เมื่อความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคน
ทำไมการรักพี่เราถึงต้องเหนื่อยขนาดนี้วะ – นาแจมิน
Pairing
Twitter
Warring :
Rennnn :
Rennnn :
Rennnn :
Rennnn :
Rennnn :
Rennnn :
Rennnn :
Rennnn : คุยได้ป่ะ?
และอีกหลายข้อความจากเพื่อนสนิทต่างคณะที่ไม่ลดละความพยายามในการดึงความสนใจของแจมินที่ก้มหน้าแก้วงจรไฟฟ้าอยู่จนสุดท้ายเสียงเตือนข้อความของเหรินจวิ้นก็เอาชนะความไม่สนใจของแจมินจนต้องวางเครื่องมือเพื่อเอื้อมไปหยิบมากดดูคิดในใจว่าถ้าไม่มีคนตายเขาจะทำให้มีคนตายเอง
ปลายทางไม่ได้ส่งข้อความตอบกลับมาแต่กลายเป็นสายเรียกเข้าแทนแจมินกดรับก่อนจะเดินออกไปข้างนอกเพราะไม่อยากให้เสียงตัวเองรบกวนเพื่อนคนอื่นๆ
“ว่าา”
(คุยได้มั้ย?)
“กูรับสายขนาดนี้แล้ว มีรัย?”
(โทรบอกพี่มาร์คโทรหาพี่ยูตะหน่อยดิ)
“แล้วมัยมึงไม่โทรไปเองล่ะเบอร์ไม่มีเรอะ”
(มึงก็ทำเหมือนไม่รู้จักแฟนตัวเองเนาะกูโทรจนอีกนิดจะได้โอเปอร์เรเตอร์เป็นเมียล่ะนี่พี่มาร์คเขามีมือถือไว้ทับกระดาษเหรอวะ ไอโฟนเขามีหน้าที่แค่ทับกระดาษถูกมั้ย)
“เรียนมั้งปกติก็รับสายกูตลอดนะ”
(ก็มึงเป็นแฟนเขาโทรให้กูหน่อย บอกให้โทรกลับพี่ยูตะ ไม่ก็พี่เวนดี้ก็ได้)
“มีเรื่องรัยกันวะกูเสือกได้มั้ย?”
(เรื่องงานคณะแหละ)
“ละครเวทีอะนะ”
(เออ มึงคุยกันแล้วเหรอ?)
“เออดิ ถามจริงนะมึง นิเทศแม่งไม่มีคนอื่นละเหรอวะแฟนกูสองปีละนะ คนด่ากูปีที่แล้วยังไม่หนำใจ พวกพี่มึงเลยลากกูไปโดนด่าอีกรอบรึ”
(อาจารย์เขาชอบเขาสั่งมาเลยว่าพระเอกต้องพี่มาร์คเท่านั้น)
“ชวัญใจสาวแก่อีกละแฟนกู”
(ไม่อยากอวยแต่ก็ต้องยอมรับว่าแฟนมึงของดีมหาลัยนะ)
“ถึงเทศกาลบูชายัญอีกแล้วเหรอกู”
(คนเขาก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นมั้ยล่ะ)
“อีกนิดกูจะคิดว่ากูไปฆ่าคนตายละสาปแช่งให้กูเลิกกันวันละล้านรอบ รู้สึกสวยได้สมบัติมหาลัยมากก”
(เวอร์จริง
“เออ เดี๋ยวโทรให้”
“อยู่หนายยยย เรียนเหรอออ”
