เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[FICTION] ด้วยรัก จากเราwinter in PARIS
Your Silly Dog
  • นึกว่าตัวเองจะไม่มีชีวิตรอดลงมาจากดอยแล้วจริงๆ ตอนที่ปวดท้องจนนึกว่าตัวเองใกล้ตาย 

    แต่สุดท้ายฟินน์ก็แบกร่างตัวเองและกระเป๋าลงมาถึงตัวเมืองเชียงใหม่จนได้ 

    “ถึงโรงบาลแล้วพี่ติน ยังไม่ตาย” ฟินน์บอกแบบนั้นทั้งๆ ที่ตัวเองนอนซมอยู่ในห้องฉุกเฉิน หลังจากที่จัดการฉีดยาไปเรียบร้อย เนื่องจากอาการโรคกระเพาะของตัวเองเกิดกำเริบขึ้นมาตอนนั่งรถไปได้ครึ่งทาง 

    ‘นี่อยู่ที่ไหน วันนี้ไม่ต้องเที่ยวแล้วนะน้องฟินน์ นอนโรงบาลไปเลย’

    “โอเคๆๆ พี่ตินใจเย็นนะ ฟินน์ไม่เที่ยวแล้ว เดี๋ยวอยู่แถวในเมือง”

    ‘บอกแล้วใช่มั้ยให้พัก กินข้าวบ้างมั้ย หรือไม่ได้กินมากี่วันแล้ว’

    พี่ตินบ่นยิ่งกว่าแม่ แต่ฟินน์ก็เข้าใจได้แหละว่าที่บ่นก็เพราะห่วง แล้วเขาก็ทำตัวน่าเป็นห่วงจริงๆ 

    ฟินน์นอนลืมตามองเพดานอีกครั้ง หูได้ยินเสียงความวุ่นวายของห้องฉุกเฉิน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์ที่เพิ่งวางไปดังอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเสียงของการแจ้งเตือนข้อความแทน 

    Justin : มึงไฟลท์กี่โมงนะ 

    Justin : กลับคืนนี้เหมือนกัน

    Finn : 21.55

    Justin : อ้าวไอ้ควาย Thai Smile ปะ

    Finn : ใช่

    Finn : ไฟลท์เดียวกันหรอ?

    Justin : เออ

    Finn : มึงอยู่กับใครอะพี่จัส 

    Justin : ดีนยูตะ 

    Justin : ทำไมวะ?

    Finn : เหงา 

    Finn : นอนให้น้ำเกลืออยู่รพกรุงเทพเชียงใหม่ 

    Justin : เป็นไรวะ

    Finn: กระเพาะ 

    Finn : แต่เดี๋ยวหมอให้ออกละ 

    Finn : อยากกินต๋องเต็มโต๊ะ 

    Finn : ชื่อนี้ปะ ที่ตอนปีสามมึงพากูไปอะ

    Justin : เอ้อ

    Justin : มึง

    Finn : ว่า?


    จัสตินเงียบไปอีกแล้ว 

    ฟินน์มุ่นคิ้ว

    เป็นห่าอะไรของมัน

    แต่สงสัยได้ไม่นานก็ต้องเลิกคิด เพราะหมอจัดการเรียกเขาไปคุยเรื่องยาและอาการของโรคในนาทีถัดไป 


    .

    .

    .

    .

    .


    จัสติน ดีน และยูตะตัดสินใจเดินออกมาจากห้องพักของลุงยุทธ แล้วทิ้งแซนให้ได้ใช้เวลากับครอบครัวของมันตามลำพัง 

    เอาจริงๆ อาการของลุงยุทธก็จัดได้ว่าดี กำลังจะหายอย่างปาฏิหาริย์ แต่ยังต้องพักผ่อนอยู่ อีกไม่นานคงจะกลับไปอยู่บ้านได้แล้ว -- ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี และคงได้กลับบ้านก่อนที่อีแซนมันจะคลอดด้วยซ้ำ 

