( Fictober 2018 | Day 1 | Poisonous )
ตอนที่แม่บอกว่าจะมีคนใหม่มาอาศัยอยู่ด้วย
ผมตื่นเต้นดีใจจนตัวสั่น
นานมากแล้วที่เกสต์เฮาส์ของเราไม่มีแขกเข้ามาพัก จะด้วยเศรษฐกิจที่ย่ำแย่หรือกระแสท่องเที่ยวซบเซาก็เดาไม่ถูก
อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นเกสต์เฮาส์ก็ไม่เชิง เพราะมีแค่แม่กับผม บ้านเราเลยเหลือห้องว่างเต็มไปหมด ปล่อยทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับเฉยๆ ก็น่าเสียดาย สู้เปิดห้องให้เช่า เผื่อเป็นรายได้เสริมยังจะดีกว่า แขกที่มาพักกับเราส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ขาจร พักกันชั่วค่ำชั่วคืน ก็เป็นพวกอาศัยชั่วคราว อยู่นานสุดไม่เกินสองเดือนทั้งนั้น
แขกคนใหม่ที่ว่าเป็นประเภทหลัง
แม่ไม่ได้พูดถึงเขาเท่าไหร่ รู้แค่ว่าเป็นผู้ชาย มาคนเดียว และ- อย่างที่ว่า- กำลังหาที่พักชั่วคราว
‘ชั่วคราว’
เป็นคำที่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนหัวใจมีรูโหว่ โดนกร่อนด้วยพิษแห่งคำจากลา ผมไม่ชอบเลย แต่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
“ไม่มีใครอยู่ตลอดไป บางคนทิ้งความทรงจำเอาไว้ บางคนก็เก็บมันไปด้วย” แม่ชอบพูดแบบนั้น ผมภาวนาให้กระเป๋าสัมภาระเขาแน่นเอี้ยด จะได้ทิ้งความทรงจำดีๆ ไว้บ้าง
เขามาถึงในช่วงบ่ายของวันที่อากาศร้อนจัด
ทั้งที่ตอนเช้ามีเค้าว่าฝนจะตก แต่เมื่อผ่านช่วงเที่ยงไป กลุ่มเมฆสีเทาที่ดูเหมือนก้อนสำลีอวมน้ำก็หายลับไปจากสายตาโดยไม่ทันได้โปรยละอองฝนลงมาสักหยด
แสงอาทิตย์และความแห้งในอากาศสูบพลังของผมไปเสียเกลี้ยงถัง จากที่ตั้งใจว่าจะช่วยตรวจดูความเรียบร้อยของห้องเป็นครั้งสุดท้าย กลับผล็อยหลับไปบนพื้นเสียอย่างนั้น
รู้สึกตัวอีกที ก็มีเสียงกีตาร์คลออยู่ใกล้ๆ
“Summer has come and passed.
The innocent can never last.
Wake me up when September ends.”
พอเปิดเปลือกตาที่หนาหนักขึ้น ก็เห็นแมงมุมตัวใหญ่ยักษ์ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ผมสะดุ้งตกใจจนตัวโยน ดีดตัวลุกขึ้นพลางร้องเสียงหลง สัญชาตญาณระวังภัยสลัดความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง
“ทำให้ตื่นเหรอ ขอโทษที”
แมงมุมหายไป แทนที่ด้วยผู้ชายร่างผอมเพรียวแต่ดูแข็งแรงเพราะกล้ามเนื้อได้รูปเป็นสัดส่วน เขานั่งอยู่บนเฉลียงทางเดินที่คั่นระหว่างห้องกับสวนหลังบ้าน กีตาร์โปร่งสีดำอยู่ในอ้อมแขน
“ไง” เขาร้องทัก
ผมถอยหนี มองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
“เมื่อกี้ขอโทษด้วยนะ เห็นกำลังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก ผมชื่อเคย์ ฝากตัวด้วย” เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มแบบที่เคลือบทับความรู้สึกข้างในเอาไว้อีกทีหนึ่ง
ผมเอ่ยทักตอบสั้นๆ เป็นการหยั่งเชิง เมื่อกี้ฝันไปหรือ?