ก็ไม่เข้าใจความรู้สึกคนอื่นๆที่ติดต่อมาร์คลีไม่ได้เหมือนกันเพราะสำหรับแจมินแล้วการโทรหามาร์คไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยเรียกว่าทันทีที่โทรไปมาร์คก็รับสายแทบจะทันทีทุกครั้ง ไม่เคยจะได้รอ เรียกว่าน้อยครั้งมากๆที่มาร์คจะไม่รับสายของแจมินถ้าไม่ใช่เพราะติดงานกับอาจารย์ยังไงมาร์คก็รับสายแจมินทุกครั้ง
(ทำไมต้องลากเสียงยาว)
“อยู่ไหน
(อันนี้ก็ห้วนไป)
“เอาแต่ใจจังวะ”
(เดี๋ยวตีปาก
“เรียนนนนแต่เหรินจวิ้นโทรมาบอกให้พี่มาร์คโทรหาพี่ยูตะหน่อย บอกจะคุยเรื่องละคร แล้วโทรศัพท์นี่เอาไปทับกระดาษแล้วรึทำไมไม่รับสาย”
( ก็รับแล้วนี่ไง )
“ไม่ใช่แค่สายเราดิ”
เป็นที่เลื่องลือมาตั้งแต่ก่อนจะเป็นแฟนกันแล้วเรื่องมาร์คลีมีมือถือรุ่นใหม่ไว้ทับกระดาษตอนแรกก็คิดว่าแค่แซวกันเล่นในกลุ่มเพื่อน แต่พอได้คบเป็นแฟน ไม่ใช่แค่เพื่อนของมาร์คที่พูดแบบนั้นแต่ต้องบอกว่าแทบทุกคนที่ต้องประสานงานกับมาร์คก็ออกปากเรื่องนี้กันหมด แม้แต่ที่บ้านก็ติดต่อมาร์คได้ยากเต็มทีกระทั่งได้คบกัน เวลาใครติดต่อมาร์คไม่ได้ แจมินจะต้องเป็นตัวเลือกที่หนึ่งเสมอ
(ไม่ได้สนใจ สงสัยลืมเปิดเสียงเดี๋ยวโทรกลับ )
“วันนี้กลับบ้านมั้ย?หนูอยากกินชาบูอะพี่มาร์ค”
ช่วงวันสองวันมานี้มาร์คแทบไม่มาหาแจมินเลยไม่ได้มากินข้าวด้วยกันเพราะตารางเรียนที่ว่างไม่ตรงกัน ไหนจะตอนเย็นที่มาร์คเริ่มซ้อมละครเวทีนั่นด้วยส่วนใหญ่ช่วงนี้เลยแค่ทักไลน์และก็คุยโทรศัพท์กันมากกว่า
(เดี๋ยวห้าโมงพี่ไปรับวันนี้เลิกสี่ครึ่งมั้ย?)
บทจะได้เจอกันก็เจอง่ายจนงง
“เยสสสสอย่าให้น้องรอนานนะที่ร๊ากกก”
(อ้อนดิ)
“กวนตรีนจ้า”
(อ้อนก่อนเร็วเดี๋ยวแถมไอติมด้วย)
“คิดว่าเราซื้อได้ด้วยของกินรึ
(เร็ว)
“ขอโดนัทกลับห้องด้วย
(อ้วนเอ้ยย) มาร์คทำเสียงแบบระอาใจแฟนตัวเองแบบไม่จริงจังนัก
“รีบมารับน้องนะพี่มาร์คน้องคิดถึงพี่มาร์คจนใจจะขาดละเนี่ย ไม่เจอกันสองวันเหมือนไม่ได้เจอกันมาเป็นสิบปีหัวใจนี่อ่อนแอไปหมด”
(เวอร์จัง)
“นี่กลั่นมาจากใจล้วนๆนะมาร์คลี”
(ครับ เดี๋ยวเลิกละรีบไปรับเลย)
แจมินรู้ว่ามาร์คชอบเวลาตัวเขาอ้อนแบบนี้ที่สุดมันเป็นการหยอกล้อเฉพาะมาร์คลีและนาแจมินที่จะได้เห็นด้านนี้ของกันและกันเท่านั้น
