___________________________________________________________________________________________________
"น...นาย จ...จะทำอะไรน่ะ"
น้ำเสียงที่ฟังดูติดขัดนั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ดวงตากลมโตที่เบิกกว้างและใบหน้าเรียวที่ดูซูบซีดนั้นฉายแววตื่นกลัวอย่างชัดเจน ไร้วี่แววของความกล้าที่จะต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน มือหนาคู่หนึ่งจากร่างสูงที่ย่อตัวอยู่ตรงหน้าเขานั้นกำลังเอื้อมเข้ามาใกล้ทีละนิด ก่อนจะคว้าข้อเท้าของเขาไปกอบกุมเอาไว้ แรงกระชากจากอีกฝ่ายทำให้เกิดเสียงโซ่เหล็กกระทบกับพื้น มันดังไปทั่วทั้งห้องที่มีแต่ความเงียบแห่งนี้ เสียงที่สะท้อนก้องอยู่ในหูของเขานั้นทำให้เขาพยายามชักฝ่าเท้าของตัวเองหนีอย่างสุดความสามารถ ทว่าก็ไม่เป็นผล เขาไม่สามารถสู้แรงของอีกฝ่ายได้เลย
"ถ้าพี่ไม่ดื้อ..." น้ำเสียงที่กำลังเอื้อนเอ่ยออกมานั้นฟังดูนุ่มละมุน พลางใช้ปลายนิ้วโป้งของตนค่อย ๆ ไล้ไปตามรอยแผลรอบข้อเท้าบางในมือที่เกิดขึ้นจากโซ่ตรวนอย่างแผ่วเบา "พี่ก็คงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้"
แววตาอาทรจากอีกฝ่ายที่ทอดมองมานั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกวางใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย กลับกันเสียด้วยซ้ำ ยิ่งเขาเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีอ่อนโยนต่อเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวมากเท่านั้น
ภายใต้การกระทำที่แสนสุภาพและนุ่มนวลตรงหน้า คิมโดยองรู้ดีว่าจองแจฮยอนไม่ใช่เทพบุตร
ไม่ใช่เลย...
"คนดื้อต้องโดนทำโทษนะครับ...พี่รู้ใช่ไหม?"
คิ้วเรียงที่เลิกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มแสยะตรงมุมปากจนปรากฎลักยิ้มบุ๋มข้างแก้มนั้น ทำให้ร่างกายของโดยองเกิดอาการสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ และในที่สุด ความกลัวของเขาก็ถูกกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตาที่กำลังคลอเบ้า ก่อนที่มันจะค่อย ๆ ไหลลงอาบแก้มเนียนทั้งสองตามแรงโน้มถ่วงของโลก
"ชู่ว...ไม่ร้องสิ ผมไม่ทำอะไรรุนแรงหรอกน่า" แจฮยอนค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าหาร่างผอมโปร่งที่กำลังถดตัวหนี จนกระทั่งแผ่นหลังเปลือยเปล่านั้นแนบชิดติดกับผนัง ไร้ทางไปต่อ "ถ้าพี่ไม่ดื้ออีก"
ประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นนั้นฟังดูเย็นเยียบเสียจนโดยองขนลุกซู่ เขานั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขัดขืนใดใดอีก เขากลัวว่าหากตัวเองเผลอขยับหนีออกไปอีกแม้เพียงนิดเดียวอาจยิ่งทำให้คนตรงหน้าทวีความไม่สบอารมณ์เอาได้
การขัดใจอีกฝ่ายในสถานการณ์แบบนี้เป็นการกระทำที่แสนโง่เขลา เพราะโดยองรู้ดีว่าแจฮยอนในยามที่กำลังโมโหนั้น...มันช่างน่ากลัวมากเพียงใด
สัมผัสนุ่มหยุ่นจากริมฝีปากของอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ ทาบทับลงมาบนบาดแผลตรงข้อเท้าของเขานั้น ทำให้ความรู้สึกหวาดหวั่นที่กำลังเกาะกินใจของเขายิ่งทวีคูณมากขึ้น
ความอ่อนโยนของแจฮยอนมีสิ่งแลกเปลี่ยนเสมอ
โดยองค่อย ๆ สูดลมหายใจลึกก่อนจะกลั้นมันไว้และหลับตาลง...พยายามทำใจให้ยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองต่อจากนี้
ปลายลิ้นเย็น ๆ ของแจฮยอนที่ลากไล้ไปตามบาดแผลอย่างไม่นึกรังเกียจนั้นทำให้โดยองรู้สึกแสบเล็กน้อย สัมผัสนุ่มชื้นและลมหายใจอุ่นร้อนนั้นไล่วนไปทั่วบริเวณข้อเท้าของเขา แจฮยอนกดจูบหนัก ๆ อีกครั้งลงบนหลังเท้าเรียวของเขา ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
