สวัสดีค่า Gohan คนเดิมเองค่าาาา ครั้งนี้เราแต่งจากธีมของวันที่9ค่ะ ซึ่งธีมของวันที่ 9 ก็คือ สำคัญ(precious) ค่ะ ซึ่งคนแรกที่เรานึกถึงในธีมนี้ได้เลยคือพี่เว่ยค่ะ 5555 ประกอบกับเมื่อหลายๆวันที่ผ่านมาเราเห็นมีคนที่แค็ปช่วงนึงของนิยายที่พี่เว่ยถามหานกวงจวินเรื่องนี้ด้วยค่ะ เราเลยคิดว่าถ้าเกิดใช้ช่วงนี้มาขยายความตามความเข้าใจเราก็น่าจะสนุกไม่น้อยค่ะ เอาเป็นว่าขอฝากฟิคโธเบอร์เรื่องสั้นๆเรื่องนี้อีกเรื่องด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่าาาา
CP : หลานวั่งจี x เว่ยอู๋เซียน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรีที่เงียบสงบ เสียงจักจั่นเรไรดังมาป็นระยะๆ ทุกสิ่งทุกอย่างในป่าเงียบสงัดลงราวกับหลับใหล แต่ทว่าในความมืดมิดนั้นกลับยังมีดวงไฟดวงหนึ่งสว่างไสวขึ้นมา ณ ใจกลางป่าแห่งหนึ่ง มีร่างของคนสองคนที่กำลังนั่งอยู่บนขอนไม้ที่อยู่รอบๆกองไฟที่ก่อขึ้นมา
ชายหนุ่มในชุดสีดำคาดแดงกำลังนั่งเขี่ยท่อนไม้เข้ากองไฟอย่างเพลิดเพลิน ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็มองไปยังบุรุษในอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ที่นั่งอยู่ในทิศตรงข้ามกับตนเอง ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเฉยชาเสียยิ่งกว่าอะไร ถ้าหากเขาไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครย่อมต้องทึกทักไปเองว่าเขาเป็นนักพรตไปแน่แท้
เขายังคงสนใจกับกองไฟตรงหน้าของตนต่อไป คนอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันก็ยังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่เหมือนเดิม บรรยากาศรอบๆตัวพวกเขาพลันเปลี่ยนเป็นความเงียบที่ไม่สามารถอธิบายได้ เมื่อคนซุกซนเริ่มทนไม่ไหวกับความเงียบรอบๆตัว เขาจึงเริ่มพูดขึ้นมาหวังจะทำลายความเงียบที่ก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขา
“หานกวงจวินๆ ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าดูสวยดีนะว่าไหม”
“อืม” ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม แต่ยังคงสั้นกระชับเกินไปราวกับไม่ได้ต้องการอยากจะตอบคำถามของเขา แต่แล้วเว่ยอู๋เซียนก็ไม่ได้ละความพยายามที่จะชวนฝ่ายตรงข้ามคุยด้วย
“หานกวงจวินๆ ท่านว่าไหมว่าในป่านี้มันออกจะเงียบไปหน่อยนะ”
“อืม”
“หานกวงจวินๆ ในเมื่อพวกลูกศิษย์ก็พากันหลับกันหมดเเล้ว ข้าว่าเราลองมาพูดคุยกันประสาผู้ใหญ่กันดีรึไม่” เว่ยอู๋เซียนถามอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงยียวน
“.....” ไร้เสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย เว่ยอู๋เซียนเข้าใจดีว่าสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามจะสื่อคือเขายอมตกลงจะพูดคุยด้วยแต่ถ้ารังจะปล่อยให้เขาถามคำตอบคำเช่นนี้ ตัวเขาเองคงจะได้พูดตัวคนเดียวตลอดทั้งคืนเป็นแน่
