เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#MEแปลไปเรื่อยmytranscollection
[Jimin] ELLE HongKong 2023/03
  • ELLE STAR

    [บทสัมภาษณ์พิเศษกับบุคคลขึ้นปก] 
    JIMIN พัคจีมิน: การเต้นอันเป็นอิสระและทรงพลัง

    (แปลโดย myinggg - mytranscollection)


    ตั้งแต่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมเคป๊อปก้าวเข้าสู่นานาชาติ “บังทันโซนยอนดัน” (BTS) เรียกได้ว่าเป็น “สุดยอดวงระดับปรากฏการณ์” สมาชิกทั้งเจ็ดคนได้แก่ RM (คิมนัมจุน) JIN (คิมซอกจิน) SUGA (มินยุนกิ) J-HOPE (จองโฮซอก) V (คิมแทฮยอง) Jung Kook (จอนจองกุก) และ JIMIN (พัคจีมิน) ต่างมีเสน่ห์ที่ไม่อาจต้านทานได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านทักษะการร้องเพลงการเต้น หรือลุคการแต่งตัวก็ตาม แม้แต่ทุกสิ่งที่มีแสงของ BTS ส่องไปกระทบ ก็ล้วนครอบครองพื้นที่สื่อได้ในพริบตา หรือไม่ก็โจมตีห้องหัวใจของเหล่าอาร์มี่ (ชื่อเรียกแฟนคลับวง BTS) เข้าอย่างจัง พวกเขาโดดเด่นเหนือใคร

    JIMIN หนึ่งในสมาชิกวง ไม่เพียงแต่จะสาดความหลงใหล และศักยภาพให้กับวงการเพลงทั่วโลกในฐานะ “นักร้อง นักเต้นและนักแต่งเพลง” แล้ว ปัจจุบันด้วยใบหน้าอันงดงามรูปร่างอันโดดเด่น รวมถึงบุคลิกที่ทั้งอ่อนโยนและแข็งแกร่งของเขา ทำให้เขาได้รับการยอมรับจาก Dior รับหน้าที่เป็นโกลบอลแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างเป็นทางการเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมแฟชั่น บุกสู่แวดวงใหม่เพื่อปะทะกับดอกไม้ไฟที่เจิดจรัสกว่าเดิม


    การสำรวจครั้งใหม่ของวงการแฟชั่น


    วง BTS ที่เดบิวต์ในเดือนมิถุนายนปี 2013 จากเด็กฮิพฮอพโนเนม ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของบังชีฮยอกที่เป็นทั้งผู้มีพระคุณและโปรดิวเซอร์ รวมถึงมีทีมงานบริษัท HYPE (ชื่อเดิม BIG HIT) อยู่เคียงข้าง พวกเขาขยันหมั่นเพียร พัฒนาตัวเองอย่างไม่เกียจคร้านมาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็พุ่งทะยานขึ้นเป็นวงไอดอลที่ยิ่งใหญ่ในเกาหลีด้วยศักยภาพอันดีพร้อมทั้งในด้านการทำเพลงการร้อง และการเต้น ภายหลังยังสามารถพิชิตสถานที่แสดงคอนเสิร์ตที่เป็นไอคอนในนานาชาติ เช่น ซิตี้ ฟีลด์ในนิวยอร์ก โอซาก้าโดม และ TheO2 อารีนาในลอนดอนได้อีกด้วย สมดังความนัยของชื่อวงที่ว่า “วงดนตรีที่ต้านทานกระสุนปืนคำวิจารณ์และอคติแห่งยุคสมัย”

    หลังเข้าสู่ปี 2017 BTS ล้มกระดานวงการเพลงของอเมริกาและยุโรปอีกครั้ง เริ่มจากเข้าร่วมงานประกาศรางวัลบิลบอร์ด อเมริกันมิวสิกอะวอดส์ อีกทั้งด้วยบทเพลงมากมาย เช่น Spring Day, Dope ที่ให้ความสนใจกับกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคมทำให้วงนี้ถึงขั้นได้รับเชิญไปขึ้นปกนิตยสาร Times ซึ่งเป็นสื่อที่มีอิทธิพลแห่งประเทศอเมริกา และยังได้เข้าไปยังทำเนียบขาวเพื่อเข้าร่วมกล่าวสุนทรพจน์ รวมถึงเรียกร้องในประเด็นหยุดยั้งการเหยียดเชื้อชาติ และอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังด้วย พวกเขากลายเป็นสุดยอดวงบอยกรุ๊ปชื่อดังที่สุดแห่งยุค ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ “ทลายกำแพงความหลากหลาย” 

