เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เวิ่นเว้อวกวนRAMBLEMAN
TEN YEARS THAILAND. เดินหน้า(?)ประเทศไทย
  • "Who controls the past controls the future. Who controls the present controls the past."
    - George Orwell, 1984


    - SUNSET อาทิตย์ อัสสรัตน์ 

    "อีกสิบปีประเทศไทย พระอาทิตย์ก็จะยังคงตกดิน แต่เราจะเปลี่ยนไปขนาดไหน"


    กลุ่มเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ เข้าตรวจสอบงาน exhibition เล็กๆแห่งหนึ่ง ยังคงเป็น 10 ปีที่ไม่ต่างจากเดิมสำหรับอนาคตของประเทศไทย แต่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยมุมมองที่เกิดขึ้นคู่ขนานไปกับเหตุการณ์ตึงเครียด เรายังคงเห็นสีหน้าและแววตา คุณป้าจากภาคอีสานที่อารมณ์ดีตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งความรักที่ก่อตัวขึ้นของพลขับหนุ่มและสาวโรงงาน ก็ดูจะเป็นชีวิตชีวาที่น่ารื่นรมย์

    "ภาพอันอาจก่อให้เกิดความไม่สงบ" ยังแขวนอยู่ที่ผนังสีขาวใน gallery ดูจะห่างไกลกับวิถีชีวิตหาเช้ากินค่ำ ทำตามนายสั่งเหลือเกิน 

    ภาพนายตำรวจนั่งร้องไห้ใน burger king นั้นถ่ายทอดอะไร? ทำไมตำรวจนายนั้นถึงร้องไห้? การร้องไห้ในเครื่องแบบจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติจริงหรือ? แก่น พลทหารหนุ่มอาจนึกสงสัยในใจ พลางฟังเสียงเจื้อยแจ้วของคุณป้าที่ชวนมานั่งกินพิซซ่าด้วยกัน กับหัวใจที่เต้นโครมครามกับการพยายามสานสัมพันธ์กับสาวโรงงานที่เขาหลงรัก อีกไม่นานเขาจะต้องย้ายตามนายไปเชียงใหม่ เท่ากับว่าโอกาสที่จะเจอกับเธอนั้นแทบไม่เหลืออีกแล้ว



    เขารวบรวมความกล้าชวนเธอไปทานข้าวด้วยกันสำเร็จ ภาพนายตำรวจอันเป็นปัญหาถูกปลดลงจากห้องภาพ เขาขอเธอถ่ายรูปเก็บไว้ในมือถือสมาร์ทโฟน เธอตกลง รอยยิ้มเหนียมอายสาดสะท้อนกับแสงอาทิตย์ตกยามเย็น เขาและเธออาจวาดฝันอนาคตที่จะได้อยู่ร่วมกันในซักวัน

    แสงอาทิตย์ที่ซีดจางยังคงขึ้นและลงต่อไป แต่เราผู้ชมต่างรู้ดีว่า แสงจากดวงอาทิตย์ตกมันเคยสดใสและอบอุ่นกว่านี้ เหมือนประเทศนี้ เมื่อนานมาแล้ว...

    --------------------------------------------

    - CATOPIA วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง 

    "อะไรกันแน่ที่ทำให้เราแตกต่างจากพวกเขา"

    "ไอ้เหี้ย ลงมาจาก bts แล้วไปไหนไม่ได้เพราะแท็กซี่ไม่วิ่งแล้ว กูแม่งเลยติดอยู่กับขบวนโคตรนาน เสียเวลาสัส งานวันนั้นก็ต้องแคนเซิลไปเลย"

    ผมยังจำเล่าเหตุการณ์ที่เพื่อนสนิทเล่าให้ฟังตอนมันดันได้รับประสบการณ์ไปจ๊ะเอ๋กับการเดินขบวนรอบเมืองของ กปปส.ช่วงปี 56 ได้

    "มึงน่าจะหานกหวีดเป่าไปกะเขาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เนียนๆ"

    "กูว่าจะเลิกห้อยพระมาห้อยนกหวีดแทน น่าจะช่วยให้กูรอดมากกว่า"

    บทสนทนาเหน็บแนมติดตลกเมื่อครั้งนั้น ช่วยลดบรรยากาศตึงเครียดทางการเมืองในวงสนทนาออกไปได้บ้าง เมื่อความเป็นอยู่ของพวกเราค่อยๆถูกคุกคามโดยกระแสการเมืองที่บังคบให้เราต้องเลือกข้าง ถึงแม้ว่าเราจะวางตัวเป็นกลางขนาดไหน ซักวันมันก็จะคืบคลานเข้ามามีผลกระทบในชีวิตเราอยู่ดี

