เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[FICTION] ด้วยรัก จากเราwinter in PARIS
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน Your Silly Dog





  • “ฮัดเช้ย!” 

    สายตาจากผู้คนทั่วทั้งรถแดงหันขวับมองมายังยูตะที่นั่งปิดจมูกอยู่ด้านในสุดของรถ -- ดวงตากลมมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก ก่อนยิ้มแหยๆ ให้กับคนที่นั่งข้งๆ ซึ่งกำลังมองมายังตัวเองด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์อย่างดีน 

    “ขอโทษ” ยูตะกล่าวเสียงแผ่วๆ สูดจมูกสองสามที -- ทำท่าจะลดมือลงแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกถึงอะไรที่ไม่ชอบมาพากล 

    เขามองข้ามไหล่ของเพื่อนร่วมรถไปยังจัสตินที่นั่งหลับอยู่อีกฝั่งของรถ 

    เท็นนั่งหลับอยู่ข้างกับมัน 

    ตรงข้ามเขาคืออิศราที่กำลังหลับตาฟังเพลง 

    ถัดจากอิศราคืออีเอยที่อย่าไปยุ่งกับมันน่าจะดีกว่า 

    ส่วนถัดออกไปจากดีนก็คือพี่ข้าวโพดที่หลับซบไหล่มันอยู่ ตามด้วยพี่แตงกวา 

    ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามจัสติน และอยู่ติดกับทางเข้าออกรถคือไอ้ฟินน์ ที่นั่งเป็นพระเอกเอ็มวีอยู่หลายนาทีแล้ว 

    ในเมื่อดูจะไม่มีใครพึ่งได้ ยูตะก็จัดการพยายามควานหากระดาษทิชชู่ในกระเป๋ารกๆ ของตัวเอง นึกดีใจที่วินไม่ได้เห็นภาพอุบาทว์ตาแบบนี้ -- เพราะเขาสัมผัสได้ว่าน้ำมูกกำลังอยู่เต็มมืออย่างน่ารังเกียจจริงๆ 

    แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะในกระเป๋าไม่มีทิชชู่ 

    ยูตะหน้าซีด 

    ดวงตาเสไปทางคนข้างๆ อย่างดีนอีกครั้ง พบว่าเพื่อนหน้าโหดกำลังมุ่นคิ้วเข้าหากันไม่ต่างจากเมื่อไม่กี่นาทีก่อน 


    และดูเหมือนว่ามันจะรู้ทันห้วงความคิดของเขา -- ดีนจัดการหยิบกระดาษทิชชู่จากในกระเป๋าสะพายข้างของมันแล้วยื่นให้เขาในนาทีต่อมา 

    ดวงตาของยูตะเป็นประกาย 

    เขาหยิบทิชชู่มาจัดการธุระของตัวเอง -- ก่อนสูดจมูก แล้วเอ่ยคำขอบคุณกับเพื่อนอย่างร่าเริง 


    “ไม่มีมึงกูแย่เลยนะเนี่ย” พูดจาเวอร์ๆ ไม่ต่างจากครั้งแรกที่เราเจอกันเท่าไหร่ -- แต่นั่นแหละยูตะ ยูตะที่ร่าเริงอยู่เสมอของเพื่อนทุกคนในกลุ่ม ยูตะที่ไม่เคยมีใครเกลียด ยูตะที่เป็นแบบนี้มาตลอด แม้เราจะเรียนจบมาสี่ปีแล้วก็ตาม 

    ดีนมองไปยังไหล่ข้างหนึ่งของตนเอง 

    พี่ข้าวโพดนอนหลับอยู่ -- ไม่นานนักไหล่อีกข้างก็หนักขึ้นบ้าง เพราะไม่นานยูตะก็จัดการซบลงบ้าง

    เขาถอนหายใจ 

    ก่อนลอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่น Spotify 


    เขาเลื่อนฟังเพลงอย่างที่่ชอบ ก่อนที่ดวงตาจะสะดุดกับเพลย์ลิสต์หนึ่งที่ไม่ได้สัมผัสมานาน 

    …E Seine 

    ห้วงความทรงจำนึกถึงใบหน้าดุๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง กับผมสั้นประบ่าที่ยังติดอยู่เป็นภาพจำเสมอ แม้การเจอกันครั้งสุดท้ายเธอจะไว้ผมยาวก็เถอะ

    อีแซน 

    ชื่อที่นึกถึงกี่ครั้งก็ยังมีอิทธิพลต่อใจของดีนอยู่เสมอ แม้กระทั่งตอนนี้ก็ตาม 


    อยากให้มึงอยู่ตรงนี้

    เขาคิดในใจ 


    มองข้ามไหล่ทุกคนไปยังที่นั่งสุดท้ายของรถ 

    ฟินน์เหม่อมองวิวด้านหลังรถไม่วางตา -- มันใส่หูฟังอยู่เช่นกัน 

    ดีนรู้ดีว่าคนทั้งรถเองก็คิดถึงแซนเหมือนเขาไม่ต่างกัน

    และฟินน์น่าจะเป็นคนที่คิดถึงผู้หญิงขี้ีวีนคนนั้นที่สุด 



    เพราะไม่มีใครเจอหน้ามันมาครึ่งปีแล้ว



    .

    .

    .

    .

    .



    เขามาแม่ฮ่องสอนครั้งสุดท้ายตอนปีสาม นั่นคือเมื่อสามปีก่อน

    “มึงจะนอนคนเดียวจริงๆ หรอ” เท็นถามเขาซ้ำเป็นรอบที่หก -- และฟินน์ก็ตอบว่า “เออน่า กูอยู่ได้” เป็นรอบที่หกอีกเช่นกัน 

    แต่ดูเหมือนว่าเท็นเองจะยังไม่วางใจ เพราะแววกังวลยังฉายชัดอยู่บนใบหน้าของมันอยู่ไม่จาง สุดท้ายจัสตินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รวบไหล่บางๆ ของเท็นเข้ามาโอบหลวมๆ พลางเอ่ยกำชับ 

    “มันโตแล้วน่า ปล่อยมันเถอะ”

    “แต่..”

