Bye2020
-Jmione-
วันที่เราชอบมากที่สุดของปีมีอยู่ 2 ว้น วันแรกคือคริสต์มาส วันต่อมาคือวันปีใหม่ เรารักช่วงเวลาที่ท้องถนนเต็มไปด้วยไฟประด้บ เสียงเพลงตามเทศกาลดังคลอท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่น
หนึ่งปีผ่านไปไวเหมือนโกหก จำได้ว่าปีก่อนเรายังอายุ 23 นั่งนึกถึงตัวเองในวัยอายุ 24 พอถึงวันนี้ เราอายุ 24 ก็ยังคงนั่งนึกถึงตัวเองในวัย 25 ความรู้สึกวันนั้นกับวันนี้คงไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร แต่เราแค่โตขึ้นมาอีก 1 ปีเท่านั้นเอง
เราผ่านปีที่ 24 มาอย่างยากลำบาก ปลายปี 2019 เราภาวนาให้ทุกอย่างในปี 2020 ผ่านไปได้ด้วยดี แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นปีที่หนักสุดสำหรับเรา
โควิด , เครียด , ล้มเหลว , สุขภาพจิตพัง , self-esteem ต่ำมาก , อุบัติเหตุ , ลาออกจากงาน
นั่นเป็นภาวะที่เราต้องเจอมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี เราเกือบผ่านมันมาไม่ได้ เกือบจะไม่ได้อยู่ดูคริสต์มาสของปีนี้ แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้เพราะมีแรงฉุดจากหลายคนที่คอยดึงไว้
เราทำงานเป็นมาร์เก็ตติ้งของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ไตรมาสแรกของปีทุกอย่างผ่านไปด้วยดี จนถึงช่วงพีคที่โควิดระบาด แน่นอนว่างานมาร์เก็ตติ้งถูกวัดเพอร์ฟอแมนซ์จากยอดขาย จากที่เคยดี ทุกอย่างกลับดิ่งลงในเดือนเมษายน และตกต่ำต่อเนื่องจนถึงเดือนมิถุนายน
เราไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว แต่สถานการณ์โรคระบาดมันอยู่เหนือความควบคุมของเรา เรา work from home ตั้งแต่เดือนกุมภา - มิถุนา พยายามทำทุกอย่างให้งานออกมาดี แต่สุดท้ายคงต้องบอกว่ามันไปต่อไม่ได้จริงๆ ตลาดในพื้นที่มันเริ่มตัน รักษาฐานงานเดิมไม่ได้ และงานใหม่ก็หาไม่ได้
สิ่งนี้ทำให้เราเจอภาวะความกดดันจากเจ้านาย
ต้องมานั่งทำรีพอร์ตว่าวันนี้ไปไหนมาบ้าง รายงานว่าแต่ละวันทำอะไรบ้าง พูดง่ายๆ คือจับผิดนั่นแหละ เราทำทุกทางเพื่อดึงงานจากลูกค้าให้อยู่กับบริษัท แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง สิ่งที่เราทำมันคือสูญเปล่า ไม่ได้อะไรกลับมาและยังเหนื่อยฟรีอีกด้วย
เราพยายามทำตามคำแนะนำของเจ้านายมาตลอด แต่คำแนะนำนั้นมันไม่เอื้ออำนวยกับในพื้นที่ที่เราทำงานอยู่ เรากับผู้จัดการโดนกดดันจนอึดอัด ความอึดอัดมันก่อตัวตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ พอรู้อีกทีเราก็ไม่ไหวแล้ว
และทุกอย่างก็พัง
เราเริ่มพบว่าตัวเองมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องจิตใจช่วงเดือนมิถุนา เริ่มเครียด นอนไม่หลับ ไม่อยากเจอผู้คน กระทบกับงาน ซึ่งงานเราเป็นงานที่ต้องออกไปพบลูกค้าตลอด เราเริ่มรู้ตัวเองในวันที่ต้องออกไปหาลูกค้าแต่ก็ไปไม่ได้ เพราะความอึดอัดบวกความเครียด ทั้งๆ ที่เราเป็นคนชอบงานแบบนี้แท้ๆ พยายามแล้วแต่ก็ทำไม่ได้