    สถานการณ์ชีวิตของแซนนับได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงที่ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับในสายตาของจัสติน อย่างน้อยถ้าพ่อมันไม่ป่วย เพื่อนเจ้าปัญหาของเขาก็คงไม่ต้องกังวลไปอีกหนึ่งเรื่อง 

    ทว่าในหัวของจัสตินกลับยังเต็มไปด้วยเรื่องราวปัญหาชีวิตของอีบ้านี่ โดยเฉพาะเรื่องพ่อของลูกมัน ถึงแซนจะบอกให้ปล่อยวาง ก็ตาม แต่มันต้องรู้ว่าเขาเครียดมากขนาดไหน และดูท่าว่าทั้งดีนและยูตะก็คงเครียดไม่ต่างกันหรอก 

    “มึง” ยูตะคือคนที่ทำลายความเงียบใน Black Canyon ของพวกเรา ดีนจัดการเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเรื่องปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ ส่วนจัสก็เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ เพื่อฟังเพื่อนตรงหน้าเช่นกัน 

    “กูว่าฟินน์ควรรู้ว่ะ”

    ดีนถอนหายใจ 

    “คือกูก็รู้อะนะว่ามันเป็นเรื่องของอีแซน แต่กูมูฟออนไม่ได้อะพวกมึง” ยูตะย้ำ คราวนี้มันพูดเร็วจนจัสตินนึกว่ามันกำลังพูดภาษาญี่ปุ่น บ่งบอกได้ว่ามันคงเครียดมากพอดูเลยทีเดียว เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเป็นมันเป็นแบบนี้คือตอนมันทำวิกสามย่าน (ธีซิสของภาค MC) ตอนปีสี่ 

    “กูว่ามันก็ไม่ได้อยากอยู่คนเดียวอะพวกมึง ทำไงดีวะ ไอ้เหี้ย กูเครียดมาก”

    “ทำอะไรไม่ได้ มันดื้อ” ดีนตอบ “จะให้เป็นคนไปบอกฟินน์เลยก็คงไม่ได้ มันเสียมารยาท”

    “ไอ้สัส กูทำเป็นแบบ จับมันสองคนขังไว้ในห้องเดียวกันได้มั้ยอะ” ยูตะเบะปาก “มึงคือความคิดกูอาจจะดูประหลาดนะ แต่กูเคยคิดแบบนี้ตอนดงบังแยกเป็นสามสอง กูอยากจับดงบังให้อยู่ในห้องเดียวกันเขาจะได้กลับมา แต่ทำไม่ได้เพราะเขาอยู่เกาหลี นี่อีฟินน์อีแซนมันอยู่เชียงใหม่ด้วยกันอะ กูว่าเราลักพาตัวมันกันดีมั้ย กูเครียด คื--”

    “ยู” จัสตินเอ่ยขัด 

    เขาวางโทรศัพท์ลง หลังจากที่ข้อความหนึ่งของฟินน์เด้งเข้ามา 

    ทั้งดีนและยูตะต่างหันมองมาที่เขา 

    หัวใจของจัสเต้นระรัว 

    “ไอ้เหี้ย..”

    “อะไร/ทำไม” ยูตะกับดีนถามพร้อมกัน 

    “มึง..”

    “เร็ว กูตื่นเต้น” ยูตะเร่ง

    “ฟินน์อยู่โรงบาลนี้ว่ะ..”

    โชคชะตากำลังทำงานของมันแล้ว 



    .

    .

    .

    .

    .