    ฟินน์เอื้อมมือไปเบื้องหน้า วางแหมะไว้บนเรือนผมสีดำของเพื่อนแล้วขยี้เบาๆ ให้มันมุ่นคิ้วเล่น 

    “กูไม่ตายหรอกน่า ไม่ต้องห่วง” 

    เท็นถอนหายใจ “ถ้ามึงพูดอย่างนั้นก็โอเค” 

    เขายิ้มให้เพื่อน ก่อนเอ่ยย้ำ 

    “ไม่ต้องห่วง มึงไปพักเถอะ” 

    ลีลาได้ไม่นานเท็นก็ขึ้นไปพักที่ห้องพักจนได้

    ก่อนแผ่นหลังของเพื่อนจะลับไป ฟินน์เห็นพี่จัสหันมามองกัน 

    ผู้ชายตัวโตคนนั้นยิ้มบางแล้วโบกมือเบาๆ 

    ฟินน์ยิ้มกลับ 

    รอยยิ้มของเราสองคนเหมือนกัน 

    นั่นคือยิ้มที่ไม่เคยสดใสมาได้หกเดือนแล้ว 


    …หกเดือนที่ไม่มีแซน


    Maybe in ten years

    You'll call me on your telephone

    Wondering if I'm all alone 

    People Change - Mipso


    ถนนคนเดินในแม่ฮ่องสอนยังคงน่ารักและอบอวนไปด้วยความอบอุ่นท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บเหมือนเคย แม้กิจกรรมลองทริปในปีนี้จะย้ายมาอยู่ในเดือนธันวาคม ไม่ใช่มกราคมเหมือนอย่างปีที่ผ่านมา แต่ฟินน์ก็ยังรู้สึกว่ามันเหมือนเดิม.. เหมือนเมื่อสามปีก่อน 

    เขากดเปิดเพลงในโทรศัพท์

    หลับตาลงชั่วขณะ ก่อนลืมตาอีกครั้งแล้วทอดมองไปยังเสื่อที่ปูอยู่ริมทะเลสาบ 

    มองเห็นความทรงจำที่ซ้อนทับ ณ ตรงนั้น 

    แซนนั่งอยู่ตรงนี้..

    แซนในเสื้อกันหนาวสีแดง กับกางเกงยีนสีซีด 

    เรือนผมประบ่า 

    กับรอยยิ้มที่สว่างยิ่งกว่าดวงจันทร์บนท้องฟ้าเสียอีก 



    ‘เรียนจบแล้วแต่งงานกันนะ’ ฟินน์พูดแบบนั้นตอนที่เรากินปลาเผากัน 

    เขาจำได้ดีว่ามันเป็นภาพที่โคตรทุเรศ เพราะแซนถึงกับสำลักปลา จนฟินน์ต้องหาน้ำมาป้อนยกใหญ่ 

    พอกินเสร็จก็โดนด่าว่าทำไมชอบพูดอะไรแบบนี้ แต่พอเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความตั้งใจของฟินน์แล้ว แม่คุณถึงได้หยุดทำหน้าหงุดหงิด แล้วเปลี่ยนจากนั่งตรงข้าม มานั่งข้างๆ กันแทน 

    ‘แซนไม่อยากแต่งหรอ’ 

    ‘งอนเรื่องนี้มาเป็นร้อยรอบแล้ว พอ’ มือที่ประดับไปด้วยกำไลลูกปัดของเจ้าหล่อนเอื้อมมาจับใบหน้าของเขาไว้ ณ ขณะนั้นที่ดวงตาของเราสองคนสบประสานกัน ก่อนที่จุมพิตบางเบาจะถูกมอบลงบนหน้าผากเนียนของแซน 

    ฟินน์รวบตัวบางๆ ของคนรักเข้ามากอดแน่น 

    ในใจคิดว่าถึงตอนนี้แซนไม่ตอบก็ไม่เป็นไร 

    แต่ยังไงสักวันเขาต้องได้ขอเธอแต่งงานที่ริมแม่น้ำแซนแน่ๆ 


    “ขอบคุณนะครับ” เขาเอ่ยคำขอบคุณกับผู้หญิงวัยรุ่นสองคนที่มาขอถ่ายรูป -- ก่อนตัดสินใจเดินไปยังร้านเหล้าที่น่าจะเป็นจุดหมายของชาวคณะ 

    ระหว่างทางเดินมีคนเข้ามาขอถ่ายรูปอีกคนสองคนประปราย ฟินน์ไม่ได้รำคาญ เขาชินด้วยซ้ำ และรู้ดีว่าโอกาสที่จะให้ใครมาถ่ายรูปคู่ด้วยมันก็ไม่ได้มีอยู่บ่อยๆ เพราะฟินน์เองก็ไม่ค่อยได้เดินถนนในประเทศไทยเท่าไหร่ 

    งานของเขาเยอะมาก เยอะมาตั้งแต่หลังจากที่ซีรีส์ AI จบ -- ระหว่างขึ้นปีสี่ฟินน์ยังต้องเข้าคอร์สภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษอย่างหนัก ทั้งๆ ที่เรียนอินเตอร์มาตั้งแต่เด็ก แต่ฟินน์ก็ต้องฝึกสำเนียงให้ใกล้เคียงกับ American Native Speaker ให้ได้มากที่สุด เพื่อรับบทบาทใหม่ในภาพยนต์เรื่องใหม่ กับการรับบทบาทเป็นเจ้าชายรัชทายาท และภาพยนต์เรื่องนั้นก็ดันดังเป็นพลุแตก เขาต้องเดินสายไปเปิดตัวในประเทศต่างๆ ตั้งแต่ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และเกาหลี 