เราเริ่มคิดเรื่องลาออก แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว พ่อและแม่ค้านตลอดเวลาและบอกให้เราอยู่ต่อไป โดยที่เค้าไม่ได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเรา
ปลายเดือนมิถุนาฯ เราอึดอัดจนทนไม่ไหว งานมีปัญหา ติดขัดไปหมดทุกอย่าง และเราตัดสินใจพูดคุยกับผู้จัดการ โชคดีมากที่เรามีผู้จัดการที่ดี รับฟังปัญหา ให้คำปรึกษาเราอยู่ตลอดเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง
เราคุยกับเขาถึงเรื่องลาออก และเขาก็คิดเหมือนกันว่าจะลาออก สถานการณ์ในออฟฟิศเริ่มแย่ลง นั่งร้องไห้กับทีมด้วยกันทุกวันจันทร์ก่อนจะส่งรีพอร์ตประมาณการยอดขาย จากความเครียดของคนสองคน สุดท้ายมันก็กระจายเป็นวงกว้าง
จู่ ๆ คืนหนี่งเรามีความคิดที่ไม่ดีเอาเสียเลย ความคิดอยากตายมันผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด เราหมดแรง ไม่อยากจะตื่นไปทำงานต่อ คิดเพียงแค่ว่าตายตั้งแต่วันนี้เลยได้ไหม อยากนอนแบบไม่ต้องฟื้นขึ้นมาแล้ว เหนื่อย แต่สุดท้ายเราก็ทำมันไม่ได้ เพราะยังมีงานอีกหลายอย่างที่เราต้องจัดการมันให้เสร็จ
คืนนั้นเราได้ทักไปหาเพื่อนคนหนึ่ง แบม คือเพื่อนคนนั้นที่เราเลือกจะคุยด้วย
เราพูดกับแบมว่าเราอยากตาย เราเหนื่อย เราเครียด สิ่งที่แบมถามกลับมาไม่ใช่คำว่าไหวไหม เหนื่อยไหม แต่มันกลับเป็นประโยคที่ทำให้เราคิดว่าพรุ่งนี้เราจะอยู่เพื่อทำอะไรต่อต่างหาก
เอาจริงมันเหมือนเป็นประโยคที่ฉุดเราขึ้นจากหลุมอยู่นะ
“เธอคิดจะทำยังไงต่อ”
หลังจากแบมถาม เราถึงได้คิดต่อว่าหลังจากนี้เราจะไปทำอะไร ถ้าเราออกจากงาน เรามีแพลนไหม เตรียมพร้อมอะไรไว้บ้างยัง
และเราก็ตอบคำถามของแบมได้ทุกคำถาม
ความอยากตายมันยังมีอยู่ แต่คำว่าความรับผิดชอบก็ต้องมี เราตายไม่ได้ ถ้างานยังไม่เสร็จ 5555555555 ชีวิตมนุษย์ทำงานมันก็แบบนี้
เราตัดสินใจปรึกษาจิตแพทย์ เทคยาอะไรบ้างไม่รู้อยู่เป็นอาทิตย์ คิดว่าจะดี แต่แค่วันแรก เราก็ไม่ไหวแล้ว แค่ตื่นยังยาก ไปทำงานแบบเบลอๆ หัวโล่งไปหมด คิดงานไม่ออก และสุดท้ายเราก็ทนกินได้แค่ 1 อาทิตย์และหยุดไปเอง (มันไม่ใช่เรื่องดี อย่าทำตาม) รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่เป็นผลดีกับเรา แต่เราไม่สามารถไปทำงานด้วยสภาพแบบนั้นได้
และคิดว่า “ถ้ากูไม่ได้ลาออก กูต้องตายสักวันแน่ๆ”
และวันหนึ่งเราตัดสินใจบอกปัญหาทุกอย่างกับครอบครัว ปัญหาเรื่องงานที่ทำให้เราอึดอัดจนนอนไม่หลับ เหมือนทุกอย่างได้ปลดล็อคในวันนั้น เราได้ลาออกสมใจ พูดได้เต็มปากว่าเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เราบอกผู้จัดการว่าจะลาออก ซึ่งในวันเดียวกันก็ได้คำตอบจากผู้จัดการว่าเขาก็จะลาออกเหมือนกัน
เป็นไงล่ะ แท็กทีมออกแม่ง 555555555
เอาจริงๆ หลังจากบอกว่าลาออก ก็เจอความกดดันมาอีกเยอะ ยุ่งยาก โดนด่าว่าเนรคุณ แต่ก็แล้วไง ปลง ไม่สน จะออกแล้ว
วันที่ยกลังเก็บของออกจากออฟฟิศ เป็นวันที่เราเหมือนได้ชีวิตของเราคืน เหมือนได้รอยยิ้มที่หายไปกลับมา
อยากจะขอบคุณทุกคนที่ช่วยให้เราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้