เลิกเรียนมาเกือบครึ่งชั่วโมงแจมินยังนั่งรอมาร์คอยู่ที่ใต้ตึกคณะ เพื่อนคนอื่นเริ่มแยกย้ายกันไปหมดแล้วขนาดเจโน่เพื่อนรักยังทิ้งเขาไว้คนเดียวเพราะเห็นฟุตบอลสำคัญกว่า
โทรไปสองสายแต่มาร์คก็ไม่รับแจมินเลยส่งข้อความทิ้งไว้เผื่อมาร์คอาจจะหันมาเห็นแล้วโทรมาบอกให้รู้ว่าต้องรออีกฝ่ายนานแค่ไหน
เงียบ
ดีงามจริงๆแจมินรอมาร์คอยู่ที่คณะเกือบจะชั่วโมง ยังไม่มีวี่แววว่ามาร์คจะโทรกลับหรืออ่านไลน์ที่เขาส่งไปหา
กระหน่ำส่งไปอีกหลายข้อความก็ยังเงียบและไร้วี่แววว่าจะตอบแจมินไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงขนาดนั้น เขาเลือกโทรหาคนที่น่าจะให้คำตอบเขาได้ว่ามาร์คลีหายไปไหน
(อาจารย์ลงวะมึงพี่มาร์คคุยกับอาจารย์อยู่ ซีเรียสมาก กูไม่กล้าแหวกไปเรียกให้มึงหรอก)
แจมินลุกออกจากคณะทันทีที่เหรินจวิ้นบอกแบบนั้น
แค่โทรบอกเขาว่าติดงานนี่มันยากนักเหรอวะ
คิดแล้วก็หงุดหงิด แจมินกลับมาถึงหอพักตอนฟ้าเกือบมืดมุ่งไปเก็บของที่ห้องตัวเองก่อนจะตรงไปฝากท้องที่ห้องของเจโน่ที่ไม่รู้ว่าทางนั้นกลับจากเตะบอลหรือยังแต่ตอนนี้แจมินหงุดหงิดเกินกว่าจะอยู่คนเดียว
เขาต้องหาทางลง
Mark_J :
Mark_J :
มาร์คส่งข้อความมาหาตอนเกือบสามทุ่มสงสัยคงเพิ่งเลิกละมั้ง ถึงหงุดหงิดแต่ก็เข้าใจเหตุผลอีกคนดีแต่จะไม่ให้งี่เง่ามันก็ยากสิ้นดี ตอนนี้มันไม่ได้โกรธหรอกควรจำกัดความว่านอยด์ดีกว่าแค่มันไม่เป็นตามแผนเลยเซ็งๆ แบบนั้นมากกว่า
(แจมิน)
แค่ได้ยินเสียงก็ใจอ่อนล่ะ แต่แจมินขอเล่นตัวหน่อยล่ะกัน
รสชาติชีวิตคู่
(ขอโทษครับ)
“ไม่มาก็บอกดิปล่อยให้ยืนรอตั้งนาน รู้มั้ยว่ามันเมื่อยยยยยย”
(ขอโทษพอดีคุยงานกับอาจารย์แล้วมันปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย)
“ทำไม
เม้งออกไปชุดใหญ่
(ขอโทษ)
คนโดนเหวี่ยงใส่ก็ตอบกลับมาเสียงอ่อยจนคนนอยด์แตกใจอ่อนยวบ
แพ้ทางมาร์คแบบนี้ตลอดเลยสินาแจมินเอ้ยยย
(แจมิน)
น้ำเสียงออดอ้อนแบบนั้นใช้กับแจมินได้ผลเสมอ
(ขอโทษครับ)
เคยแพ้ทางมาร์คลียังไงในวันแรก
วันนี้แจมินก็ยังแพ้ทางมาร์คอยู่นั่นแหละ
“ช่างเหอะยังไงเราก็กินต้มมาม่ารสชาติห่วยแตกของไอ้เจโน่ไปล่ะ ไม่มีอะไรเลวร้ายกว่านี้แล้ว”
(ขอโทษนะแจมิน)
“ก็บอกว่าช่างเหอะแล้วนี่เลิกแล้วเหรอ?”
