เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รวมone shot ตัวร้ายอย่างข้า กับ ปรมาจารย์ลัทธิมารMr.P (stands for peppermint chocolate)
หาได้เอื้อมถึง [ตัวร้ายอย่างข้าฯ]
  • หากกล่าวถึงลั่วปิงเหอ ราชาภพมารในฉบับดั้งเดิมของเซี่ยงเทียนต๋าเฟ่ยจีนั้น ทุกคนย่อมต้องนึกถึงตัวเอกที่ผู้คนในยุทธภพ เมื่อได้ยินชื่อต้องพากันสยบแทบเท้าให้กับความน่าเกรงขาม บรรดาสาวน้อยใหญ่ต่างพากันไปสวามิภักดิ์ปรนนิบัติให้กันเป็นแถบเพราะความรูปงามระดับหาใครเปรียบไม่ได้


    แต่สำหรับเสิ่นหยวนนั้น ไอ้หมอนี่มันก็ไม่ต่างกับตัวเอกเทพทรูคิ***ะในการ์ตูนอนิเมะแนวหลุดเข้าไปในเกมออนไลน์ชื่อดังที่ชื่อว่า S**** **T *****E สักเท่าไหร่นัก ตั้งแต่ดัชนีทองคำที่ไม่มีพลังใดๆต้านทานได้ ความฉลาด IQ ระดับ200 ความหน้าตาดีระดับเกรดA+++ ค่าโชคที่แทบจะพุ่งทะลุหลอดสเตตัส ฮาเร็มที่มีแต่สาวหน้าตาน่ารักเต็มไปหมด รวมๆแล้วไอ้นี่มันแทบจะเป็นพระเอกแบบสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอยู่เห็นๆ


    โชคดีที่ในโลกที่เขาได้มาเกิดใหม่นี้ เจ้าเด็กลั่วปิงเหอ ถึงแม้จะมีความสามารถระดับพระเอกเทพทรูติดตัวอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำตัวโอหัง น่ารำคาญ เหมือนกับแบบเวอร์ชันต้นฉบับที่เขาแทบจะไปคอมเมนต์ด่าใส่ในเว็บต่งเจียงอยู่ทุกครั้งที่ปล่อยตอนใหม่ออกมา


    เสิ่นหยวนสะบัดหัวตัวเองไล่ความคิดที่เกี่ยวกับลั่วปิงเหออีกคนหนึ่งออกจากหัวไป ก่อนที่จะกลับมามองเตียงไผ่ที่อยู่ตรงหน้า วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เนื่องจากลั่วปิงเหอมีภารกิจบางอย่างที่ต้องกลับไปดูที่วังฮ่วนฮวา ทำให้เขาได้นอนตัวคนเดียวเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขายอมตกลงใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าเด็กนั่น


    เจ้าแห่งยอดเขาชิงจิ้งเฟิงเดินไปยังเตียงนอนไม้ไผ่ของตน จากนั้นจึงทิ้งตัวลงนอนอย่างเป็นสุข เขายังไม่ลืมที่จะดึงผ้าห่มที่พับไว้ออกมาคลุมห่มตัวเอง พร้อมกับยิ้มหลับตาพริ้มให้กับตัวเอง


    ไหนๆก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขอให้รางวัลตัวเองด้วยการนอนสบายๆหน่อยละกัน


    เขานอนหลับเร็วกว่าที่ตัวเองคิดไว้มาก อาจจะเป็นเพราะวันนี้เขาเหนื่อยกับการคุมเหล่าลูกศิษย์ฝึกซ้อมกระบวนท่าดาบใหม่ หรือไม่ก็เป็นเพราะเขามัวแต่สอนเหล่าลูกศิษย์เขียนอักษรจนแทบจะลืมเวลากินข้าวของตัวเอง จนศิษย์เอกอย่างหมิงฟานต้องมาเรียกเตือนให้ไปรับประทานข้าวเย็น


    ทว่าดังที่เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า ‘ความสุขมักจะอยู่ได้ไม่นานนัก’ เสียงสังเคราะห์ของระบบดังขึ้นมาในหัวของเขาอย่างไม่มีปี่ ไม่ขลุ่ย พร้อมกับหน้าต่างสีแดงขนาดใหญ่ที่มีตัวอักษรสีแดงแสบตาขึ้นกระพริบอยู่