    ไม่มีใครเรียกเขาว่า “ฟินน์น้องตินโอเวอร์ไนท์” อีกแล้ว เพราะตอนนี้ทุกคนรู้จักเขาในชื่อ​ “ฟินน์ พชร” 

    ความดังของเขาถึงจุดที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ คือเมื่อปีที่แล้ว ที่ทางเกาหลีติดต่อมาให้ร่วมโปรเจคซีรีส์ กระทบไหล่นักแสดงดังอย่างปาร์คมินยอง จูจีฮุน และฮยอนบิน ฟินน์ยังจำตอนที่โทรบอกแซนซึ่งตอนนั้นยังเรียนอยู่ที่อังกฤษได้ 

    จำได้ว่าเขาดีใจจนจะร้องไห้ 

    แต่แซนกลับเงียบ 

    เขาได้ยินเสียงเธอสะอื้นเบาๆ 

    ‘แซนไม่ดีใจหรอ’ เขาถาม 

    ‘ดีใจสิ ดีใจมากๆ เลย’ 

    เธอตอบแบบนั้น แต่เขารู้ดีว่าในใจของแซนไม่ได้ดีใจอย่างที่พูดหรอก


    ช่วงต้นปีฟินน์แทบจะไม่ได้เจอกับแซนเท่าไหร่ด้วยซ้ำ เพราะแซนเองก็กำลังพยายามเรียนปริญญาโทที่อังกฤษให้จบ ส่วนเขาก็ต้องฝึกภาษาเกาหลีอย่างหนักมาก หนักจนเกือบจะถอดใจ 

    ‘ฟินน์ทำได้ แซนรู้’ แซนพูดแบบนั้นในคืนหนึ่งที่เขาโทรหาแล้วร้องไห้ใส่ด้วยความเหนื่อย น่ามหัศจรรย์ที่แค่เสียงใสๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นราวกับเธอกำลังโอบกอดกันไว้อยู่ไม่ห่าง 


    การถ่ายซีรีส์ของเกาหลีต่างจากไทยมาก -- เหนื่อยกว่ากันหลายเท่า แต่ฟินน์ก็คิดมาตลอดว่าเขาทำได้ดี 

    มีวันหนึ่งแซนบินมาหากันที่เกาหลี -- น่าจะสักเดือนกุมภาพันธ์ แซนได้มีโอกาสมาดูเขาเล่น เธอเอ่ยชมกันไม่หยุด เราทำท่าจะเดินเที่ยวโซลตอนกลางคืนกันแต่กลับถูกห้ามโดยผู้จัดการฝั่งเกาหลีของเขาเอง 

    ‘You’re getting more and more famous.’ เหตุผลเดียวที่เธอมอบให้เขา นับว่าโชคดีที่แซนเข้าใจ 


    เราดำเนินความสัมพันธ์ในรูปแบบ Long-distance relationship จนกระทั่งเดือนพฤษภา.. นั่นเป็นครั้งแรกในรอบปีที่เราได้อยู่ด้วยกันในกรุงเทพ 

    เรารักกัน เรากอดกันอย่างที่มักทำมาเสมอ แซนร้องไห้หนักมากๆ ตอนที่เห็นหน้าฟินน์ที่ลานจอดรถสนามบิน 

    เราจูบกันทันทีที่ขึ้นรถ -- มันคือจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึง และเป็นจูบที่ฟินน์ยังจำได้จนถึงตอนนี้ 

    สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรทำ คือการรักกันในลานจอดรถที่คอนโด 

    ไม่ควรทำจริงๆ 

    เพราะดูเหมือนว่าจะมีคนถ่ายรูปได้ -- แม้รถจะติดฟิลล์มมืด แต่มันก็ยังเห็นภาพแซนนั่งอยู่บนตักของฟินน์แบบลางๆ และเขาสามารถถ่ายเราสองคนขณะพากันขึ้นห้องได้อย่างชัดเจน 


    ภาพนั้นถูกส่งมายังบริษัท พร้อมการเรียกเงินถึงหกหลัก 

    ฟินน์อาสาจะเป็นคนจ่าย แต่กลับโดนทีมงานดุอย่างหนักว่า ปัญหามันไม่ใช่เงิน แต่มันคือชื่อเสียง ถ้าครั้งหน้าคนได้ภาพนี้ไปคือนักข่าวจะทำยังไง 


    ฟินน์ยังจำเย็นวันนั้นได้ -- เย็นในเดือนมิถุนายน 

    วันนั้นแซนอยู่ที่คอนโดของเขา เธอเทน้ำใส่แก้วจนล้น -- บ่งบอกว่าเธอกำลังใจลอย 

    เขากอดเธอจากด้านหลังอยู่นิ่งๆ 

    ‘เราต้องเลิกกันมั้ย’ เธอเอ่ยถามเสียงผะแผ่ว 

    ‘ไม่ครับ’ ฟินน์ตอบสั้นๆ 

    เธอเงียบไปสักพัก ก่อนอีกไม่กีนาทีต่อมาเขาจะได้ยินเสียงเธอสะอื้น

    ‘แต่แซนอยากเลิก’

    ภาพความทรงจำในวันนั้นขาวโพลน 

    ฟินน์จำได้ว่าเขาร้องขอว่าไม่เลิกกันได้ไหม ไม่มีใครบอกให้เราเลิกกันเลย ไม่มี.. ไม่มีสักคนที่บอกให้เราเลิกกัน 

    ‘แซนไม่อยากถ่วงฟินน์อีกแล้ว ขอร้อง ปล่อยแซนไปเถอะ’ แซนพูดแบบนั้น พร้อมสะบัดให้ตัวเองหลุดออกจากอ้อมกอดของเขา 

    เธอหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าติดมือไปด้วย บ่งบอกว่าแซนคิดจะเก็บของไปด้วยอยู่แล้ว

    ฟินน์มองแซนเดินไปยังประตู -- จำได้ว่าเราต่างร้องไห้ไม่ต่างกัน 

    ‘ต่อจากนี้.. อย่าเจอกันอีกเลยนะ’