(ครับ)
“เลิกทำเสียงหงอยแบบนั้นเหอะเรายังไม่ได้ว่าอะไรพี่เลยนะ”
(พี่ทำให้แจมินรอ)
“เออ รอนานเลยด้วยแต่ช่างมันเหอะ พี่ติดงานนี่หว่า เราจะทำอะไรได้”
(แก้ตัวมั้ย เดี๋ยวพี่ไปรับ)
“ตอนนี้อะนะจะสามทุ่มละพี่มาร์ค ร้านปิดหมดแล้วมั้ง แล้วกว่าตัวจะกลับถึงบ้านอีก เอาไว้วันหลังเหอะไม่ใช่แม่ก็รอกินข้าวนะ ได้โทรบอกแม่ยัง?”
อดนึกไปถึงแม่ของอีกฝ่ายไม่ได้เพราะถ้าแจมินโดนลืมแบบนี้ แน่นอนว่ามาร์คก็คงไม่ได้โทรบอกที่บ้านอีกตามเคยนิสัยเสียที่แก้ไม่หาย ขนาดแม่ของมาร์คยังออกปากบ่อยว่ามาร์คเย็นชากับที่บ้านตลอดไม่ชอบโทรหา ไม่ชอบให้ที่บ้านเซ้าซี้รู้ว่ารักและห่วงกันและกันแต่มาร์คก็ปากหนักเกินกว่าจะเข้าหาที่บ้านคงเพราะมีพี่ชายและถูกเลี้ยงมาแบบแมนๆ ก็เลยแสดงออกแบบแข็งๆดีที่ตั้งแต่คบกับแจมินมาเลยโดนบังคับให้ต้องรายงานตัวให้เข้าหาแม่มากขึ้นก็บ้านแจมินตรงข้ามกับบ้านมาร์คเลยหนะสิ พวกเขาอยู่กันแบบมุ้งมิ้งเทือกนั้นคงเพราะพี่สาวสองคนด้วยแหละมั้ง บ้านเขาเลยแสดงความรักแบบเปิดเผยเลี้ยงกันมาแบบออดอ้อนแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาเสมอ
(แม่รู้แหละ) รับคำแบบปัดไปที
“หนะ นิสัยเสียวะพี่มาร์คก็รู้ว่าแม่ต้องรอก็โทรไปบอกหน่อยดิ แค่โทรบอกแม่มันไม่ได้ยากเลยนะพี่มาร์คโทรหาเราได้ก็โทรหาแม่ได้ เดี๋ยวโทรบอกแม่ด้วยว่ากำลังกลับ แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”บ่นไปยาวไม่รู้ว่าคนปลายสายจะรับฟังแค่ไหน แต่ถ้าไม่ให้พูดก็คงไม่ได้หรอกอย่างมาร์คถ้าไม่พูดตรงๆ ก็ตีเนียนเลี่ยงไปเฉยๆ ทุกที
(รู้แล้วครับ)
“รู้แล้วตลอดเบี้ยวนัดเราว่าแย่ละนะ ไปไหนมาไหนไม่บอกแม่นี่น่าฟาดสุดๆดึกป่านนี้แม่ยังไม่นอนแน่ๆ โทรบอกแม่ แล้วรีบกลับบ้าน เดี๋ยวเราทำการบ้านรอ”แจมินถ้าได้บ่นนี่ยาวกว่ามาร์คบ่นแน่ๆ
(แต่...)