    “แจ้งเตือนใหม่จากระบบ ภารกิจเร่งด่วนได้มาถึง โปรดกรุณากดตกลงเพื่อทำการยืนยันรับภารกิจ”


    เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบ เสิ่นหยวนหลับตาปี๋พร้อมกับส่งเสียงไล่แกมบ่นออกไป


    “พี่ๆระบบ นี่มันเวลานอนแล้วนะ จะให้ผมนอนหน่อยไม่ได้รึไง”


    “ภารกิจเร่งด่วน กรุณากดตกลงเพื่อยืนยันการดำเนินการ”


    อะไรฟะ นี่คือรับภารกิจมาแล้ว จากนั้นให้เรามาแค่กด ‘ตกลง’ แล้วทำภารกิจเนี่ยนะ แบบนี้มันบังคับให้ทำกันชัดๆเลยนี่หว่า จะทำอะไรไม่ปรึกษากันหน่อยรึไงคุณพี่ระบบ


    เหมือนกับว่าเจ้าระบบตัวยุ่งจะได้ยินเสียงความคิดในหัวของเขาทั้งหมด สักครู่จึงขึ้นหน้าต่างข้อความอีกอันหนึ่งขึ้นมาให้พร้อมกับข้อความเสียงกดดันอีกหนึ่งข้อความ


    “ระดับความเร่งด่วนของภารกิจคือ สิบจากสิบ”


    “คร้าบๆ คุณพี่ระบบ ผมตื่นก็ได้ๆ”


    เสิ่นหยวนขยี้ตาทีหนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นมามองดูเจ้าหน้าต่างข้อความที่พากันผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับดอกเห็ดในสวนไผ่ เขายันตัวขึ้นมานั่งในท่าที่สบายก่อนจะมองไปรอบๆตัวเองอีกครั้ง ที่ๆเขากำลังอยู่ในตอนกลับไม่ใช่ที่พักของตนในอารามบนยอดเขาชิงจิ้งเฟิง แต่กลับเป็นห้องมืดๆห้องหนึ่ง ที่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ไม่เห็นประตูช่องทางออกเลยแม้แต่น้อย


    “หรือว่า...ที่นี่คือมายาจำลอง…”


    ไม่มีการตอบกลับจากระบบที่เพิ่งส่งเสียงโต้ตอบพูดคุยกับเขา เสิ่นหยวนนั่งรอคำตอบกลับอย่างอดทน จากนั้นสักพักหนึ่งจึงมีหน้าต่างสีฟ้าขนาดเล็กแสดงรายละเอียดของภารกิจขึ้นมา


    “ระดับความเร่งด่วน สิบจากสิบ ชื่อภารกิจ หาทางออกจากแดนมายา เงื่อนไขในการทำภารกิจ หาทางออกจากแดนมายาให้ได้ โดยจะสามารถออกได้ก็ต่อเมื่อผู้สร้างภาพมายาเหล่านี้ทำการทำลายภาพมายาเหล่านี้ลง”


    เดี๋ยว.... เดี๋ยวนะ ที่ระบบบอกมานี่คือให้ไปเคลียร์กับไอคนสร้างภาพมายาเหล่านี้เองเพื่อที่จะออกไปได้อย่างนั้นเหรอ บ้าไปแล้ว คนที่สร้างภาพมายาได้บนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนกันเชียว นอกจากมารฝันและก็……


    ...ลั่วปิงเหอเรอะ….ไม่สิ เขาไม่มีทางจะเป็นคนสร้างภาพมายาถึงขนาดที่ทำให้เราถึงกับต้องมาทำภารกิจหาทางออกเองนี่นา


    เสิ่นหยวนปรับท่านั่งของตัวเองมาเป็นนั่งขัดสมาธิ พร้อมกับใช้ความคิดในหัวตนเองพลางๆระหว่างรอการแจ้งเตือนเพิ่มเติมจากระบบ


    วิชามายาจำลอง เป็นการสร้างฝัน หรือ จำลองฝันขึ้นมาเพื่อล่อให้เหยื่อที่ตนเองต้องการไปติดอยู่ในฝันนั้น โดยในฝันนั้นจะเป็นฝันที่สร้างมาจากส่วนหนึ่งของความทรงจำที่เด่นชัดของคนๆนั้น ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำที่ดีหรือร้าย และการที่จะออกจากฝันนั้นได้มีอยู่หลายวิธี แต่โดยรวมแล้วล้วนต้องมาจากการที่คนสร้างภาพมายาเหล่านี้ทำให้มันหายไป