    แสงสว่างอันเจิดจรัสของ BTS ได้ดึงดูดความสนใจของ Kim Jones ผู้อำนวยการออกแบบเสื้อผ้าบุรุษของ Dior เข้า ในปี 2019 หลังจากที่ Kim ได้ออกแบบชุดแสดงคอนเสิร์ตให้กับวงไป ความรู้ความเข้าใจเรื่องแฟชั่นรวมถึงมิตรภาพในแวดวงธุรกิจของทั้งสองฝ่ายก็ลึกซึ้งมากขึ้นจากการร่วมงานกัน

    เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Dior ได้เชิญ JIMIN มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างเป็นทางการ JIMIN เองก็แสดงออกชัดว่าคาดหวังกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

    “เป็นเกียรติมากที่ได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์ชื่อดังระดับโลก ผมรู้สึกซาบซึ้งใจและรู้สึกโชคดีมากๆ ครับ แล้วก็หวังว่าจะสามารถใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจแฟชั่นให้มากขึ้นได้ครับ” 

    เขายิ้มพลางเอ่ยว่า แม้แต่คุณพ่อคุณแม่ยังดีใจกับเรื่องนี้เลย 

    “พวกท่านภูมิใจในตัวผมครับ แล้วก็ทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจที่เป็นสมาชิกของ BTS ด้วยครับ” 

    นอกจากนี้ยังพูดถึงประสบการณ์งานปารีสแฟชั่นวีคที่พึ่งผ่านไปว่า 

    “นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมงานแบบนี้ครับรู้สึกค่อนข้างประหม่า แล้วก็ตื่นเต้นครับ”

     

    เมื่อไอดอลได้พบไอดอล


              ตั้งแต่ JIMIN ก้าวเข้าสู่ปี 2023 ก็ทุ่มเทให้กับงานใหม่ ๆ มากมายอยู่เสมอ ซึ่งงานที่ทำให้อาร์มี่ประหลาดใจมากที่สุดนั้นอาจพูดได้ว่าคือเอ็มวีและเพลงใหม่ล่าสุด [VIBE] ที่เขาคอลแลปกับรุ่นพี่แทยัง (สมาชิกวง BIGBANG) ไปเมื่อเดือนที่แล้ว ทั้งสองคนใช้ทักษะการเต้นที่แข็งแรงสมกัน กับจิตวิญญาณที่ซัพพอร์ตซึ่งกันและกันมาทำให้เอ็มวีมียอดวิวอันน่าตกใจ แทยังกล่าวกับสื่อว่า JIMIN เป็นรุ่นน้องคนหนึ่งที่ทำอะไรแล้วตั้งใจ พอคุยเรื่องดนตรีรวมถึงเรื่องการทำเพลงก็เปี่ยมไปด้วยพลัง แล้วก็เป็นคนที่เข้ากันง่ายมากๆ เลยด้วย

    • “สำหรับผม แทยังเป็นสุดยอดไอดอลมาตลอด ถึงขั้นที่พูดได้เลยว่าเป็นแบบอย่างที่ผลักดันให้ผมต้องพยายามพัฒนาตัวเอง” 

          JIMIN ยังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เขาได้ความรู้มากมายเกี่ยวกับการเต้นและดนตรี รวมถึงทัศนคติที่มีต่อการทำเพลงมาจากการดูการแสดงของแทยัง 

    • “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะมีวันหนึ่งที่ทุกคนจะได้มาทำงานด้วยกันซึ่งหน้า ระหว่างที่ร่วมงานกันผมก็ยังได้รับการดูแล และชี้แนะอย่างใส่ใจจากเขาอีก เป็นรุ่นพี่ที่สุดยอดและเป็นกันเองกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีกครับ การที่สามารถเติมเต็มความฝันที่อยากร่วมงานกับเขาได้เนี่ย ช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากจริงๆ ครับ แล้วก็ทำให้ผมแอบตัดสินใจกับตัวเองว่า จะกลายเป็นนักร้องและนักเพอร์ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมกว่านี้ และนำพลังงานบวกมาให้ทุกคนให้ได้ครับ”

         เพราะ JIMIN เชื่อว่าดนตรีที่ดีสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ 