ครอบครัว - ขอบคุณที่รับฟังและเปิดใจรับรู้ปัญหาของเรา ยินดีให้เราลาออกแบบสายฟ้าแลบ จากที่คิดว่าปรึกษาหรือคุยอะไรไม่ได้ วันนั้นเราถึงได้รู้ว่าจริงๆการเปิดใจคุยกับครอบครัวมันก็ไม่ได้ยากอะไรเหมือนที่คิดไว้ ขอบคุณที่ซัพพอร์ททุกอย่าง รวมไปจนถึงเรื่องเงิน 555555
แบม - เราอยากจะบอกเธอว่า เธอเป็นคนสำคัญสำหรับเรามากๆ ในวันที่เราแย่เธอเป็นที่ปรึกษาทุกอย่าง เธอไม่ได้แนะให้เราไปทางไหนสักทาง แต่คำถามของเธอวันนั้นมันทำให้เราได้คิดถึงอนาคตข้างหน้ามากกว่าจะนั่งจมอยู่กับความเครียด ขอบคุณเธอจริงๆ สำหรับทุกเรื่องเลย
แก๊งกินไข่ (แบม/มิิ้น/แนน) - แบมไม่พูดถึงเพราะพูดไปแล้ว 55555 ขอบคุณมิ้นที่เป็นน้องที่น่ารัก คอยถามอยู่เสมอว่าพี่จ๋าเป็นอะไร พี่จ๋าไหวไหม ขอบคุณมากๆ รักมิ้นเหมือนน้องสาวแท้ๆ ไปแล้ว ขอบคุณสำหรับคำปรึกษามากๆ บางครั้งก็ได้เรียนรู้อะไรจากมิ้นเยอะเหมือนกันนะ มิ้นเป็นเด็กที่มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากๆ เก่งที่สุดแล้ว ส่วนแนน เธอเหมือนน้ำเย็นคอยชะโลมจิตใจ ประมาณนั้นแหละ เธอเหมือนคนคอยเบรกให้เราเย็นลง เรารู้จักกันมาหลายปีมากๆแล้ว เราแคร์เธอมากนะ อยากให้เธอเจอเรื่องดีๆและเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิต ชั้นน่ะรักพวกเธอทุกคนในแก๊งเลย
พี่อร - หนูขอบคุณมากๆเลยที่คอยบอกหนูเสมอว่าคุยกับพี่อรได้ ปีที่ผ่านมาถึงเราจะคุยกันน้อยลงมาก แต่หนูขอบคุณมากๆเลยน้าสำหรับกำลังใจที่ให้หนู หนูผ่านมันมาได้แล้ว! เก่งมั้ย
เพื่อนๆทุกคนในทล. - มันจะมีบางคนที่ทักมาหาเรา เมนชั่นมาถาม เมนชั่นมาให้กำลังใจ บางคนก็ DM มาหา ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ กำลังใจของทุกคนไม่ได้สูญเปล่าเลยนะ เราดีขึ้นและผ่านมันมาได้ แม้จะทุลักทุเลไปหน่อย แต่เราไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน
เราเองก็ไม่รู้ว่าเราทำใครหล่นหายไประหว่างทางบ้าง แต่สำหรับคนที่ยังอยู่ ขอให้รู้ไว้ว่าคุณคือคนที่สำคัญสำหรับเรามากๆ ขอบคุณที่อยู่ข้างเราเสมอในปี 2020 และปีก่อนหน้าที่ผ่านมา เราหวังว่าในปีต่อไป เราจะยังมีทุกคนอยู่ข้างๆ อยู่เสมอ ด้วยรักจากเรา.
ปีใหม่ปีนี้เราคงทำเหมือนเดิม นอนรอฟังเสียงพลุเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือเราจะอายุเพิ่มขึ้นไปอีก 1 ปี และเรายังคงหวังให้ปี 2021 ใจร้ายกับเราให้น้อยลงกว่าปี 2020
เราจะเป็นเราที่โตขึ้นในทุก ๆ วัน และจะไม่อดทนกับความเจ็บปวด แต่จะหาทางระบายมันออกมาให้ได้มากที่สุด
ถึงจ๋าในปีต่อไป
- ถ้าได้ย้อนกลับมาอ่าน อยากจะบอกว่าแกเก่งมากๆ ที่ผ่าน 2020 มาได้ อยากให้แกผ่านทุก ๆ ปีไปได้จนแก่เลย เงินประกันชีิวิตต้องได้ใช้ตอนแก่นะ!
ปล. ถึงคุณคนที่เข้ามาในปีนี้ ขอบคุณที่เข้ามาทำให้กระชุ่มกระชวยหัวใจค่ะ วันนี้เราไม่ได้ชอบมาก แต่วันหน้าถ้าคุณยังมั่นคงอยู่แบบนี้ เราคงหนีคุณไม่พ้นอยู่ดี ขอบคุณเนอะ❤️
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in