    แซนไม่เคยชินกับการท้องเลยจริงๆ ยิ่งปาเข้าไปเจ็ดเดือนแล้วก็ยิ่งไม่ชิน เพราะถึงแม้ว่าท้องของเธอจะไม่ได้ใหญ่อย่างที่ใครหลายคนเป็น แต่มันก็ยังหนักและทำให้เดินลำบากอยู่ดี 

    เธอตัดสินใจเดินออกไปหาพวกจัสตินหลังจากได้คำตอบว่าพวกมันอยู่ที่แบล็คแคนยอน แล้วปล่อยให้แม่เฝ้าพ่ออยู่ในห้องต่อไป โดยไม่ลืมวางแผนในหัวว่าวันนี้จะต้องพาเพื่อนไปกินต๋องเต็มโต๊ะตอนเที่ยงให้ได้ ส่วนตอนห้าโมงเย็นต้องกิน Salad Concept เพราะเธออยากกินมะม่วงปั่น 

    เอาเข้าจริงแซนควรจะง่วงและหมดแรง เพราะกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปหกโมงเช้าเข้าแล้ว แถมยังต้องตื่นมาหาพ่อตั้งแต่สิบโมงอีกต่างหาก แต่อาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนมั้ง เธอเลยคึกมากเป็นพิเศษ 

    S joined the group 

    ยูตะเป็นคนลากเธอกลับเข้ากรุ้ปอีกครั้ง หลังจากเค้นจนรู้ไอดีใหม่ของแซนจนได้ ส่วนจัสตินเองก็ขี้เค้นไม่แพ้กัน เพราะมันเค้นถามแซนจนได้อินตาแกรมใหม่ของแซนมาเช่นกัน มีแค่ดีนนั่นแหละที่นั่งหัวเราะหึอยู่เงียบๆ โดยไม่บังคับให้แซนบอกอะไร ยกเว้นบังคับให้แซนรับฟอลไอจี 


    Seine : อยู่ Black Canyon อยู่ปะ?


    ไม่มีใครตอบ 

    แต่มีคนอ่านแล้วหนึ่ง

    แซนมุ่นคิ้ว


    Seine : หนีกูกลับกรุงเทพแล้วหรอ?

    Seine : ตอบเร็ว กูยืนโง่อยู่เนี่ย มันเมื่อย

    Seine : จะแดกมั้ยต๋องอะ

    Seine : หิวข้าว!


    เธอบ่นพึมพำว่าพวกมันเป็นอะไรวะ ไหนเมื่อเช้าบอกกันดิบดีว่าหายโกรธแล้ว แถมยังเกี่ยวก้อยดีกันรายคนเป็นเด็กๆ อีกต่างหาก 

    แซนถอนหายใจท่ามกลางบรรยากาศเพลงคริสต์มาสที่บรรเลงไปทั่วโรงแรม หัวใจเต้นระรัวด้วยความหงุดหงิด ต่างจากจังหวะเพลง We Wish You A Merry Christmas โดยสิ้นเชิง 

    เธอทำท่าจะกดโทรศัพท์โทรหาจัสติน แต่กลับต้องหยุดทุกการกระทำ เมื่อความเจ็บแล่นริ้วผ่านข้อมือข้างหนึ่ง 

    แซนจัดการหันหลังกลับไปมองเจ้าของสัมผัส 

    คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน ทำท่าจะด่าจริงๆ แต่กลับต้องแปรเปลี่ยนเป็นเบิกโพลงด้วยความตกใจ 

    “…ฟินน์” 

    เสียงของเธอสั่นเทา แซนรีบทำท่าจะถอยหลัง แต่กลับทำไม่ได้ เมื่อแรงของคนตรงหน้ามีมากกว่า และดูจะมีมากขึ้นเมื่อเขาเริ่มโกรธ 

    ใบหน้าหล่อบัดนี้ฉายแววความหงุดหงิดชัด มือข้างที่จับข้อมือของแซนอยู่บีบแน่นขึ้นกว่าเดิม

    เธอมองเห็นดวงตาของเขาสั่นระริก

    หัวสมองสั่งให้เธอพูดว่าปล่อย แต่ดูเหมือนว่าแซนจะไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากยืนเงียบอยู่อย่างนั้น

    “ทำไม” ฟินน์ถาม

    เป็นคำถามสั้นๆ ที่เธอรับรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงเจ็บปวดมากขนาดไหน นั่นทำให้ลมหายใจของเธอขาดห้วง