เสียงโซ่เหล็กกระทบพื้นห้องจนดังก้องอีกครั้ง เมื่อเข่าทั้งสองของเขาถูกมือหนาของอีกฝ่ายจับให้แยกออกจากกัน เรียวขาที่เคยเนียนสวยนั้น บัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยจากกามารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นรอยช้ำจากการบีบเค้น รอยคมเขี้ยวจากการขบกัด ไปจนถึงรอยคิสมากส์ที่อีกฝ่ายสร้างเอาไว้
เพราะทุกครั้งที่มีการลงโทษเกิดขึ้น แจฮยอนจะต้องฝากร่องรอยใหม่ทิ้งเอาไว้บนเรือนร่างของเขาเสมอ ต่อให้ร่องรอยเก่าจะยังไม่ทันได้จางหายไป อีกฝ่ายก็ไม่สนใจอยู่ดี เพราะทุกร่องรอยที่เกิดขึ้นก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายได้ทำอะไรกับร่างกายของเขาลงไปบ้าง และมันก็ตอกย้ำว่าเขาไม่มีทางหนีรอดไปได้
เขารู้ว่าแจฮยอนจงใจ รอยยิ้มชื่นชมผลงานหลังจากเสร็จกามกิจทุกครั้งของอีกฝ่ายคือหลักฐาน
โดยองกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อสะกดกลั้นไม่ให้มีเสียงใดหลุดรอดออกมา เขาฝืนกลืนก้อนสะอื้นของตัวเองกลับเข้าไปในลำคอ และปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบงัน
แจฮยอนเลื่อนใบหน้าขึ้นมาดูดเม้มต้นขาอ่อนของเขาจนเกิดเสียงน่าอาย ปลายลิ้นชื้นแฉะไล้เลียวนไปมาก่อนจะฝังคมเขี้ยวลงบนเนื้อนุ่มนั้น
"โอ้ยยย!"
ก่อนจะยกยิ้มออกมาอย่างสมใจจนเห็นลักยิ้มบุ๋มที่ข้างแก้มเมื่อได้ยินเขาหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บ การกัดเมื่อครู่นั้นไม่ใช่การขบกัดอย่างหยอกเย้าแต่อย่างใด เพราะอีกฝ่ายนั้นชอบที่จะได้เห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดของเขา
และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถขัดขืนใด ๆ ได้เลย มือทั้งสองของเขาที่ถูกมัดไพล่หลังไว้เพราะการพยายามหนีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คือบทเรียนของการขัดขืนครั้งล่าสุด และสิ่งที่กำลังเกิดกับตัวเขาในขณะนี้ก็คือบทลงโทษ
สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงอย่างเดียว คือพยายามทำใจให้ยอมรับ
แม้ว่าเขาจะทำมันไม่ได้เลยก็ตาม
'พี่รู้รึเปล่าว่าพี่เป็นคนที่มีเสน่ห์มากนะ'
โดยองไม่เคยนึกสงสัยในคำพูดและรอยยิ้มบางเบาที่เต็มไปด้วยความซื่อตรงจากอีกฝ่ายเลยสักครั้ง
'รู้ดิ' เขายักคิ้วตอบก่อนจะหัวเราะน้อย ๆ ออกมา 'ก็พี่หล่อขนาดนี้ จะไม่มีสเน่ห์ได้ไง'
'เอาจริงนะ ผมไม่อยากให้ใครเห็นรอยยิ้มของพี่เลย ให้ตายเถอะ' อีกฝ่ายสบถออกมา ก่อนที่ท่าทีดูหัวเสียเมื่อครู่นั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นกังวล 'นี่ผมหวงพี่มากไปรึเปล่า? พี่อึดอัดบ้างไหม?'
'ไม่หรอก แบบนี้แหละกำลังดีเลย'
เขาและแจฮยอนนั้นคบกันมาได้เกือบห้าเดือนแล้ว ในครั้งแรกที่ได้เจอกัน โดยองรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีอะไรบางอย่าง
แปลกประหลาด ทว่าน่าค้นหา
ก่อนที่ความรู้สึกเหล่านั้นจะเลือนหายไปราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่ เมื่อแจฮยอนเดินตรงเข้ามาทักเขาพร้อมกับรอยยิ้มสุภาพและแก้วเครื่องดื่มสองแก้วในมือ
'ให้ผมเลี้ยงสักแก้วนะ'
'เอาสิ'
เขายื่นมือไปรับแก้วเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายส่งมาให้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
ค่ำคืนนั้นของเขาและแจฮยอนเริ่มด้วยออนเดอะร็อค ตามด้วยจูบอันดูดดื่มตรงเก้าอี้หน้าบาร์ ก่อนจะจบลงบนเตียงในห้องหนึ่งของโรงแรมที่ไหนสักแห่งซึ่งเขาไม่ได้สนใจตอนที่เดินเข้าไป
