หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาเองก็คงไม่เลือกสมัครงานที่บริษัทนี้
นานเกินไป จะหนีง่ายๆเหมือนเด็กจบใหม่ก็คงไม่ทันแล้ว ใครจะรู้ว่าชลวิทย์เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของเขาจะเป็นหัวหน้าทีมคนใหม่ที่อายุน้อยที่สุด โชคยังดีที่เขาอยู่คนละแผนก แต่กรณีของชลวิทย์ก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก เขารู้สึกตัวเองไร้การพัฒนาอย่างไรก็ไม่รู้ ห้าหกปียังอยู่ที่เดิม ทั้งหน้าที่การงานและความรู้สึก…
เขากดแป้นเอนเทอร์ครั้งสุดท้ายก่อนจะมองระบบปฏิบัติการปิดตัวลง หน้าจอดำมืดสะท้อนภาพผู้ชายหน้าจืดชืดและซีดเซียวเหมือนผี เขาดันกรอบแว่นขึ้นบนดั้ง ก่อนจะหันไปมองสภาพการจราจรถนนผ่านหน้าต่างบานกว้าง อีกครั้งที่ภาพชายหนุ่มผอมแห้งสะท้อนกลับมา แต่สายตาของเขากลับมองทะลุออกไปยังถนนที่หยุดนิ่งเหมือนลานจอดรถ ได้เวลาออกไปผจญภัยกับรถไฟฟ้าอีกครั้งแล้วสิ เขาลุกขึ้นยืนและหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายหลัง
“จะกลับแล้วเหรอ” เสียงแหบนิดๆ ทักขึ้นที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม พี่รตาบิดขี้เกียจพลางเอนหลังจนเก้าอี้แอ่นไปด้านหลัง หล่อนเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานที่เก่งกาจ แต่ถ้าถามเพื่อนโต๊ะข้างๆ คงได้คำตอบว่าหล่อนคือขวัญใจของแผนกที่อุดมไปด้วยเพศผู้ผู้น่าห่อเหี่ยว วันนี้คงเป็นอีกวันที่หล่อนต้องอยู่โยงทำโปรเจกต์พิเศษที่พีเอ็มไปรับมาโดยไม่ถามลูกทีมตาดำๆ
“พี่รตา...เอ่อ ให้ผมช่วยอะไรหรือเปล่า” เขาถอดกระเป๋าสะพายหลังวางไว้ที่เดิม เขาน่าจะถามหล่อนก่อนจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แม้เขาจะไม่ได้อยู้ทีมโปรเจกต์นี้ แต่พี่รตาก็เคยช่วยสอนเขามาตั้งหลายปี เขาจะเนรคุณแล้วเดินกลับบ้านไปง่ายๆ ได้อย่างไร
“เปล่าจ้า พี่นึกว่าวันนี้เราจะอยู่เย็น จะชวนไปซื้อข้าวกล่องร้านใต้ตึกหน่อย” พี่รตายกมือขึ้นโบกกลับมา เขาพยักหน้ารับแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเสนอตัวจะไปซื้อข้าวกล่องให้ เขารู้ว่าหล่อนชอบมะกะโรนีไส้กรอกหรือไม่ก็ข้าวกล่องแดงทั้งหลายในร้าน สะดวกแต่มันไม่ค่อยมีประโยชน์ กินข้าวแกงร้านที่ไว้ใจได้ดีกว่าเป็นไหนๆ
“ผมไปซื้อข้าวป้าแดงให้ได้นะ” เขาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ร้านป้าแดงหน้าตลาดอยู่ตั้งไกล ใครจะแบกกระเป๋าไปมาให้เมื่อย
“ตัวจะกลับแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าจะไปซื้อร้านป้าแดง ก็สู้ไปนั่งกินเลยดีกว่า” พี่รตาลุกขึ้นยืน หล่อนหยิบกระเป๋าสตางค์อย่างกระฉับกระเฉง ไม่เหมือนคนที่อยู่ดึกมาหลายวันติดสักนิด ดูจากท่าทางของพี่รตา หล่อนคงจะเดินไปพร้อมเขาจนถึงหน้าร้านข้าวป้า แล้วต่างคนต่างกลับ...หรือจะไม่ใช่?