    • “อย่างเช่นเพลงของ Michael Jackson ก็อยู่เป็นเพื่อนตลอดการเติบโตของผม ทุกครั้งที่ฟังเพลงของเขา ดูเขาเต้น จิตใจของผมจะตื่นตะลึงสุด ๆ แล้วก็เกิดเป็นความมุ่งมั่นว่า อยากจะกลายเป็นคนที่กล้าไล่ตามความฝันแบบนั้นเหมือนกันแต่น่าเสียดายมากที่ Michael เขาจากโลกนี้ไปเร็ว ผมเลยไม่มีโอกาสได้เจอเขาขณะมีชีวิตอยู่ เสียใจมากเลยครับ นอกจากนี้นักร้องหลายท่าน เช่น Chris Brown กับ Usher รวมถึงการแสดงของรุ่นพี่ K-pop อย่าง BIGBANG ก็ทำให้ผมตะลึงกับความคิดกับการแสดงของพวกเขาอยู่บ่อย ๆ คือมันเป็นผลงานที่น่าสนใจมากเลยครับ ถ้าเป็นไปได้ผมเองก็อยากจะมุ่งไปยังทิศทางเดียวกันครับ” 


    พัฒนาการของความคิดและจิตวิญญาณ


              ช่างน่าประทับใจ JIMIN เชื่อว่าการยกระดับจิตวิญญาณของผลงานเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ดังนั้นตัวเขาเองก็จะเข้าไปสัมผัสสิ่งใหม่ๆ อย่างแข็งขันเพื่อฝึกฝนความสามารถในการคิดด้วยตัวเอง 

    • “ช่วงนี้ ผมอยู่ในสภาวะที่ขบคิดเรื่องอนาคต และตั้งตารอความท้าทายใหม่ตรงหน้าอยู่จริง ๆ ครับ” 

    เขาพูดถึงผลงานที่ปล่อยออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ และแผนงานที่กำลังจะทำในอนาคต แม้จิตใจกำลังคาดหวังแต่ยังคงรักษาท่าที ไม่โอ้อวดหรือถ่อมตนจนเกินไป เขาหวังว่าจะสามารถทุ่มเทกายใจทำให้ดีในทุกเรื่องได้ทั้งในเป้าหมายหลัก และรายละเอียดต่าง ๆ ด้วย

    • “การคิดพิจารณาเป็นสิ่งสำคัญมากนะครับ ผมไม่ได้ดราม่าหรืออารมณ์ไม่มั่นคงอะไรนะ แต่คือผมสำรวจเส้นทางข้างหน้าผ่านการคิดอยู่เสมอ แล้วก็เตรียมตัวทำการบ้านให้เหมาะสม” 

    เขาเล่าว่าโดยปกติชอบสนทนากับผู้คนมากเป็นพิเศษ 

    • “ผมให้ความสำคัญกับการพูดคุยนะ สมาชิก BTS เป็นคนที่เข้าใจผมที่สุด เพราะงั้นผมเลยชอบที่จะถกปัญหากับพวกเขา หรือไม่พวกเขาก็มักจะเป็นหัวข้อที่ผมมักจะพูดถึงเป็นประจำ”

       พูดถึงเรื่องสนทนา เมื่อปีที่แล้ว JIMIN กับ ฮาซองอุน เพื่อนสนิทของเขาได้ร้องเพลง With You ประกอบซีรีส์เรื่อง เวลาสีฟ้าหม่น (Our Blues) ด้วยกัน และเขายังได้เข้าไปยังทำเนียบขาว ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนต่างแวดวง สงสัยจังว่าเขาได้รับประสบการณ์อะไรหรือได้ไอเดียอะไรมาบ้าง 

    • “ผมมักจะใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ซึมซับทุกช่วงเวลาไว้ครับ” 

    JIMIN ตอบ 

    • “ผมพยายามใส่ใจกับความรู้สึกของตัวเองอยู่เป็นประจำ และจดบันทึกความรู้สึกเหล่านั้นอย่างละเอียด เพราะผมกังวลว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ความรู้สึกเหล่านั้นจะหายไป”

              อย่างไรก็ตามทุกอย่างเป็นสิ่งไม่เที่ยงบางครั้ง JIMIN ก็หวนนึกถึงเส้นทางที่ผ่านมาตั้งแต่ BTS เดบิวต์จนถึงปัจจุบันอยู่บ้าง 

    • “พูดตามตรง ผมผ่านการเปลี่ยนแปลงในช่วงต่างๆ มามากมาย ได้รู้ว่าถ้าผมสามารถเข้มแข็ง แล้วเขียนทุกความคิดความรู้สึกในทุกช่วงเวลาเก็บไว้ได้ บางทีในอนาคต ถ้าเจอสถานการณ์เดียวกันผมอาจจะสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสมก็ได้ ดังนั้นผมเลยมักจะใช้เวลานึกย้อนถึงเรื่องในอดีต โดยเฉพาะความทรงจำที่พิเศษหรือมีความสุข เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง และเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตครับ”