    การสร้างฝันนี้เป็นวิชาที่โดดเด่นลือชื่อของมารปิศาจที่รู้จักกันในนามว่า มารฝัน ที่ในเนื้อเรื่องฉบับดั้งเดิมของเซี่ยงเทียนต๋าเฟยจีได้เขียนไว้ให้เป็นอาจารย์คนสำคัญที่เป็นผู้ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ลั่วปิงเหอ พ่อพระเอกตัวดีที่มีดีทุกอย่างพร้อมสรรพจนน่าอิจฉา


    แต่ว่ามันดูจะน่าแปลกไปหน่อยไหม ที่จะมีคนนอกเหนือจากปิงเหอที่เรารู้จักสามารถใช้วิชานี้ได้ด้วย


    ถ้าไม่มีงั้นจะมีความเป็นไปได้อื่นอีกไหม ว่าคนที่ทำจะไม่ใช่คนอื่นไกลจากตัวเรา


    พูดแล้วก็เล่นเอานึกถึงพ่อพระเอกเทพทรูคนนั้นในอีกโลกหนึ่งเลยนะเนี่ย ที่ตอนนั้นข้ามมิติมาหาเราด้วยกระบี่ซินหมัวอย่างนั้น…..


    …..เอ๊ะ…..


    อย่าบอกนะว่า….


    เสิ่นหยวนรีบยันตัวลุกขึ้น เตรียมจะเรียกถามระบบต่ออีกสักนิด แต่ว่าเมื่อเขาลุกขึ้นยืน พลันรอบข้างเริ่มหมุนวนเป็นเกลียวคลื่นวงกลม เมื่อมองแล้วชวนให้รู้สึกเวียนหัว เปลือกตาทั้งสองของเขาหนักอึ้งขึ้นมาราวกับต้องมนต์


    “กำลังจะพาไปเจอแล้วสินะ….”


    ….ลั่วปิงเหอ…..


    ____________________________________________________________________________


    เมื่อรู้สึกตัวขึ้นอีกที เสิ่นหยวนก็รู้สึกได้ถึงแสงสว่างอ่อนๆที่ส่องทอเข้าสู่สายตาของตนเอง เขาปรือตาขึ้นมาช้าๆเเล้วก็พบว่าตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในห้องแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างคุ้นเคยเป็นอย่างมาก แสงอาทิตย์ที่ส่องลอดออกมานิดๆผ่านช่องว่างของลายสลักบนตัวหน้าต่างรูปป่าไผ่ กลิ่นหอมอ่อนๆของยอดไผ่ที่กรุ่นไปทั่วห้อง โต๊ะเขียนอักษรที่ยังคงมีพู่กันกับแท่งฝนหมึกที่วางไว้อยู่อย่างเป็นระเบียบ และตั่งไม้ไผ่ขนาดย่อมๆ


    “ที่นี่ก็ที่ยอดเขาชิงจิ้งเฟิงเหมือนเดิมไม่ใช่รึไงเนี่ย”


    เสิ่นหยวนรีบชันกายตัวเองขึ้นให้อยู่ในท่วงท่าหลังตรงสง่า ก่อนที่จะล้วงไปที่สาบเสื้อของตนเพื่อหาพัดด้ามจิ้วคู่ใจขึ้นมากางเตรียมตัวเอาไว้


    “นี่ระบบ คนที่ผมจะเจอน่ะ อาจจะมาจากมิติไหนก็ได้ทั้งนั้นใช่ไหม”


    “ทุกรูปแบบของความเป็นไปได้ ย่อมเกิดขึ้นเสมอ”


    เสียงใสของระบบดังขึ้นมาทันใด เสิ่นหยวนกระพือพัดของตนพอเป็นพิธี พลางคิดบ่นเจ้าระบบที่ตอบสนองได้ไม่ทันใจอยู่ลึกๆ


    ทีเวลานี้ละน้า….คำตอบที่ไม่ช่วยอะไรนี่ก็ตอบกันได้ไวดีจริงๆ….