“ไม่ต้องไอ้จุ๊บ เดี๋ยวกูพาพี่ตาไปกินข้าวเอง เอ็งกลับบ้านไป” เพื่อนหน้าแว่นของเขาทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากโต๊ะ กระเป๋าเงินและมือถือพร้อม ไม่แน่ใจว่าเมื่อสักครู่ที่นั่งเงียบๆ นั่นตั้งใจทำงานหรือตั้งใจเงี่ยหูฟัง
“เราชื่อไผ่”
“พี่ตา ผมก็หิว ผมไปกินเป็นเพื่อนนะ” เพื่อนหน้าแว่นนอกจากจะไม่ยอมแก้ชื่อที่เรียกผิดแล้วยังเดินมาแทรกกลางผมกับพี่รตาหน้าตาเฉย
“เมื่อกี้พี่เห็นจิวเพิ่งกินข้าวผัด” พี่รตาหันมามองหน้าผมเหมือนว่าผมทำอะไรผิด เวลาคนที่คิ้วเป็นรูปเป็นร่าง พอขยับนิดขยับหน่อยก็สะท้อนความรู้สึกได้ชัดเจน คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเขาทำอะไรผิดตรงไหน สายตาของพี่รตายังคงค้างนิ่งที่เขา หรือรู้ว่าเขาจะสละเรือ
“จิวกินไปอย่างนั้นเอง ของว่างน่ะ” นายจิวเดินวนรอบเหมือนสงสัยว่าทำไมยังออกจากออฟฟิศไปเสียที พี่รตาหันไปมองนาฬิกาที่อยู่เหนือประตู ราวกับจะตัดสินใจอะไรได้
“ไปก็ไป ไผ่ไปกินด้วยนะ”
“ผมเอ่อ…” ความจริงเขาอยากรีบกลับบ้านเพราะมีนัด พรุ่งนี้วันเสาร์ เขามีเวลาที่จะอยู่โต้รุ่งเพื่อสิ่งที่เขารัก อะแฮ่ม...คนที่เขารัก ได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้จะต้องตื่นมาทำงาน
แต่ถึงอย่างนั้น เขาไม่คิดว่าปฏิเสธพี่รตาแล้วจะเป็นเรื่องดี ผู้ชายหน้าแว่นสองคนจึงเดินตามผู้หญิงผมยาวต้อยๆ ไปที่ร้านข้าวแกง ร้านป้าแดงจะคิดว่าใกล้ก็ใกล้ จะคิดว่าไกลก็ไกล ข้างล่างตึกที่บริษัทเขามาเช่าอยู่มีร้านสะดวกซื้อหมายเลข 7 ถัดไปเป็นพี่มอเตอร์ไซค์รับจ้อง เอ้ย จ้าง พวกเขาต้องเดินเลยวินไปอีกเจ็ดซอยเล็กๆ แล้วเดินเข้าซอยใหญ่ตรงข้ามสี่แยกไฟแดง ร้านป้าแดงเป็นตึกสองคูหาที่ทุบเปิดโล่งเชื่อมกัน ร้านสไตล์ไทยวินเทจ โต๊ะเหล็ก เก้าอี้พลาสติก และน้ำตักบริการตัวเอง
พี่รตาบ่นว่าหิวมาตลอดระยะทางที่เดิน แต่พอมาอยู่หน้าตู้โชว์เคสของป้าแดง พี่กลับใช้เวลาเลือกนานที่สุด เขากับจิวเพื่อนหน้าแว่นเลือกได้แทบไม่ต้องคิด ถ้าร้านป้าแดงมีระบบสั่งล่วงหน้าได้ เขาก็คงแทบจะไม่ต้องอ้าปาก สแกนโค้ดแล้วรับข้าวแกง ...เข้าท่าแฮะ ระบบสั่งข้าวแกงล่วงหน้า ถ้าเขาเสนอระบบนี้กับป้าต้อย แกจะยอมลงทุนให้เขาทำสตาร์ตอัพไหม ป้าต้อยนี่เป็นลูกมือคนสนิทของป้าแดง ทำจนรสมือเหมือนป้าแดง ตอนนี้ก็คุมร้านเหมือนจะเป็นป้าแดงสอง
“จุ๊บ...ไอ้จุ๊บ!” จิวขมวดคิ้วย่นหน้า
เขาหันไปมองเพื่อนจิวที่เรียกเขาคอเป็นเอ็น ปลายนิ้วกุดๆ ของมันดันแว่นกรอบหนาเต๊อะขึ้นบนดั้ง ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้
“คิดไรอยู่”
“คิดสร้างรายได้”
“ถุ้ย ไอ้จุ๊บ อยากสร้างรายได้ไปใส่เสื้อนักศึกษาไป"
เขาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดว่าอย่างนั้น มันหมายความว่า เขายังฉลาดไม่พอจะหารายได้เสริมจนต้องไปเรียนป.ตรีใหม่หรือไงนะ พอเขาเงียบ อีกฝ่ายก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ แต่เอาส้อมชี้หน้าเขาอย่างจริงจัง ที่บ้านไม่ได้สอนใช่ไหมว่าเอาส้อมชี้หน้ามันเสียมารยาท
"จุ๊บๆ แกคิดว่าพี่รตาจะชอบหมูสับวุ้นเส้นไหมวะ” ผู้ชายหน้าแว่นทำสุ้มเสียงลึกลับแล้วขยับจานข้าวมาใกล้ๆ เขา ในจานขาวสีขาวสไตล์พิมพ์ขอบดอกไม้หลากสีและข้อความ ‘อายิโนโตะโมะ อร่อยจากวัตถุดิบธรรมชาติ’ ทำให้เขารู้แล้วว่า รสชาติที่เขากินอยู่นี้เป็นรสชาติอาหารญี่ปุ่น… ไม่ใช่...เขามองหมูบดปั้นเป็นก้อนที่ต้องสั่งพิเศษเท่านั้นจะได้มาสองก้อน
"หมูวุ้นเส้นร้านนี้เหรอ เราคิดว่าพี่เขาอาจจะไม่ชอบ โซเดียมก็เยอะอยู่ เนื้อหมูที่เอามาปั้นก็อาจไม่ใช่เนื้อล้วน นี่ถามทำไมเหรอ"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in