              เปลี่ยนการสังเกตมาเป็นดนตรีและการเต้น JIMIN เป็นคนที่รู้จักจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเองดียิ่ง

    • “ผมสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่า ผมเคยได้รับความสุขจากดนตรีและการเต้นมามากมาย ตอนทำเพลงผมจะเกิดคำถามอยู่เรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น อันนี้เป็นยังไง ผลลัพธ์ของอันนี้เป็นไงบ้าง’ เป็นต้น ยิ่งยุ่งอยู่กับการทำงานเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น เพราะว่าการเปลี่ยนความรู้สึกในอดีตไปเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นกลับสนุกมากเลยครับ (ยิ้ม)”


    เวทีที่ไม่อาจลืมเลือน


              สำหรับส่วนที่มีความสุขนั้น “ความทรงจำบนเวที” เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของ JIMIN อย่างแน่นอน ตัวเขายืนอยู่ตรงกลางเวที ภายใต้แสงไฟและฉากที่ทีมงานตั้งใจออกแบบไว้ให้ ขยับร่างกายไปตามจังหวะเพลงอันทรงพลัง แสดงอารมณ์ออกมา ดึงความคิดความรู้สึกของผู้ชมด้วยบทเพลงและการเต้น การได้ยินเสียงปรบมือและเสียงตะโกนเชียร์ที่ดังมาไม่ขาดสาย ได้มอบความรู้สึกสุดแฟนตาซีเสมือนว่าได้อยู่ใจกลางระบบสุริยะ ซึ่งมีดวงดาวนับล้านรายล้อมรอบตัว 

    • “ทุกครั้งหลังจากจบคอนเสิร์ตหนึ่งรอบ แล้วกลับมาที่ห้องในโรงแรมเงียบๆ หรือกลับไปบ้าน ก่อนจะเตรียมตัวพักผ่อนเข้านอน เสียงตะโกนเชียร์เสียงหัวเราะเหล่านั้น ยังคงดังก้องอยู่ข้างหูผมตลอด เหมือนกับว่าคอนเสิร์ตทั้งหมดยังไม่จบลง” 

    แต่ JIMIN ก็เข้าใจดีว่าต่อให้ความสุขนั้นจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางมัน 

    • “มันเป็นความรู้สึกที่สับสนปนเปกันมากเลยครับ ระหว่าซาบซึ้งกับตื้นตัน ให้พูดตามตรงมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่างเปล่าอย่างแรงกล้า บางครั้งอาจยิ่งกลายไปเป็นความรู้สึกสองขั้ว ซึ่งอธิบายไม่ได้ก็มีครับ อย่างเช่น ดีใจแต่ขมขื่น โดดเดี่ยวแต่คึกคัก เป็นความขัดแย้งที่ไม่สามารถนิยามได้ แต่พอมีประสบการณ์มากขึ้น คนเราก็โตขึ้น สภาพจิตใจก็ค่อยๆ มั่นคง เริ่มรู้จักขอบคุณการสนับสนุนและการดูแลอันมีค่าเหล่านั้น และโอบกอดความคิดถึง และความว่างเปล่าที่ไม่อาจเลี่ยงได้ในขณะที่ตัวเองนอนอยู่บนเตียง หลังจากนั้นก็นำความรู้สึกเหล่านั้นมาย่อย ตกตะกอนกลั่นออกมาเป็นความทรงจำอันแสนประทับใจไม่รู้ลืม กลายเป็นแรงผลักดันเมื่อได้ยืนอยู่บนเวทีอีกครั้ง และย้ำเตือนตัวเองเสมอว่า 'เราแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้จัดคอนเสิร์ตกับสมาชิก BTS อีกครั้ง ได้ก้าวขึ้นไปแสดงบนเวทีด้วยกันอีกครั้ง ดังนั้นต้องขยันเข้าไว้!' "


    วิสัยทัศน์ไม่ใช่การพูดปากเปล่า



              JIMIN ผู้อ่อนไหวได้แบ่งปันกับเราว่า การที่จิตใจกระสับกระส่ายเป็นสิ่งที่อาชีพนักแสดงต้องเจอ