    เธอพูดแบบนั้น.. และนั่นคือคำพูดสุดท้ายระหว่างเรา



    วันเดียวกันแซนจัดการปิดอินสตาแกรมของตัวเอง ทั้ง Private account และ Public account รวมทั้งจัดการกด Leave กรุ๊ปใน Line ทั้งหมด Deactivate แอคเคาท์เฟซบุ๊คและไลน์ทิ้ง 

    เธอหายตัวไปจากชีวิตของพวกเราทุกคน 

    ไม่มีใครติดต่อแซนได้.. ฟินน์คิดว่าเธอคงไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้ว ส่วนจัสตินคือคนแรกที่ทนไม่ได้ เขาขับรถไปถึงบ้านแซน เพื่อพบว่าพ่อของแซนย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว ส่วนพี่เทมส์ก็ย้ายไปทำงานกับพี่เจมส์ที่สิงคโปร์ 

    คนเดียวที่อยู่บ้านคือพี่จิว พี่ชายคนโตของบ้านนี้ที่แทบไม่มีใครรู้จัก -- พี่จิวที่ตอนนั้นแวะเข้ามาเก็บของ เป็นคนเอ่ยคำพูดกับจัสตินว่า

    ‘น้องแซนปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าโอเคเดี๋ยวก็ติดต่อมาเองแหละ’ 


    และนั่นคือข่าวคราวสุดท้ายของแซน ที่พวกเราได้รับรู้ 





    เรานั่งอยู่บนชั้นสองของร้านเหล้าในเมืองแม่ฮ่องสอนที่ชื่อว่า Crossroad -- ร้านประจำที่พวกเราชาวคณะมักแวะมาดื่มเหล้ากันเสมอตามประสาชาวนิเทศศาสตร์ แถมร้านที่ว่ายังอยู่ไม่ไกลจากถนนชื่อ ‘ถนนอุดมชาวนิเทศ’ ที่ครั้งหนึ่งจัสตินเคยขำและตื่นเต้นแทบตายกับชื่อนี้ แล้วโดนแซนด่าว่ามึงจะเวอร์อะไรมากมายมาแล้ว


    ‘ไม่ มึง มันเหมือนว่า.. Someone up there knows that’ 

    ‘Knows เหี้ยอะไรของมึง’

    ‘Knows that we’ll be here together, that’s why they named this road.’ 

    ‘หรือคนที่เริ่มรูทลองทริปรูทนี้เขาเลือกมาเพราะชื่อถนนล่ะวะ’ ดีนที่เดินผ่านมาเอ่ยขัด แถมยังเดินผ่านไปหน้าตาเฉย 

    จัสตินยืนนิ่งๆ สักพัก พอตระหนักได้ว่าจินตนาการของตัวเองโดนทำลาย เขาก็รีบวิ่งไปล็อคคอดีนทันที โดยมีเสียงหัวเราะใสๆ ของแซนเป็นแบ็คกราวด์ ตามด้วยเสียงเชียร์ว่า ‘ฆ่ากันๆๆ’ ของยูตะ ให้เขาสองคนเปลี่ยนเป้าหมายเป็นล็อคคอเพื่อนลูกครึ่งญี่ปุ่นคนนี้แทน 

    แซนที่เป็นผู้หญิงคนเดียวยืนขำอยู่อย่างนั้น 

    และจัสตินเองก็รู้สึกถึงความสุขที่อบอวลอยู่ในความทรงจำนั้นอย่างชัดเจน 


    การกินเหล้าของเราในวันนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา -- ปกติยูตะจะเป็นตัวเอนเตอร์เทนของเพื่อนๆ แต่ดูเหมือนว่าเราทั้งสามคนจะไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้นสักเท่าไหร่ 

    วินมาถึงแม่ฮ่องสอนเมื่อสองชั่วโมงก่อน โดยมีเท็นที่เป็นเจ้าแผนการประจำพวก 53 ลากทั้งวินและเอยให้เดินตามหาฟินน์กันทั่วแม่ฮ่องสอน กะว่าต้องทำให้ไอ้เพื่อนดารามันอารมณ์ดีให้ได้ 

    ใจจริงจัสก็อยากจะบอกแฟนเหมือนกันว่ามึงอย่าไปยุ่งอะไรกับฟินน์มันเลย แต่พอเห็นแววตาที่ตั้งใจของเท็น บวกกับคำพูดตอนที่มันบอกจัสตอนอยู่ในห้อง.. จัสตินก็รู้ตัวว่าห้ามอะไรมันไม่ได้ 

    ‘เท็นจะทำให้มันกลับมาสดใสให้ได้’

    ‘มึงพูดเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นเลยอะ’

    ‘...อย่าขัดได้มั้ยอะพี่จัส’

    ‘…’

    ‘ตั้งแต่พี่แซนหายไป เท็นกลัวฟินน์มันตายหลายรอบมากเลยรู้มั้ย’

    ‘…’

    ‘มีวันนึงโทรหาแล้วมันไม่รับ โทรหาใครรอบตัวมันก็ไม่มีใครติดต่อได้’

    ‘…’

    ‘ก็เลยเปิดเข้าไปในห้อง แล้วเจอมันนอนอยู่ โทรศัพท์แบตหมดแบบไม่ยอมชาร์จ บุหรี่เต็มห้องไปหมด แล้วก็มี... อย่างอื่นด้วย’

    ‘ไหนมันบอกเลิกแล้ว’ 

    ‘ก็นึกว่าเลิกแล้วเหมือนกัน กลัวมัน overdose มากเลยอะ’ 

    ‘…’

    ‘เท็นจะทำให้มันกลับมาเป็นคนให้ได้ เป็นแบบนี้แล้วไม่เหมือนฟินน์ที่เท็นรู้จักเลย’

    ‘…’

    ‘พี่แซนใจร้ายเนอะพี่จัส’

    ปกติก็คงจะปกป้องเพื่อนเต็มที่ 

    ‘มันก็คงมีเหตุผลของมัน’