“งั้นก่อนที่ข้าจะคุย ข้าขอท่านเพียงเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
“ว่าเช่นไร” เจ้าของนามว่า หานกวงจิน ถามกลับมาพร้อมกับปรายตามาทางเว่ยอู๋เซียน
เว่ยอู๋เซียนนั้นดีใจยิ่ง ดีใจเสียจนเผลอยิ้มออกมาอย่างสุขใจ แต่ก็ยังคงไม่ลืมในสิ่งที่ตนจะถามและตอบกลับไป “เป็นเรื่องยากยิ่งนักที่หานกวงจวินจะตอบข้ามาเช่นนี้ ข้าจึงตัดสินใจว่า นับจากช่วงเวลานี้จนถึงพรุ่งนี้เช้าข้าขอให้ท่านตอบทุกคำที่ข้าถาม ไม่เพียงนิ่งเฉยไม่ตอบข้าได้รึไม่ ข้าไม่อยากจะเป็นเจ้าคนบ้าใบ้พูดอยู่กับตัวคนเดียวตลอดคืนหรอกนะ”
“ย่อมได้”
เมื่อได้ยินคำตอบจากปากของอีกฝ่ายเช่นนั้น เว่ยอู๋เซียนทำตาเป็นประกาย จากนั้นจึงนั่งครุ่นคิดหาสารพันคำถามที่จะมาถามมนุษย์แท่งหยกที่อยู่ตรงหน้าของตนให้ได้ เมื่อคิดได้ขึ้นมาแล้วจึงถามออกไป
“หานกวงจวิน….ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องที่เหล่าศิษย์พวกนั้นพูดกันตอนก่อนนอนหรือ”
“เรื่องอันใด”
“ความรักอย่างไรเล่าหานกวงจวิน”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร”
เว่ยอู๋เซียนพยายามสูดลมหายใจเข้าราวกับจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดของตนมาไว้ที่อก จากนั้นจึงพูดออกมา “หลานวั่….ไม่สิ หานกวงจวิน ท่านคิดอย่างไรกับความรักระหว่างคนสองคน….ไม่สิข้าหมายถึงความรักในเชิงแง่หนุ่มสาวละนะ”
หลานวั่งจีนิ่งอึ้งไปชั่วครู่กับคำถามที่ถามมา สายตาจดต้องไปยังกองไฟตรงหน้าที่กำลังลุกไปมาราวกับกำลังหาคำตอบจากในกองไฟนั้น จากนั้นเขาจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆพร้อมกับส่ายหน้าไปมาว่า “อันตัวของข้าที่ไม่เคยประสบพบเจอกับความรักทำนองนั้น ย่อมไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องกับเจ้าได้….”
“ฮ่า ข้าว่าไว้อยู่แล้วว่าท่านต้องให้คำตอบข้าไม่ได้ หานกวงจวิน เอาเป็นว่าท่านอย่าใส่ใจเลยนะ” เว่ยอู๋เซียนพูดแล้วเอนกายไปข้างหลังพร้อมกับเอาสองมือประสานตั้งรองคอเอาไว้ ตามองไปทางท้องฟ้าที่มืดมิดอย่างไร้จุดหมาย พร้อมกับนึกคิดอะไรบางอย่างไปด้วย
…...จริงๆแล้วก่อนข้าตายนั้น ข้าเคยได้สัมผัสกับความรักจริงๆสักครั้งบ้างรึเปล่านะ…..
ขณะที่กำลังคิดอะไรต่างๆไปอย่างล่องลอยนั้น ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเรียกของอีกฝ่ายดังขึ้นมา
“เว่ยอิง”
“มีอะไรรึ หานกวงจวิน” คนที่กำลังนั่งคิดล่องลอยอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนท่านั่งกลับมาในท่าขัดสมาธิที่สบายขึ้น พร้อมกับหันหน้าไปทางคนที่เรียกชื่อของตน
“ถ้าหากในจุดๆหนึ่งของชีวิตของเจ้า มีจุดที่เจ้าจะต้องเสียคนรอบข้างไปทีละคน ในเวลานั้นเจ้าที่สิ้นจนหนทาง กลับพบวิธีที่จะสามารถช่วยผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดให้กลับมาได้….”
