออกไปข้างนอกกันปะ ร้อนอะ’
‘ตอนนี้?’
‘อือ มันก็กิจกรรมซ้ำๆ ปะ’
‘…’
‘ว่าแต่แกชื่ออะไร’
‘ดีน’
‘เราแซนนะ’
และนั่นคือช่วงเวลาที่เขาได้รู้ว่า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีวินาทีไหนที่หัวใจของเขาจะไม่เต้นระรัวเช่นนี้ในทุกครั้งที่เห็นหน้าแซน
ไม่ต่างจากวันแรกเลยจริงๆ
I know a girl, she's like a curse
We want each other, no one will break first
So many nights, trying to find someone new
They don't mean nothing compared to her
tbc
:)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in