    แต่ตอนนี้จัสตินรู้สึกว่าดวงตาของตัวเองก็เจ็บปวดไม่แพ้ใครหรอก 

    ‘…’

    ‘แต่มันใจร้ายจริงๆ’


    ใจร้ายที่หายไปโดยไม่บอก

    ไม่รู้ว่าแซนลืมไปแล้วหรือยังไง 

    ว่านี่คือจัสติน.. จัสนะ จัสที่มันโอ๋นักโอ๋หนา 

    จัสตินที่ชวนมันไปขี้บ่อยๆ แล้วโดนมันด่ากลับมา 

    จัสตินที่ชอบร้องไห้กับมัน แล้วมันก็ชอบมาร้องไห้ใส่ไม่ต่างกัน 

    มึงแม่ง


    โคตรใจร้ายเลยแซน


    “มึงว่ามันหายไปไหน” คนทำลายภวังค์ของจัสตินคือยูตะ -- ในมือของเพื่อนลูกครึ่งญี่ปุ่นถือแก้วเบียร์อยู่ ไม่เจียมตัวเลยสักนิดว่าเป็นหวัด 

    ดีนเงยหน้าจากกล้องในมือขึ้นมองคนพูด แล้วหันหน้ามาสบตากันกับเขา 

    “ถ้าจัสไม่รู้ก็คงไม่มีใครรู้” 

    ดีนยกเบียร์ขึ้นดื่ม ส่วนจัสตินได้แต่นั่งมองแก้วเบียร์นิ่งๆ เท่านั้น 

    “มึงรู้มั้ย” ยูตะถาม ดวงตาบัดนี้สะท้อนความจริงจังไม่เหมือนที่ผ่านมา 

    “ไม่รู้” จัสตินตอบ ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มพร้อมกันกับเพื่อน 

    “มันทะเลาะอะไรกับฟินน์หรอ” ยูตะถามอีกครั้ง “หมายถึง.. ปกติมันก็ทะเลาะกันไม่ใช่หรอ แล้วทำไมคราวนี้ต้องหนีไปแบบนี้เลยวะ” 

    “ไม่รู้สิ” จัสตินว่า “แซนมันก็แปลกๆ ต่อให้มึงพยายามเข้าใจมันขนาดไหน มึงก็ไม่เคยเข้าใจมันได้จริงๆ หรอก” 

    ดีนนั่งนิ่งอยู่นาน ก่อนเป็นฝ่ายพูดบ้าง 

    “มันชอบแม่ฮ่องสอน” 

    ประโยคประหลาดที่ทั้งยูตะและจัสตินต่างอมยิ้ม เพราะจำได้ว่าตอนปีสองอีแซนบ่นอยากมาแม่ฮ่องสอนไม่หยุดทั้งๆ ที่เพิ่งบินกลับกรุงเทพได้ไม่ถึงเดือน 

    “จริงๆ เป็นบัณฑิตแล้ว เราไม่เห็นต้องมาลองทริปกันเลยเนอะ” ยูตะเสริมพร้อมรอยยิ้ม 

    เราสามคนยกแก้วเบียร์ขึ้นชนกัน โดยที่ต่างคนต่างไม่ลืมยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย อย่างที่เราตกลงกันว่าจะทำแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อสี่เดือนก่อน 

    เพราะเราใช้เวลาเกือบสองเดือนไปกับการโกรธแซน 

    ค่อยหายโกรธตอนเดือนที่สองนั่นแหละ เพราะคิดว่ามันคงมีเหตุผลของมัน 

    ดังนั้น ในการกินเหล้าที่บ้านจัสตินในคืนนั้น พวกเราตกลงกันว่าจะอัพอินสตาแกรม ทั้งรูปและไอจีสตอรี่ โดยเขียนแคปชั่นให้แซนรู้ว่าเขียนถึง ทุกครั้งที่เรากลับมาเจอกัน 

    จัสตินเป็นคนเริ่มความคิดนี้ เพราะคิดเอาเองว่าถึงแซนจะ deactivate ทุกโซเชียลแอคเค้าท์ไป แต่คนอย่างมัน ยังไงก็ต้องหาทางเข้ามาส่องเราให้ได้


    วันนี้จัสตินอัพสตอรี่รูปแก้วเบียร์ พร้อมเขียนข้อความว่า ‘อยู่แม่ฮ่องสอนแล้ว อิจฉาล่ะสิ’

    ยูตะอัพภาพท้องฟ้า แล้วเขียนข้อความว่า ‘รอเก่งนะ (เลี่ยนมั้ย)’ พร้อมแท็กจัสตินและดีนบนก้อนเมฆ 

    ส่วนดีน -- ดีนอัพรูปรถแดง กับแคปชั่น ‘You should be here.’ กับสตอรี่แก้วเบียร์ และข้อความว่า ‘คิดถึงคนเมาแล้วอ้วก’ 


    เราสามคนเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ สบตากันพร้อมรอยยิ้มบาง 

    คิดถึงแซน














    ตอนเด็กๆ แซนเคยฝันว่าอยากมีบ้านอยู่เชียงใหม่ แต่ใครๆ ก็บอกว่าคนอย่างแซนอยู่ไม่ได้หรอก 

    แต่ก็อยู่แล้วไง นั่งหัวโด่อยู่ตีนดอยเชียงดาวนี่ 


    ดวงตาของแซนจับจ้องอยู่ที่สมุดเล่มหน้าเบื้องหน้า สองมือบรรจงขีดๆ เขียนๆ ตัวอักษรเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลา.. มันเป็นการกระทำที่ใครๆ ต่างก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะแม่ ที่ตอนที่เห็นแซนนั่งนิ่งๆ เป็นครั้งแรก ถึงกับเอ่ยปากถามว่า ‘น้องแซนโอเคจริงๆ ใช่มั้ยลูก?’ 