“มันคืออะไรเล่า หานกวงจวิน” เว่ยอู๋เซียนเร่งรบเร้า
ดวงตาของหลานวั่งจีหลุบต่ำลง มองไปยังกองไฟที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับพูดต่อ “....คือต้องสละชีวิตของเจ้า ให้กับดวงไฟที่กำลังลุกอยู่ตรงหน้าของเจ้าในตอนนี้ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร”
เว่ยอู๋เซียนนิ่งเงียบและฟังทุกคำพูดของอีกฝ่ายที่พูดออกมาอย่างตั้งใจ เขามองเข้าไปยังดวงไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ตรงหน้าราวกับว่ากำลังเริงระบำ พลันให้นึกถึงเปลวเฟลิงที่กำลังลุกโชนอยู่ทั่วล้วนจั้งกั่งในวันนั้น
ในตอนนั้นเขาคิดถึงเพียงแต่การทำลายตราพยัคฆ์อันนั้นให้ทันก่อนการบุกล้อม ใช่แล้ว ถ้าหากทำลายได้ไม่ทันเวลา คำสัญญาที่จะปกป้องใครคนหนึ่งเอาไว้นั้นย่อมจะเป็นเพียงแค่เรื่องโกหกไปเป็นแน่แท้
“ข้าก็คงจะทำตามข้อแลกเปลี่ยนที่ให้มานั่นแหละ หานกวงจิน”
“.....” หลานวั่งจีเบิกตากว้างขึ้นมา มองตรงไปยังคนที่ตอบคำถามของเขาด้วยสายตาที่เรียบเฉยเช่นเดิม
“ท่านบอกข้าใช่หรือไม่ว่าชีวิตข้าหนึ่งชีวิตลงกองไฟกองนั้นจะสามารถแลกได้กับอีกหลายชีวิตที่กำลังจะหายไป ข้าว่ามันเหมาะสมนะกับการที่จะยอมสูญเสียเพื่อใครบางคนที่สำคัญสำหรับเรา หานกวงจวิน ท่านว่ารึไม่ การที่เรามีชีวิตอยู่ไปในแต่ละวันนั้นก็เพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สำหรับข้า สิ่งๆนั้นคือคนสำคัญของข้าเอง ถ้าปกป้องคนสำคัญของตนเองคนนั้นได้ อย่างน้อยก็ทำให้ข้าสุขใจนะ”
เว่ยอู๋เซียนตอบกลับไปพร้อมกับยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่สุขใจอย่างไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน เขาเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งพร้อมกับนึกถึงอดีตในวันวานที่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่เจ้าพูดก็คงเป็นคำตอบสำหรับคำถามที่เจ้าถามข้ามาล่ะ”
“หะ..….เห”
ราวกับว่าฟื้นตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความคิด เว่ยอู๋เซียนรีบหันหน้ากลับมามองอีกฝ่ายที่กำลังลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวที่จะมุ่งหน้าไปทางอื่นอย่างเลิ่กลั่ก
“หะ...หานหวงจวินเมื่อครู่นี้ท่านหมายความว่าอย่างไร ละ...แล้วก็ท่านจะไปที่ไหนน่ะ”
ชายผ้าสีขาวสะดุดตาพลิ้วสะบัดท่ามกลางแสงจันทร์ หลานวั่งจีหันหลังกลับมามองจากนั้นจึงส่งเสื้อคลุมสีขาวขนาดใหญ่ของตนเองให้ พร้อมกับตอบไปด้วยประโยคสั้นๆ “ข้าจะไปสำรวจบริเวณรอบๆ”
บุรุษในอาภรณ์สีขาวไม่รอช้า รีบสาวเท้าเดินเข้าไปในดงไม้อย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนที่กำลังสับสนได้แต่นั่งมองจนเขาเดินหายไปในความมืด
สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดมาเฉื่อยๆปะทะเข้ากับใบหน้าของเด็กหนุ่ม ทำให้รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่กำลังเย็นลงอย่างช้าๆ เว่ยอู๋เซียนรีบหยิบเสื้อคลุมที่อีกฝ่ายให้นำมาสวมอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงท่าทีตอนที่ยื่นเสื้อคลุมและพูดคุยนั้นก็ทำให้เขาเป็นสุขได้อย่างบอกไม่ถูก ยามเมื่อเอามือทั้งสองข้างมาสัมผัสกับใบหน้าก็รู้สึกได้ถึงใบหน้าแดงระเรื่อของตนที่เริ่มอุ่นขึ้นมาแปลกๆ
“ฮะฮะ หานกวงจวินนี่น้า ถึงแม้ท่านจะขี้อายไปหน่อยก็ตาม แต่ท่านก็ทำให้ข้ามีความสุขได้ตลอดเลยนี่นา”
.
.
.
(จบ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in