“กลับบ้าน
บางทีคนเด็กกว่าก็ต้องทำตัวโตกว่าเพื่อคุมผู้ใหญ่นิสัยเด็กอย่างมาร์คลีบ้าง
(ครับ)
“ขับรถดีๆเรารอโทรศัพท์อยู่นะพี่มาร์ค” ไม่ลืมย้ำคำก่อนจะกดวางสาย
วันนี้แจมินออกไปเรียนพร้อมเจโน่ตามปกติแต่ที่ไม่ปกติเพราะเพื่อนร่วมทางต่างคณะที่ไม่ปกติแต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไรมากที่จะเจอเหรินจวิ้นมาค้างที่ห้องของเจโน่
“ทำไมมากินข้าวกับพวกกูได้แสดงว่าเมื่อคืนมึงไม่ได้กลับบ้าน”
ทั้งสองคนเอาแต่ตักข้าวใส่ปากเงียบๆเหมือนไม่ได้ยินเสียงของแจมินที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“ไม่ตอบมึงจัดกีฬากระชับมิตรกันรึ”
ทั้งน้ำเสียงทั้งหน้าตาที่แจมินล้อเลียนทำแก้มใสของเหรินจวิ้นมีเลือดฝาดทันที
“สัด
“ด่ากูงี้แสดงกูพูดถูกล่ะสิ”
“วุ่นวาย รีบกินเลย”
ทำเป็นเข้มใส่เพราะแจมินพูดแทงใจดำล่ะสิ
แจมินไม่เข้าใจว่าเจโน่กับเหรินจวิ้นจะปากแข็งว่าเป็นเพื่อนกันไปทำไมในเมื่อการกระทำของพวกมันนี่ข้ามเส้นขีดความเป็นเพื่อนไปไกลมากแล้วเผลอๆ พวกมันนี่เกินคำว่าแฟนไปแล้วมั้งแต่พอเวลาถามสถานะก็เอาแต่บอกว่าเป็นเพื่อนจนไม่รู้ว่าเพื่อนแบบมันสองคนกับมนุษย์คนอื่นบนโลกนี่มันนิยามไม่เหมือนกันเหรอวะ
“เมื่อวานเลิกดึกมากเหรอมึง” แจมินหันไปถามเหรินจวิ้น
“อาจารย์ลงวุ่นวายทั้งกองทั้งทีมงานทั้งนักแสดง แก้นั้นปรับนี่กันจนวุ่นไปหมด”
“ปีนี้เล่นเรื่องอะไรวะ?”
“โรมิโอจูเลียต”
“โคตรอมตะ น้ำเน่าสิ้นดีไม่เล่นเรื่องอื่นบ้างวะ ปีก่อนก็เรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ”
“กูจะรู้เหรอ พวกปีโตเขาเลือก”
“ว่าแต่ใครเป็นนางเอกวะ มัวแต่ด่าจนลืมถามไปเลย”
ตั้งแต่มาร์คบอกจะเล่นละครเวทีแจมินก็ยังไม่ได้คุยได้ถามรายละเอียดอื่นๆจากอีกฝ่ายเลย ไม่รู้ว่าต้องเล่นคู่กับใคร เล่นเรื่องอะไร จริงๆก็แค่อยากรู้เผื่อมีคนถามจะได้ตอบได้บ้าง
“มึงไม่ถามพี่มาร์คล่ะ”
“ก็กูบอกอยู่ว่าจะลืมถามแล้วช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันด้วย”
“ไปถามพี่มาร์คดิ”
“มึงไม่รู้เหรอ?”
แจมินไม่ทันสังเกตท่าทางอึกอักของเหรินจวิ้นที่เหมือนคนน้ำท่วมปากแต่ก็ทำนิ่งเหมือนกลบเกลื่อน
“อ เออ เออกูไม่รู้ กูวุ่นๆทำฉาก ไม่ได้ไปยุ่งกับพวกเบื้องหน้าหรอก”
“ปีที่แล้วเล่นกับพี่จอยป่ะ”
“อือ”
“ปีนี้จะเหลือใครวะ?”
ทั้งๆ ที่เข้านอนคนเดียวแต่พอตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกก็พบว่าข้างตัวมีคนมานอนด้วยดีที่แจมินยังมีสติพอไม่ให้หยิบไม้มาฟาดเพราะคิดว่าเป็นขโมยเดี๋ยวนี้นึกจะมานอนไม่ต้องบอกต้องกล่าวกันล่ะ
“เมื่อคืนกลับมากี่โมง?”