    ตอนนั้นแซนเงยหน้าขึ้นมา ไม่ตอบแม่ด้วยคำพูด แต่กลับพยักหน้าแทนคำตอบ 


    แซนโอเค 


    สายลมเอื่อยพัดโชยมา เรียกให้เธอหลับตาลงขณะฟังเสียงนกร้องเย้าลมฤดูหนาว -- ตัวอักษรในสมุดเบื้องหน้ายังคงหยุดลงที่คำว่า ‘สบายดี’ มานานหลายวัน ก่อนที่เสียงพนักงานของแม่จะเอ่ยถาม ทำลายภวังค์ในยามเช้าของเธอ 

    “คุณแซนทานโกโก้มั้ยคะ” 

    แซนพยักหน้า แล้วเอ่ยย้ำ “วันนี้ขอโกโก้ร้อนนะคะน้องนีร” 


    พนักงานสาวพยักหน้า แล้วกุลีกุจอไปทำโกโก้ให้เธอในทันที 


    แม่ของแซนตัดสินใจซื้อที่ที่ตีนดอยเชียงดาวโดยไม่ยอมบอกใครเมื่อปลายปีที่แล้ว -- เพราะรู้ดีว่าป๊าคงไม่เห็นด้วย แถมคุณนายทับทิมยังแอบสร้างร้านกาแฟและรีสอร์ทเชิงอนุรักษ์โดยไม่ยอมบอกให้ใครรู้อีกต่างหาก จนกระทั่งเสร็จเมื่อตอนกลางปี เธอจึงเอ่ยถามป๊าที่สุขภาพไม่ค่อยจะดีนักว่าจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่มั้ย 

    แม่บอกว่าตอนแรกไม่คิดว่าป๊าจะยอมย้าย แต่สุดท้ายก็ยอมด้วยเหตุผลอันน่าใจหาย 

    ‘เหนื่อยมาเยอะแล้ว ลองอยู่สงบๆ ดูบ้างก็แล้วกัน เผื่อจะได้เล่นกับหลานนานๆ’ 


    เมื่อวานป๊าเข้าเมืองไปโรงพยาบาล แม่บอกว่าคงนอนสักคืนสองคืน ดังนั้นวันนี้แซนจึงอยู่ที่รีสอร์ทคนเดียว กับพนักงานอย่างนีร ที่แม่จ้างให้อยู่เป็นเพื่อนแซน 24 ชั่วโมงเป็นพิเศษ 

    ‘แซนอยู่ได้จริงๆ’ แซนบอกแม่แบบนั้น แต่สุดท้ายก็ยอมเงียบ และให้แม่ได้ทำตามใจ หลังจากที่แม่พูดสั้นๆ ว่า 

    ‘เลิกทำให้แม่ห่วงได้มั้ย’

    เธอหลบสายตา แล้วปล่อยให้แม่ทำตามอย่างที่อยากทำ 


    การได้อยู่ท่ามกลางป่าเขาทำให้จิตใจสงบขึ้นได้จริงๆ 

    แซนนิ่งขึ้นมาก จิตใจของเธอสงบขึ้น แตกต่างจากเมื่อหกเดือนก่อนที่ว้าวุ่นเสียจนทุกคนเป็นห่วง มาวันนี้แซนไม่นั่งๆ อยู่แล้วร้องไห้อีกแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนกลางคืนเธอก็ยังนอนน้ำตาไหลและฝันถึงเขาอยู่บ่อยๆ 


    เธอหันไปมองภูเขาที่ตระหง่านอยู่ลิบๆ 

    จริงๆ.. ถ้าฟินน์ได้เห็นภาพนี้คงชอบมากน่าดู 


    ขอบตาร้อนผะผ่าว แต่บัดนี้ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกต่อไปแล้ว 

    แซนทำใจและยอมรับได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น และแซนเองก็รู้ดีว่าเธอตัดสินใจถูก

    ใช่..

    ตัดสินใจถูกแล้วที่ทำแบบนี้ 


    ใช่มั้ย


    ‘กูโคตรอยากเปิดร้านกาแฟบนดอย’ 

    จัสตินพูด ตอนที่เราสี่คนนอนดูดาวที่ดาดฟ้าบ้านมันที่เขาใหญ่เมื่อสามปีก่อน 

    ‘เดี๋ยวมึงก็เบื่อ’ ดีนที่นอนอยู่อีกฝั่งของเธอเถียง 

    ‘ดูถูกกูเกินไปแล้ว’ จัสว่า 

    ‘มึงจะตะโกนข้ามกูทำไมวะ’ แซนโพล่งออกมาอย่างไม่จริงจังนัก เรียกให้จัสตินบ่นอุบว่านิดหน่อยก็ดุ 

    นั่นทำให้เธอจัดการกอดเพื่อนตัวโตที่ขี้น้อยใจเป็นหมอนข้าง ก่ายทั้งแขนทั้งขาจนจัสส่งเสียงโวยวายว่า ‘ไอ้ห่า โดนน้องกูๆๆ’ เสียจนเสียงหลง 

    แซนก็คือแซน ไม่มีการเขินอายใดๆ หรอก เพราะแซนทำท่าจะจับซ้ำด้วยซ้ำ และแน่นอน จัสตินกรี๊ด ส่วนยูตะก็หัวเราะลั่น 

    ความวุ่นวายในคืนนั้นจบลงด้วยการที่จัสตินเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นนั่ง ตามมาด้วยเราอีกสามคนที่นั่งล้อมวงมองหน้ากันและกัน 

    แซนจำได้ว่าตอนนั้นเป็นฤดูร้อน -- ปลายเดือนเมษายนพอดี ที่จำได้เพราะตอนนั้นจัสตินเอาบทกางจอมาให้ช่วยอ่านด้วย และมันเป็นบทที่เขียนอิงมาจากเรื่องราวของพวกเรา 

    ‘มึงว่าอีกสิบปีเราจะยังคบกันอยู่มั้ย’ ยูตะโพล่ง 

    แม้บัดนี้เราจะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่แซนยังจำแววตาที่จริงจังของยูตะในตอนนั้นได้ดี 