“อ้อ...” เขาทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ก่อนจะหันแผ่นหลังเปล่าเปลือยมาทางผม เอี้ยวหน้ากลับมายิ้มแกนๆ ให้ “เพราะเจ้านี่หรือเปล่า”
ตรงหน้าผมคือแมงมุมใหญ่ยักษ์ที่กำลังกางขาเก้งก้างซึ่งปกคลุมไปด้วยขนยุ่บยั่บทั้งแปดออก แผ่พาดเสียเต็มแผ่นหลังขาวผ่อง
ผมเกือบจะร้องออกมาด้วยความตกใจอีกครั้ง แต่เมื่อมองดีๆ ถึงได้รู้ว่ามันคือรอยสักที่ใหญ่พอๆ กับกะละมังซักผ้า ข้างใต้มีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนเอาไว้สั้นๆ
‘Phoneutria fera’
แมงมุมที่ว่ากันว่ามีพิษร้ายที่สุดในโลก
ผู้ชายคนนี้คือบุคคลอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย
“เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจน่ะ”
คนประเภทไหนกันที่จะสักลายแมงมุมเอาไว้เตือนใจ มาฟียา? นักฆ่าสุดโหด? มือลอบสังหารระดับพระกาฬ?
“ถ้ากลัวเดี๋ยวผมไปเอาเสื้อมาใส่ รอเดี๋ยวนะ“
ผมเผลอร้องห้ามไปโดยไม่รู้ตัว
“?”
ดูแล้วก็เหมาะดี — ผมบอกเขาไปแบบนั้น
“ไม่กลัวเหรอ”
ผมส่ายหน้า — ที่ร้องเพราะตกใจหรอก... แต่ดูๆ แล้วก็สวยดี มั้ง?
อยู่ๆ เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมายกใหญ่ ผมรู้สึกว่าใบหน้ากำลังร้อนผ่าว เพราะรอยสักของผู้ชายเนี่ยนะ
“ขอโทษๆ ไม่ได้ขำนาย” เขากระแอมสองสามที สีหน้าที่ดูสงบลงระบายยิ้มจาง
อีกแล้ว... เป็นรอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว
“ก็มีช่วงเวลาที่รู้สึกว่า ไม่น่าเลยน้าา เหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาคนเห็นแล้วทำหน้าเหมือนไม่อยากจะรู้จักหรือพูดคุยด้วยน่ะ” เขาหยุดถอนหายใจยาว “แต่คิดดูดีๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงจะย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็คงจะทำแบบนี้อยู่ดี”
ผมอาจจะคิดไปเอง แต่เสียงและรอยยิ้มของเคย์เจือไปด้วยความเหงาและเศร้าสร้อย เหมือนฤดูร้อนที่ไร้ลม
อยากรู้จังว่าภายใต้รอยยิ้มและรอยสักแมงมุมของเขา มีโศกนาฏกรรมอันแสนเศร้าแบบไหนซ่อนอยู่
“ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจอะไรหรอก ถ้าเป็นที่มาของรอยสักนี้น่ะ”
เดี๋ยว- เมื่อกี้ผมคิดดังไปเหรอ
“ไม่สิ จริงๆ ต้องบอกว่าน่าอายมากกว่า”
ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ใจจดจ่อรอฟังเรื่องราวที่เขากำลังจะเล่าต่อไป
“ตอนเด็กๆ ผมกลัวแมงมุมน่ะ...”
หา?
“เห็นตัวเล็กๆ ยังร้องไห้ลั่นบ้าน กลัวแทบตายจนถึงช่วงมหา’ลัยโน่น อยู่มาวันนึงก็โดนยุให้ไปสักแก้เคล็ด หนามยอกเอาหนามบ่ง เกาะติดหลังขนาดนี้ ถ้าไม่หายกลัวก็ให้มันรู้ไป ฮ่าๆๆ”
ให้ตาย...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in