“เกือบห้าทุ่ม” มาร์คตอบพลางก้มหน้ากินข้าวไปด้วย
“ทำไมเลิกดึก”
“อาจารย์มาปรับบทใหม่เยอะเลยเหมือนที่ซ้อมมาก่อนหน้านี้ไม่มีประโยชน์”
“ปีนี้ไปดูได้มั้ย?”
คนที่ตั้งท่ากินข้าวตอนแรกละสายตามามองคนตรงข้ามที่พูดไปแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรสายตาก็โฟกัสที่จอสมาร์ทโฟนในมือ
“ทำไมอยากไปดูทีเมื่อก่อนชวนนี่หน้าบูดตลอด”
“ก็อยากดูเฉยๆ เออปีนี้พี่เล่นคู่ใคร? ถามไอ้เหรินจวิ้นมันก็บอกไม่รู้”
เสียงสมาร์ทโฟนของมาร์คดังแทรกขึ้นมาจนละสายตาที่เลิกลักไปมองก็พบกับแม่ที่เป็นสายเรียกเข้าทำให้บทสนทนาของแจมินและมาร์คจบลงตรงนั้น
“ฮัลโหลลลลล สามี
“ใครปล่อยแรดเข้ามาวะ” เป็นเจโน่ที่แซวแรงๆสวนไป
“เดี๋ยวกูตบ ปากมึงนี่นะเจโน่”หันไปตอบโต้คู่ไม้เบื่อไม้เมามาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะหันไปทักเพื่อนอีกคนที่ก้มหน้าทำงานอยู่ที่โต๊ะอีกตัว“แจมินนนนนนนน
“จะเรียกเสียงดังทำไมวะ” คนที่โดนทักเงยหน้ามาถาม
“คิดถึงมึง”
“ไร้ซึ่งความจริงใจทั้งสิ้นทั้งปวง”
“อีเจโน่
“ทำไม?”
“กูไปด้วย”
“เพื่อนมึงล่ะ?”
ปกติเยริก็มีเพื่อนที่คณะไปไหนมาไหนด้วยตลอดนั่นแหละนานๆ ทีถึงจะข้ามถนนมากินข้าวกับแจมินและเจโน่ที่ฝั่งวิศวะถ้าไม่ใช่โอกาสพิเศษก็กินใครกินมันดีกว่า เพราะตารางเวลาก็ไม่ได้ตรงกันเลยสักนิด
“กลับกันหมดแล้ว บ่ายจารย์กูยกคลาส”
“แล้วมึงไม่กลับล่ะ”
“เย็นกูมีนัดผู้ขี้เกียจนั่งรถย้อนไปย้อนมา ขี้เกียจตอแหลแม่ด้วย”
“ได้ใหม่อีกละรึ”
“คนสวยอะมึง ธรรมดา”
“ธรรมดาแบบมึงเป็นที่ต้องการของนรกนะ”
ถ้าไม่รู้ว่าเจโน่กับเยริรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กคงคิดว่าสองคนนี้เป็นศัตรูเคียดแค้นอะไรกันสักอย่างเพราะไม่ใครก็ใครถ้ามีจังหวะก็ติดแหย่ต้องแขวะกันเสมอ
“อีเจโน่
เจโน่แม่งโรคจิตแน่ๆถึงชอบยั่วให้เยริตะโกนใส่ แจมินได้แต่คิดในใจ
“ไปกินอักษรมั้ย?” แจมินเสนอทางเลือก
“ไกลเหี้ ย คิดไงอยากไปวะ” เจโน่ขัดขึ้นเพราะคิดถึงระยะทางจากวิศวะไปอักษรมันไม่ใช่ใกล้ๆ แถมแดดตอนเที่ยงก็ร้อนบรมขนาดนี้โรงอาหารวิศวะเลยเป็นคำตอบที่เจโน่ต้องการมากที่สุด
“กูอยากกินต๊อก” แจมินหันไปตอบ