    ผ่านมา 5 เกือบ 6 ปี Catopia ทำให้ผมย้อนนึกกลับไปหาบทสนทนากับเพื่อนในวันนั้น เวลาผ่านไปแล้ว มุขตลกไม่ตลกอีกต่อไป เมื่อเราได้เห็นเหตุการณ์ล่าแม่มดที่เกิดขึ้น การทำร้ายคนเห็นต่างกันแบบ "เอาตาย" กลายเป็นเรื่องที่เห็นได้ทุกครั้งเมื่อมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศนี้


    เมื่อวานเรายังเป็นคนเหมือนกัน วันนี้พวกเขากะจะฆ่าเรา โดยไม่เห็นแม้แต่เราเป็นคน


    ภาพที่ Catopia สะท้อนออกมามันช่างหดหู่ อุดมไปด้วยตลกร้าย บทสวดของเหล่าแมวก่อนจะเริ่มพิธีกรรมชำระล้างโดยการปาหินลงทัณฑ์  อาจจะไม่ต่างอะไรกับเสียงนกหวีดที่ดังขรมเมื่อปี 56 หรืออาจจะย้อนกลับไปยังสมัยที่ทหาร ตำรวจ และชาวบ้านตะโกนสาปแช่งนักศึกษาในอดีตก็ได้ ใครจะไปรู้

    ไดอะล็อกหนึ่งในเรื่องกล่าวว่า "เราไม่ได้แยกเหยื่อด้วยตา แต่แยกด้วยกลิ่น" มันก็ดูคลุมเครือไม่ต่างจากการแยกคนออกจากกันด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองแบบที่เราเป็นกันอยู่ไม่ใช่หรือ 

    ถ้า "หมานคร (2004)" เล่าเรื่องคนชายขอบที่แตกต่างจากสังคมที่เป็นอยู่ในมุมมองแบบไทบ้าน Catopia ก็คืออีกเวอร์ชั่นของหมานครที่คุณวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ใส่ความฮาร์ดคอร์ลงไป พร้อมความขบขันอันขื่นขม

    ---------------------------------------------

    - PLANETARIUM จุฬญาณนนท์ ศิริผล

    "สวัสดีวันจันทร์"

    นี่คงเป็นหนังสั้นที่บ้าระห่ำที่สุดจากทั้ง 4 เรื่องใน Ten Years Thailand ทั้งด้านเนื้อหา วิชวล และโปรดักชั่น จุฬญาณนนท์ เลือกเล่าในเรื่องที่ "ส่วนตัว" มากๆสำหรับคนไทย นี่คือบรรยากาศที่กดทับ สอดส่อง และควบคุมประเทศนี้มาอย่างยาวนาน เป็นเหมือนท้องฟ้าจำลองที่ครอบทั้งความคิดและวิสัยทัศน์เราเอาไว้อย่างหมดจด

    ด้วยงานวิชวล สีสันกระแทกตา เพลงประกอบที่ใช้ในการเล่าเรื่อง จู่โจมคนดูอย่างรุนแรงตั้งแต่การให้ดูภาพเด็กนักเรียนถูกบังคับ(อาจโดยสมยอม)ต่ออำนาจอย่างการตัดผมไถเกรียน ไปจนถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดในค่ายท้องฟ้าจำลอง ภายใต้บุคคลที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำค่ายในชุดสีสันสดใส

    พลังในการควบคุมนั้นมากล้น อย่างที่เราจะได้ได้จากการที่หัวหน้าค่ายสามารถสั่งการในสิ่งที่แทบจะดูไร้เหตุผล อย่างการ "กดเปิด-ปิด" กิจวัตรประจำวันของชาวบ้านทั่วไปให้เป็นการยืนตรงชั่วขณะ(?)

    การ "เทรน" เหล่าเด็กหัวเกรียนหญิงชายให้ทำหน้าที่แทน สอดส่องเป็นหูเป็นตาในการปกครอง ก็พาลให้นึกถึงเหล่า "วีรชนรุ่นเยาว์" ในนวนิยาย 1984 ภายหลังจากการเรียนรู้ฝึกฝนภายในค่ายท้องฟ้าจำลอง และการเข้ารับขั้นตอนอัพโหลดข้อมูลศีลธรรมจากผู้นำทางความเชื่อ พวกเขาก็ต้องมาต่อแถวรับมอบ "ผ้าพันคอ" เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าผ่านหลักสูตรและออกไปเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนระบบต่อไปในอนาคต พร้อมกับค่ายสันทนาการรอบกองไฟ "เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ"