ไม่กี่วันถัดมาเขาถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นน้องในมหาวิทยาลัยเดียวกัน เมื่อเขาเจออีกฝ่ายกำลังยืนต่อแถวซื้อมื้อกลางวันอยู่ที่โรงอาหารของคณะ แจฮยอนเรียนคณะเดียวกันกับเขาแต่คนละสาขา
เขาเป็นฝ่ายยืนมองแจฮยอนก่อน จนกระทั่งอีกฝ่ายหันมาสบตากับเขาและส่งรอยยิ้มเล็ก ๆ จนปรากฎลักยิ้มตรงมุมปากมาให้ รู้ตัวอีกทีเขาและแจฮยอนก็นั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะเดียวกันเสียแล้ว
และพวกเขาก็ได้สานต่อเรื่องราวทั้งหมดจากเมื่อคืนก่อน
โดยองไม่เคยมองว่าการหึงหวงของคนรักนั้นเป็นเรื่องน่าอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เพราะลึก ๆ แล้วตัวเขานั้นก็หวงคนรักของตัวเองมากเช่นกัน
มันอาจจะฟังดูเร็วไปสักหน่อยที่เขาตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของคนรัก ทั้งที่เพิ่งคบกันได้เพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่เขากลับรู้สึกว่าแบบนี้แหละดีแล้ว ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าการมีแจฮยอนในชีวิตคือเรื่องที่ดี และเขาก็อยากจะลองใช้ชีวิตร่วมกับคนรักดูสักครั้ง จึงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะต้องหยุดเที่ยวกลางคืนและงานปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงไปเลยก็ตาม
เขาค้นพบว่าตัวเองชอบที่จะอยู่ในอ้อมกอดของแจฮยอนมากกว่าอยู่ที่ใดในโลก
ก่อนที่เขาจะรับรู้ว่าแท้จริงแล้วนั้นยังมีแจฮยอนอีกคนที่เขาไม่เคยรู้จักอยู่ร่วมด้วยมาโดยตลอด
แจฮยอนอีกคนที่พร้อมจะตื่นขึ้นมาทุกครั้งเมื่อรู้สึกหึงหวงในตัวเขา
โดยองค่อย ๆ รับรู้ถึงการมีอยู่ของแจฮยอนอีกคนนั้นจากการทะเลาะกันในเรื่องเล็กน้อย อย่างเรื่องที่เขากลับบ้านช้าเพราะรถติด จนกระทั่งเรื่องราวทุกอย่างเลยเถิดไปกันใหญ่เมื่อเขากลับถึงบ้านดึกกว่าที่บอกกับอีกฝ่ายไว้ในคืนวันหนึ่ง เนื่องจากต้องทำกิจกรรมกับชมรมของมหาวิทยาลัยที่เขาสังกัดอยู่
'ถ้านายจะไม่ให้พี่ออกไปเจอกับใครเลย นายก็คงต้องขังพี่เอาไว้แล้วแหละ'
'นั่นสินะครับ'
เขาไม่เคยรู้เลยว่าถ้อยคำประชดประชันที่เอ่ยออกไปในตอนนั้น มันจะกลายเป็นความจริงในอีกไม่ช้า
'อะไรของนายเนี่ยแจฮยอน! พี่จะสายแล้วนะ!'
เขาโวยวายออกมาด้วยความไม่พอใจเมื่อถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือเอาไว้ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังลากกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปเข้าค่ายอาสาที่ทางชมรมของเขาจัดขึ้น
'ก็ผมไม่อยากให้พี่ไปนี่ เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ?'
'อย่ามางี่เง่าน่า นี่มันเป็นค่ายชมรมนะ พี่เป็นกรรมการชมรม จะไม่ให้พี่ไปได้ไง'
'ได้สิครับ' จู่ ๆ โดยองก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เมื่อได้เห็นรอยยิ้มเย็นจากคนรัก 'ผมก็แค่ต้องขังพี่เองไว้ไง'
'นายจะทำอะไรน่ะแจฮยอน! ปล่อยพี่นะ!'
เขาพยายามขัดขืนแล้ว พยายามจะสะบัดมือหนาที่บีบข้อมือของเขาแน่นจนทำให้รู้สึกเจ็บออก ทว่ามันก็ไม่เป็นผลเลยสักนิด
แจฮยอนที่ลงมือล่ามโซ่และขังเขาเอาไว้ในห้องใต้ดินของบ้านนั้นไม่ใช่คนรักของเขา
ไม่ใช่แจฮยอนที่เขารู้จักอีกต่อไป...
[end.]
แต่ว่านะ แจฮยอน น้องเอ็งรุนแรงมากเด้อออออ น้องเอ็งต้องหลงคุณกระต่ายของเรามากๆ เลยอ่ะ จะออกไปไหนยังไม่ได้เลย แรงมากๆๆๆๆ
แต่ดูแล้วแจฮยอนหลงโดยองมากนะคะ รักมากหวงมาก การไล่จูบข้อเท้าขึ้นมาคือนางหลงแฟนขั้นสุดแล้วเนี่ย แจย๊อนนนน ใจเย็นๆ ลูก ;0;
ภาษาดีมากเลยค่ะ เป็นอารมณ์ที่แบบช่วยอะไรไม่ได้เลยจริงๆ นะโดยอง มัดขัดกันไปหมดทั้งตื่นเต้นทั้งกลัวใจแจฮยอน
ขอบคุณมากนะคะ เราเป็นกำลังใจให้นะ ฮึบๆ