“กูมีรถมา ไปรถกู” เยริเสริมเสียงดี๊ด๊า
“ดีล” แจมินตกปากรับคำโดยไม่รอฟังเจโน่ที่ทำหน้าเหมือนคนกำลังตัดสินใจความอยากกินต๊อกต้องได้รับการตอบสนอง
“ใครขับ”
“มึง
“รถมึงมึงไม่ขับวะ”
“ให้หกูได้นั่งสวยๆบ้างเหอะ ขับตลอดเลย อยากเป็นตุ๊กตาหน้ารถบ้าง”
“ให้กูขับก็ได้นะ”แจมินเป็นคนเสนอตัวบ้าง
“เดี๋ยวกูขับเอง”รีบตกปากรับคำแทบไม่ทัน ขืนปล่อยให้แจมินขับรถ มีหวังได้ไปโรงบาลแทนไปกินข้าวแน่ๆ
“แล้วมึงรู้ยังว่าใครเล่นเป็นนางเอกคู่กับแฟนมึง”เยริถามขึ้นเมื่ออยู่ๆ แจมินก็บ่นเรื่องที่แฟนรุ่นพี่ของตัวเองได้รับเลือกให้เล่นละครเวทีของคณะนิเทศอีกปีก็รู้แหละว่าแฟนตัวเองเป็นคนดัง เป็นสมบัติมหาลัยแต่การที่แฟนเขาได้รับคำชื่นชมตั่งต่างแต่เขากลับต้องโดนลากไปด่าว่าไม่คู่ควรบ้างล่ะแช่งชั่งหักกระดูกให้เลิกกันบ้างล่ะ มันก็ชวนหงุดหงิดใจว่านี่อิจฉาหรือแค่แสดงทัศนคติแย่ๆในสังคมเท่านั้น
“ใคร?”
“พี่จีซู”
ชื่อแฟนเก่าของมาร์คทำแจมินสมองดับไปชั่วขณะ ตำแหน่งแฟนเก่าของแฟนเราว่าแย่แล้ว ก่อนที่แจมินจะคบกับมาร์ค ระหว่างกลุ่มพวกเขากับกลุ่มแฟนเก่ามาร์คเคยมีเรื่องกันมาแล้ว ถึงแจมินจะไม่ได้มีปัญหากับตัวจีซูตรงๆ เพราะเป็นเพื่อนของแจมินกับเพื่อนจีซูที่ไม่ลงรอย แต่ก็นั่นแหละ คนไม่สนิทใจกันแถมยังมีเรื่องคาใจที่หลายคนเอาแต่ตั้งคำถามสงสัยว่าตอนแจมินคบกับมาร์ค เหมือนมาร์คกับจีซูยังไม่เลิกกัน ยิ่งทำให้ต่างฝ่ายต่างเลี่ยงจะเผชิญหน้าไม่มาเจอกกันน่าจะดีที่สุด
“อย่าบอกว่าพี่มาร์คยังไม่บอก” สีหน้าแบบอึ้งๆ เหมือนหนักใจทำให้เยริถามกลับตาโต
“เออ” ยอมรับออกไปตรงๆ
ปกติมาร์คก็ไม่ใช่พวกมีความลับกับเขาอยู่แล้วไม่ว่าจะเรื่องอะไรทางนั้นก็จะแชร์จะเล่าให้ฟังโดยที่ไม่ต้องถาม แจมินเองก็ไม่ใช่พวกเซ้าซี้อยากรู้เรื่องแฟนตัวเองไปซะทุกอย่างเหมือนต่างคนต่างแชร์ในเรื่องที่สบายใจจะแชร์ เคารพพื้นที่ส่วนตัวกันและกันมาตลอดแต่พอเจอเรื่องนี้อยู่ๆ แจมินก็อดคิดไม่ได้ว่ายังมีเรื่องอะไรที่มาร์คเลือกจะไม่บอกเขาอีกบ้าง
“พวกมึงจะทะเลาะกันเพราะกูมั้ยเนี่ย”
“เรื่องแค่นี้ทำอะไรกูไม่ได้หรอก” ทำปากดีตอบไปงั้นแต่ในใจนี่ปั่นป่วนไปแล้วดีที่เป็นพวกหน้านิ่งเก็บอาการเก่งเลยทำกลบเกลื่อนได้