    ตอนนั้นไม่มีใครตอบ 

    เราต่างคนต่างเขินอายเกินกว่าที่จะยอมรับว่าเรารักและผูกพันกับกันและกันมากขนาดไหน 

    ไม่มีใครตอบยูตะ จนกระทั่งงานบายเนียร์ที่จัดที่ใต้ถุนในวันศุกร์ถัดไป


    แซนยังจำได้ดี -- วันนั้นเธอสวมใส่ชุดนักเขียนหญิงล้วนของเธอ ดีนกับยูตะใส่ชุดนักเรียนเตรียมอุดม ส่วนจัสตินในชุดนักเรียนอินเตอร์ เรียกเสียงแซวจากเพื่อนทั้งกลุ่มว่าลืมไปเลยนะเนี่ยว่าบ้านรวย แต่ที่จำได้แม่นยำสุดก็คงเป็นอิศรา ที่ใส่ชุดราชปะแตนอันเป็นเครื่องแบบมาอย่างเต็มยศ 

    ‘มึงไม่ร้อนหรอวะ’ จัสตินที่นั่งอยู่ข้างๆ อิศราเอ่ยถาม 

    ‘เราไม่ร้อนหรอก เราเย็นตรงนี้ เย็นที่ใจ’ ไม่พูดเปล่า มันชี้ไปที่อกอย่างที่ว่า เรียกเสียงขำพรืดจากพวกเราได้เป็นอย่างดี 


    งานบายเนียร์ของคณะเราไม่ได้จัดที่โรงแรม -- ตรงกันข้าม เราจัดกันที่ใต้ตึกคณะ หรือที่เรียกกันติดปากว่าใต้ถุน 

    พี่ปีสี่ไม่มีการใส่ชุดราตรี แต่พวกเราทุกคนกลับใส่ชุดนักเรียน ย้อนวัยไปตั้งแต่ก่อนเข้าคณะ นั่งพื้นรวมกัน ล้อมรอบไปด้วยโต๊ะควายที่ถูกต่อขึ้นเป็นสแตนของเหล่าน้องๆ ปีหนึ่ง ปีสอง ปีสาม หรือแม้กระทั่งพี่บัณฑิต 


    กิจกรรมในวันนั้นหวนให้เรานึกถึงความทรงจำตลอดเวลาสี่ปีที่อยู่ที่นี่ แซนหัวเราะให้กับโชว์ที่ฟินน์กับเท็นออกมาเต้นเพลง Baby Don’t Stop ร้องไห้ให้กับ VTR ที่น้องๆ ทำให้พี่ปีสี่ของพวกมัน -- และร้องไห้หนักที่สุดคือการเห็นพี่ๆ บัณฑิตกลับมาเยี่ยมกัน 

    เราสี่คน และอิศรา จับมือร้องไห้กันตลอดท้ายงาน โดยยูตะเป็นคนพูดว่า  ‘กูจะไม่ลืมพวกมึงเลย’ และนั่นคือครั้งแรกที่เราทุกคนต่างพูดกันว่า ‘กูก็จะไม่ลืมมึงเหมือนกัน’

    ‘ร้องเหี้ยไรนักหนา เดี๋ยวก็เจอกันอีก’ แซนพูดแบบนั้นทั้งน้ำตา สะอึกสะอื้นหนักกว่าทุกคน 


    แต่สุดท้าย


    เธอก็เป็นคนที่ผิดสัญญา 





    ช่วงนี้ฟ้าเปิด และวันนี้เป็นคืนเดือนมืด นั่นทำให้แซนมองเห็นดาวได้เต็มตา 

    เธอบอกนีรว่าอย่าบอกแม่นะว่าวันนี้นอนดึก -- นีรอิดออด แต่สุดท้ายก็ยอมเพราะสงสารคุณแซน 


    แซนเอาเสื่อมาปูบนดาดฟ้าของร้านกาแฟ นอนแหงนหน้าแล้วดูดาวอยู่นิ่งๆ อย่างนั้น วันนี้อากาศหนาวแล้ว และเธอก็เตรียมตัวอย่างดีด้วยการสวมใส่เสื้อกันหนาวพร้อมหยิบผ้าห่มมาด้วยอีกต่างหาก 

    เธอไม่รุู้หรอก ว่าดวงดาวที่ดาษดาอยู่เบื้องบนนั้นเรียกว่าอะไรบ้าง จริงๆ ตอนที่นอนดูดาวกับฟินน์ก็เคยโหลดแอพมา แต่ก็ลบไปแล้วเพราะเก็บไว้ก็รกเครื่อง

    ไม่น่าลบเลย เพราะตอนนี้ดันอยากรู้ขึ้นมาเสียนี่ ว่านอกจากดาวแคสสิโอเปียแล้ว ดวงดาวด้านบนมันเรียกว่าอะไรบ้าง 

    ‘หนาวมั้ย’ 

    แซนหลับตา

    เสียงของเขายังดังชัดอยู่ในความทรงจำ ความอบอุ่นจากมือนุ่มๆ นั้นยังคงวาบอยู่บนมือเล็กของเธอไม่แปรเปลี่ยน 

    ยังได้กลิ่นฟินน์อยู่เลย..

    กลิ่นเหงื่ออ่อนๆ เหมือนเพิ่งออกกำลังกายเสร็จมา กับกลิ่นหอมๆ ของแชมพูยี่ห้อประจำ 

    ยังจำสัมผัสของเส้นผมของฟินน์ได้อยู่เลย 

    ขอบตาร้อนผะผ่าว 

    “หนาว” แซนตอบกลับเสียงกระซิบจากความทรงจำ 

    มือที่เคยประสานกันที่ท้องยกขึ้นปิดหน้า

    เธอสะอื้นจนตัวโยน

    .

    .

    .

    .

    .