    “ปล่อยได้มั้ย” แซนพูด น้ำเสียงสั่นระริกไม่ต่างกัน เธอทำท่าจะเดินหนีอีกครั้ง แต่คราวนี้เขากลับรั้งให้เธอเข้ามาหากันด้วยแรงที่มากขึ้นกว่าเดิม 

    “จะหนีไปไหนอีก!” คราวนี้ฟินน์ขึ้นเสียง -- แม้จะไม่ได้ดังมาก แต่มันก็ดังพอจนเรียกความสนใจจากคนแถวนั้นได้เป็นอย่างดี 

    แซนตัวสั่น 

    หยาดน้ำใสเอ่อคลอในดวงตาของเธออีกครั้ง คราวนี้เธอเลือกจะกลั้นไว้จนปวดหนึบไปหมด

    “ปล่อย” แซนย้ำ

    “จะหนีฟินน์ไปไหนอีก” ฟินน์ว่าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ลดความดังลงเลยสักนิด ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งบอกว่าบัดนี้ห้วงความคิดของฟินน์ไม่มีอะไรอีกแล้ว นอกจากผู้หญิงตรงหน้าเท่านั้น เขาดูจะลืมไปด้วยซ้ำว่าตอนนี้อยู่ในที่สาธารณะ แต่ฟินน์ก็ไม่คิดอะไรอีกแล้ว 

    “ปล่อยแซน” แซนขึ้นเสียงบ้าง 

    “แซนทำแบบนี้ทำไม!”

    “ปล่อย!”

    “ทำไมใจร้ายแบบนี้วะ” เขาหน้าแดง เสียงของฟินน์เริ่มต้นสั่น และนั่นก็ไม่ยากเลยที่จะทำให้น้ำตาของแซนเริ่มไหล ถึงแม้เธอจะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้ก็ตาม 

    แซนหลบสายตา 

    “แซนทำแบบนี้ทำไม..”

    “…”

    “ทิ้งฟินน์ไปแบบนั้นทำไม” เธอเบือนหน้าหนี 

    “…”

    “ทำไมไม่บอก..”

    “…”

    “บอกสักคำดิวะว่าท้อง ทำไมแซนไม่พูด” 

    “…”

    “แซนแม่งใจร้ายสัส”

    เธอรับรู้ได้ว่าเขาร้องไห้ นั่นทำให้ห้วงความอดทนทั้งหมดของเธอเริ่มต้นพังเช่นกัน 

    เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา มองเห็นฟินน์ร้องไห้จนหน้าแดงไปหมด แม้ห้วงความรู้สึกจะสั่งให้เธอคว้าเขาเข้ามากอดอย่างที่อยากทำ แต่สมองกลับสั่งให้แซนเม้มปากไว้แล้วเลือกจะยืนอยู่เฉยๆ แทน 

    คนตัวบางตัวสั่นเทา เธอไม่ตอบอะไรเขาสักคำถาม 

    แต่สุดท้ายคนที่เลือกจะทิ้งทุกความโกรธและเหตุผลต่างๆ ก่อนก็คือฟินน์ ผู้ชายตัวโตตรงหน้าเธอจัดการคว้าเอาแซนเข้ามากอด 

    ความอดทนทั้งหมดพังทลาย

    “ไม่ทิ้งฟินน์ไปแล้วได้มั้ย”

    “…”

    “ไม่มีแซนแล้วฟินน์อยู่ไม่ได้จริงๆ” 

    ราวกับห้วงความคิดทั้งหมดดับวูบลง แซนหลงลืมไปว่าบัดนี้เธออยู่ในโรงพยาบาล 

    มือน้อยค่อยๆ ยกมือขึ้นกอดตอบ 

    แล้วทิ้งตัวลงในอ้อมกอดของเขา 

    คิดถึง..

    “ไม่หนีไปแล้วได้มั้ยแซน”

    เธอไม่ตอบอะไร 

    นอกจากซุกใบหน้าลงกับอกของเขานิ่งๆ เท่านั้น



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in