“แต่เอาจริงจะหาว่ากูเสือกก็ได้ มึงไม่ตะขิดตะขวงในใจเหรอวะนั่นแฟนเก่าที่แฟนมึงเคยรักมากเลยนะ”
แจมินอยากบอกว่ายิ่งกว่าตะขิดตะขวงใจซะอีก สมองประมวลผลคิดคาดการณ์ไปไกลกว่าที่พวกมันคิดแน่ๆ เห็นเป็นคนง่ายๆ สบายๆแต่เวลาคิดมากนี่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครคิดมากได้เท่าแจมินอีกแล้ว
“นั่นปากมึงเหรอเยริ”
คงต้องยกเว้นเจโน่ไว้อีกคน ถึงแจมินจะเก็บอาการเก่ง แต่เพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าเพื่อนสนิทข้างกายกำลังวิตกกังวล
“เอ้า
“สงสัยอะไรที่มันจะไม่ทำให้เขาตีกันได้มั้ย”
“แหมมมมเชื่อเถอะว่าไม่ใช่แค่กูแน่ๆ ที่อยากใส่ใจเรื่องนี้ นั่นพี่มาร์คเลยนะมึง สมบัติมอขนาดนั้น ผู้หญิงครึ่งมอแน่ๆ ที่แช่งให้มึงเลิกกันอยู่”
ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองต้อยต่ำขนาดนั้นก็ไม่รู้
แจมินไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรหรอกออกจะหน้าตาน่ารัก คนรู้จักก็เยอะ เป็นคนเด่นในคณะวิศวะอยู่ไม่น้อยเรียกว่าขวัญใจรุ่นพี่รุ่นน้อง ยิ่งได้รู้จักใจคอจริงๆ ใครๆก็ออกปากว่าแจมินน่ารักกันทั้งนั้น แต่คงไม่ใช่ในสายตาคนอื่นๆ ทั่วไปที่เจอกันผ่านๆเพราะการแสดงออกภายนอกแจมินก็คือผู้ชายคนหนึ่ง มีเรื่องวิวาทบ้างไม่ลงรอยกับคนนั้นคนนี้บ้างตามวิสัยผู้ชายตรงๆ ซึ่งผิดกับภาพลักษณ์ของสมบัติมหาลัยอย่างมาร์คลีที่แทบจะเรียกว่าประวัติขาวสะอาดไปหมดไม่มีจุดด่างพร้อยหรือรอยเปื้อนเลยสักนิด ถ้เอาแจมินไปเทียบเคียงกับมาร์คลีก็มีแต่คนบอกไม่คู่ควรทั้งนั้น
"ก็แช่งกูมาเป็นปีแล้วนะ กูก็ยังคบกันดีอยู่"
"ระวังไว้หน่อยก็ดีนะมึง จะหาว่ากูปั่นก็ได้"
“กูแยกแยะได้แต่ถ้าเขาไม่แยกแยะหรือล้ำเส้นกูมากเกินไป ต่อให้เป็นผู้หญิงหน้าไหนกูก็ไม่สนใจเหมือนกัน”
ก่อนจะนอยด์แตกคิดไปไกลกว่าสถานการณ์จริงที่เป็น แจมินก็ขอเรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเองซะหน่อย อย่างน้อยตอนนี้นาแจมินก็มีสถานะเป็นแฟนคนปัจจุบัน ยังไงเขาก็มีสิทธิ์ในตัวมาร์คลีมากกว่าคนที่เป็นคนเก่าคนนั้นแน่นอน
“โอ้โห
ENJOY READING ♥
ทวิตเตอร์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in