    • “สมัยเป็นเด็กฝึก ผมเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้ว่าควรทำอะไร เคยมีช่วงเวลาที่หมดหวังหรือเสียน้ำตา เพราะว่าสภาพคือเหนื่อยล้าอ่อนแรงจริงๆ แต่ตอนนี้เดินผ่านมาได้แล้ว มาถึงขั้นนี้ก็เข้าใจอะไรมากขึ้น ไม่มีอะไรต้องพูดกับตัวเองที่ทุ่มเทในอดีตคนนั้นแล้ว กลับกลายเป็นว่าอยากบอกกับตัวเองตอนนี้ว่า ต้องเดินหน้าต่อไป อย่าทรยศความพยายามที่อุตส่าห์เดินมาตั้งนานกว่าจะมาถึงตรงนี้” 

          อีกอย่างเขารู้ว่าคนที่ทุ่มเททั้งช่วงวัยรุ่นและเวลานั้นยังมีอาร์มี่ด้วย ดังนั้นจึงอยากทำทุกอย่างให้ดีเป็นพิเศษ เพื่อตอบแทนการสนับสนุนและความรักที่ไร้ซึ่งเงื่อนไขของทุกคน

    • “ผมเคยได้ยินคำพูดดีๆ มากมายมาจากแฟนคลับของผม นี่อาจจะเยอะกว่าคำพูดที่คนส่วนมากได้ยินมาทั้งชีวิตอีกมั้งครับ ผมไม่สามารถตอบแทนความตั้งใจดีของพวกเขาได้ทั้งหมดจริงๆ แล้วก็ยังมีผู้จัดการของผม ตอนที่ผมเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก เขาเคยกอดผมเป็นการแสดงความเข้าใจที่ไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูดได้ ขอบคุณทีมงานที่เคยร้องไห้ด้วยกันกับผม ขอบคุณครอบครัวและเพื่อน ๆ ...และแน่นอนคนที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้ สมาชิก BTS ครับ” JIMIN รู้สึกขอบคุณ “ไม่ว่าเจอเรื่องราวที่มีความสุข เรื่องที่สับสน หรือลำบาก พวกเขาเป็นคนที่เผชิญหน้าเรื่องเหล่านั้นกับผมเสมออย่างเช่น ตอนที่กำลังเตรียมปล่อยอัลบั้มเดี่ยวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ผมรู้สึกกดดันและสงสัยเล็กน้อย ทุกคนต่างก็มาปลอบผมว่าไม่เป็นไร ขอแค่ทำให้เต็มที่ ปัญหามันก็จะคลี่คลายได้เสมอ แล้วก็จะให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำที่สำคัญกับผมด้วย ดีใจมากเลยครับที่มีพวกเขาอยู่ด้วย”

              เมื่ออัลบั้มปล่อยออกมา JIMIN ก็ได้สำรวจตัวเองในวัย 27 ปีอีกครั้ง ก่อนที่อายุจะขึ้นเลขสามตัวเองได้เก็บประสบการณ์อะไรมาบ้าง แล้วมีจุดไหนที่ต้องพัฒนาอีกบ้าง

    • “ผมต้องการเวลาย้อนกลับไปมองเรื่องราวในวัยยี่สิบกว่า แล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงที่ว่าตัวเองจะก้าวเข้าสู่วัยสามสิบในอีกไม่นาน เพื่อที่จะแสวงหาเส้นทางที่สร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าในการงานและชีวิต อย่างการเป็นมนุษย์รวมถึงเรื่องดนตรีด้วย ผมคิดว่าวิสัยทัศน์ที่ว่าก็คือ การที่คนคนหนึ่งมีความสามารถในการเลือกว่าจะเดินไปในอนาคตเป็นระยะทางไกลแค่ไหน” 

    JIMIN กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

    • “ณ ตอนนี้ ผมหวังว่าจะกลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระครับ อย่างเรื่องงานเช่น การทำเพลงหรือแสดงบนเวที ถ้าอยากได้อิสระตรงนั้น ก็หมายความว่าผมต้องยิ่งชำนาญในด้านนั้นมากขึ้น เพราะว่าเรื่องที่มองแค่ผิวเผินแล้วดูไม่ได้ลงแรงกับมันเท่าไหร่ เบื้องหลังนั้นแท้จริงแล้วทุ่มเทแรงลงไปหนักกว่ามาก ซึ่งก็คือเป็นอย่างที่เขาบอกว่า ยิ่งฝึกฝนมากเท่าไหร่ยิ่งสำเร็จมากเท่านั้น ส่วนเรื่องสภาพจิตใจของผมนั้น ผมเองก็ต้องแข็งแกร่งมากขึ้น ทุ่มเทเวลาและพลังทั้งกายใจเพื่อปกป้องดนตรี การเต้น ศิลปะการแสดงที่ผมรัก รวมถึงประเด็นที่ผมสนใจเอาไว้อย่างเต็มที่ที่สุด”


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in