    ดูเหมือนว่าค่ายแห่งนี้ไม่เป็นที่ต้อนรับ "คนที่ไม่ยอมยืนตรง" อย่างเห็นได้ชัด การนำคนเหล่านี้มาปอกลอกเสื้อผ้าออกและถูกส่งเข้ากระบวนการอัพโหลดข้อมูลทางศีลธธรมใหม่ ส่วน"จิต" เดิมของพวกเข้าเหล่านั้นก็ล่องลอยและถูกทำลายเป็นเศษซากชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขณะเดียวกัน ยังไหลผ่าน "ตัวตน" อันยิ่งใหญ่กว่าผู้นำค่าย ตัวตนนั้นฟอก "จิต" ที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยใหม่และถูกใส่นำเข้าไปในร่างเดิม(?)
    พร้อมกับความฟินของ "การสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรม" ปิดท้าย

    ท่าทีอันเล่นใหญ่ฉูดฉาดของ PLANETARIUM คือการแสดงภาพของสิ่งโคตรจะเซอร์เรียลถ้ามองแบบผ่านๆ 

    แต่ถ้ามองในมุมที่เป็น "ส่วนตัว" ขึ้นมาบ้าง ก็คงเริ่มรู้สึกว่า ไอ้นี่มันชักจะเรียลเกินไปแล้ว...

    ---------------------------------------------

    - SONG OF THE CITY อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

    "10 ปีข้างหน้าเราจะทำอะไรกันอยู่"

    หลังจากพาเราไปรถไฟเหาะตีลังกากันมา พี่เจ้ย พาเรากลับมานั่งฟังเสียงใบไม้ที่เสียดกันไปตามลม เสียงการจราจร เสียงวงดุริยางค์ที่ดูจะไม่ค่อยชำนาญกันซักเท่าไหร่ และเสียงของผู้คน

    SONG OF THE CITY ถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆการบูรณะอนุสาวรีย์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในจังหวัดขอนแก่น ในท่วงท่าเชื่องช้าอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่เจ้ย (ซึ่งจริงๆเหตุการณ์บนโลกมันก็ดำเนินไปด้วยความเร็วแบบนี้แหล่ะ)

    ช่างที่กำลังจะเกษียณตัวเองเพื่อกลับภูมิลำเนาไปทำไร่ และใช้เวลาอยู่กับลูกๆ เพราะได้รับคำแนะนำจากเพื่อนที่ไปจบมาจากอิสราเอลเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์

    เขากำลังได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนของเขาในประเทศอันห่างไกลออกไป

    พ่อหนุ่มอิสาน บ้านทำธุรกิจหมอลำ กำลังใช้เวลาว่างในฤดูที่เทศกาลซบเซา ออกเป็นเซลล์แมนเดินขายเครื่องช่วยให้หลับง่ายแก่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในละแวกนั้น

    เขากำลังบรรเลงชีวิตของเขาไปด้วยการหวังว่าจะมีใครซักคนถูกใจและซื้อเครื่องนี่

    คุณพยาบาลผู้เคร่งเครียดจากหน้าที่การงาน ตำแหน่งและความเป็นอยู่ กำลังทดลองเครื่องช่วยฝัน ที่ดูจะทำหน้าที่ได้ดีซะด้วย

    เธอกำลังพึ่งพาอุปกรณ์ที่ดูจะหลอกลวงนี้ เพียงเพราะนี่อาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เธอได้หลับสบาย

    เมฆค่อยๆเคลื่อนผ่านท้องฟ้าไปอย่างอ้อยอิ่ง ร่มไม้ดูร่มรื่น เคล้าไปกับเสียงของใบไม้ที่โยกไปตามแรงลม

    อนุสาวรีย์ จอมพลสฤษดิ์ กำลังถูกบูรณะอยู่ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า...

    เรากำลังทุ่มเงินไปกับการบูรณะเศษซากของอดีต หรือตัวแทนของเผด็จการในอดีต?

    ในขณะที่ผู้คนรอบๆอนุสาวรีย์ยังต้องดิ้นรนกับชีวิตพวกเขาต่อไป

    กล้องเคลื่อนไปหยุดที่ภาพสลักหลังอนุสาวรีย์ แสดงหนึ่งในผลงานของเขา มหาวิทยาลัยขอนแก่น 
    เมื่อนั้น ความหมายของคำว่าอนุสาวรีย์เริ่มพร่าเลือนเข้าด้วยกัน

    10ปีข้างหน้า พระอาทิตย์ยังคงขึ้นและตก ลมยังคงพัด เมืองยังคงเติบโต ผู้คนยังคงใช้ชีวิต


    และเรายังคงบูรณะอนุสาวรีย์ จอมพลสฤษดิ์ ต่อไป....

    Ten Years Thailand (2018) - อาทิตย์ อัสสรัตน์ / วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง / จุฬญาณนนท์ ศิริผล / อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in