    วันรุ่งขึ้นแซนปวดท้อง นั่นทำให้เธอต้องเข้าเมืองมาหาหมอ และโดนแม่บังคับให้อยู่ในตัวเมืองจนกว่าจะหายดี

    แรกๆ ก็อิดออดตามเคย แต่คิดไปคิดมาก็เชื่อแม่อีกสักครั้งก็ได้ 


    คุณนายทับทิมรวยจนแซนขนลุก -- ไม่เคยคิดมาก่อนว่าแม่จะลงทุนซื้อบ้านอยู่ในซอยนิมมานจริงๆ 

    “แซนนึกว่าแม่พูดเล่น” แซนว่า แม่ไม่ตอบอะไรนอกจากไล่ให้แซนนอนพักเท่านั้น เพราะเธอจะไปหาป๊าที่โรงพยาบาล 

    แต่แซนก็คือแซน 

    เธอดื้อยิ่งกว่าอะไรดี 


    แม่กลับไปโรงพยาบาลไม่กี่ชั่วโมง เธอก็หนีแม่ออกมาเดินในซอยจนได้ 

    แซนชอบนิมมานมาก ทั้งๆ ที่ฟินน์เคยบอกว่ามันเหมือนซอยบ้านพี่เจมี่ แต่แซนก็ชอบอยู่ดี เพราะนิมมานเหมือนส่วนผสมระหว่างทองหล่อกับอารีย์ ที่น่ารักกว่า

    ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ฟินน์ก็ไม่เข้าใจ และตัดสินใจเลิกชวนทะเลาะด้วยการวางมือบนผมแซน แล้วเดินเล่นกันนิ่งๆ

    แต่ตอนนี้แซนเดินคนเดียว 

    เธอใช้มือถือแทนกล้อง -- จัดการถ่ายรูปความน่ารักของเมืองไว้อย่างที่เธอชอบทำ ก่อนจัดการเปิดเข้าอินสตาแกรม.. แล้วจัดการโพสต์รูปภาพลงไปในแอคเค้าท์ใหม่นั้น


    moonriver__ 


    แอคเคาท์ที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเธอ เพราะแซนโพสต์แต่ภาพของวิวทิวทัศน์เท่านั้น และแซนก็ล็อคแอคเคาท์ไม่ให้ใครฟอลโลว์ 

    ตัวเลข Following ของเธออยู่ที่ 10 คน 

    จัสติน ดีน ยูตะ เท็น เอย เจโน่ อิศรา พี่เทมส์ น้องโจ้

    …และฟินน์ 


    เธอนั่งอยู่ในคาเฟ่หนึ่งในถนนนิมมานเหมินทร์ -- ดื่มโกโก้เย็นแทนกาแฟที่เคยติด 

    มือข้างหนึ่งกดเข้าไปดูสตอรี่ของจัสติน หลังจากที่ไม่ได้เข้าไปส่องมานาน


    เห็นภาพวิวรถแดงอันคุ้นตา เรียกให้เธอต้องมุ่นคิ้วเข้าหากัน 

    ยิ่งแฮชแท็กลองทริปนั้น..

    ..ลองทริปย้ายมาจัดเดือนนี้หรอ? 


    เธอมองออกไปนอกหน้าต่างร้าน เห็นเด็กวัยรุ่นถือกระเป๋าเดินกันเป็นกลุ่ม ได้ยินเสียงโวยวายดังเข้ามาพร้อมกับคำว่า ‘มึง กูอยากได้รูปป้ายถนนอุดมชาวนิเทศอะ’ 

    หัวใจหล่นวูบ 


    สตอรี่ของจัสตินมีถึงแค่ภาพรถแดงเท่านั้น และอินสตาแกรมพาเธอหมุนไปยังสตอรี่ของดีนเป็นคนต่อไป

    ดีนลงสตอรี่เพลง Rainy Days and Mondays 

    ลงสตอรี่ภาพโบกมือส่งจัสตินที่สนามบิน พร้อมเขียนข้อความประกอบว่า ‘ส่งเพื่อนไปขี้’ 

    ลงวิดิโอสตอรี่เท้าตัวเองเดินตามถนนที่คุ้นตา


    …20 minutes ago 

    ดีนอยู่นิมมาน?

    หัวใจของแซนเต้นระรัว เธอหยิบหมวกปีกกว้างขึ้นมาสวม ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเปิดประตูออกไปนอกร้าน 

    ชนเบาๆ กับใครคนหนึ่งที่กำลังเปิดประตูเข้ามา

    “ขอโทษค่ะ” เธอว่าทั้งๆ ที่ยังก้มหน้า 

    ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม 

    ซ้ำเขายังไม่ขยับตัวหนี

    พลันความเจ็บปวดแล่นริ้วจากข้อมือด้านขวา คนตรงหน้าบีบข้อมือของแซนแน่น

    เธอเงยหน้าขึ้นมองคนไร้มารยาทเบื้องหน้า 

    “แซน..”

    ใบหน้าอันแสนคุ้นเคย

    กับน้ำเสียงดุๆ ที่เธอจำได้ดี 

    “..ดีน” 

    เราสองคนสบตากันนานหลายวินาที นานพอที่แซนจะเห็นประกายความโกรธสะท้อนชัดอยู่ในนั้น ก่อนที่ดีนจะไล้สายตาลงมาเบื้องล่างแทน 

    แซนน้ำตาไหล 

    “มึง..” ดีนว่า เธอได้ยินเสียงลมหายใจของเพื่อนขาดห้วง 

    “มึง.. ไม่บอกฟินน์ได้มั้ย”

    “…”

    “ขอร้อง.. ดีน..”

    “…”

    “ไม่บอกฟินน์ได้มั้ย..”

    “ลูกฟินน์หรอ?”

    แซนไม่ตอบ

    เธอโผเข้ากอดเพื่อน 

    ร้องไห้จนตัวโยน ถ้าดีนไม่กอดไว้แซนคงลงไปร้องไห้กับพื้นจริงๆ 


    ใช่..

    แซนท้องกับฟินน์ 


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in