    สักพักหนึ่ง มีเสียงฝีเท้าหนักก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของประตูห้องพักของเขา เสิ่นหยวนรีบเตรียมตัวนั่งอยู่ในท่าพร้อม และไม่ลืมที่จะถือพัดด้ามจิ้วกางปิดใบหน้าของตนเอง ให้ความรู้สึกเหมือนกับได้มาสวมบทบาทเป็นจอมยุทธบุ๋น หรือขงเบ้งในสามก๊กอะไรทำนองนั้น


    เสิ่นหยวนสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับนั่งฟังเสียงฝีเท้าที่กำลังดังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ


    หมอนั่นถึงกับลงทุน มาสร้างมายาจำลองเพื่อพาเราเข้ามาอยู่ในนี้ เพื่อจะมาคุยอะไรกันแน่


    เพียงชั่วอึดใจ เสียงฝีเท้าที่ดังเป็นจังหวะอยู่มาสักพักก็ได้หยุดลง เสียงของประตูดังเสียดแก้วหูยามเมื่อถูกผลักออก ปรากฏให้เห็นชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำคาดแดงอันเป็นเอกลักษณ์ หน้าตางดงามหมดจดสมคำร่ำลือ ชายหนุ่มส่งยิ้มจางๆมาให้กับเขาพร้อมกับมองมาด้วยสายตาอันคบกริบที่ยากจะคาดเดาได้ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยินดี


    “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง เสิ่นชิงชิว….ไม่สิ...ซือจุน…”


    น้ำเสียงที่ฝ่ายตรงข้ามเรียกเขานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เสิ่นหยวนสังเกตถึงความสับสนลังเลในคำพูดของเขาได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังคงมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ จึงได้แต่เงียบไว้ไม่กล่าวกลับไป


    ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศในห้องระหว่างทั้งสองคนเป็นเวลานาน ท้ายสุดลั่วปิงเหอก็เป็นฝ่ายที่ทำลายความเงียบนั้นไป เขาเดินตรงเข้ามานั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้ามกับเสิ่นหยวน สายตากวาดมองไปรอบๆทั่วห้อง


    “ใยซืนจุนจึงโหดร้ายกับศิษย์เช่นนี้ ไม่ได้เจอหน้ากันเพียงระยะหนึ่ง แต่ถึงกับทำตัวห่างไกลกันราวกับเป็นคนไม่รู้จัก”


    เสิ่นหยวนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์อะไรจึงทำเช่นนี้”


    “ข้าแค่อยากจะมาหาซือจุนไม่ได้บ้างหรืออย่างไร”


    “.......”


    โอยยยย เจ้าพ่อพระเอกคนนี้ เล่นตอบมาอย่างงี้แล้วจะให้ผมตอบยังไงละครับ แถมมาแบบไม่ปกติ ใครเขาจะสบายใจกันได้เล่า


    “หรือว่าข้ายังไม่ดีพอสำหรับท่าน….”


    “...ทั้งที่ข้าก็เป็นคนเดียวกันกับเจ้าเด็กเหลือขอนั่นแท้ๆ….”


    เมื่อได้ยินคำพูดเหยียดหยามนั้นจากคนตรงหน้า ฟางเส้นสุดท้ายของเสิ่นหยวนก็ขาดลง เขาหันมามองตรงๆกับคู่สนทนาก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา


    “ปิงเหอของข้าไม่ใช่เด็กเหลือขอและไม่มีใครที่จะมีสิทธิมาว่าเขาเช่นนั้น รวมถึงท่านด้วย ท่านราชาภพมาร”


    เจ้าของสมยานามราชาภพมารยิ้มกระหยิ่มยามเมื่อเสิ่นหยวนหันมามองเขา ก่อนจะเปลี่ยนมองมาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ


    “ยามที่ท่านเรียกข้ากับเจ้าเด็กนั่นกลับใช้เป็นคนละคำเรียก อีกทั้งท่านยังคงปกป้องเจ้าเด็กนั่นสุดใจ…”


    “ก็เพราะว่าปิงเหอไม่ใช่ท่านอย่างไรเล่า” เสิ่นหยวนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถ้าท่านไม่มีธุระอะไรไปให้มากกว่านี้ ข้าก็ขอตัวกลับไปที่ของข้าก่อนเสียแล้วกัน ส่วนท่านก็กลั…..”



    ปัง


    เสียงของโต๊ะเขียนอักษรที่โดนกำหมัดทุบลงไปดังก้องไปทั่วห้อง ลั่วปิงเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ “ไม่ เสิ่นชิงชิว ท่านยังกลับไปไม่ได้ และตราบใดที่ข้ายังไม่ให้ท่านออกไป ท่านก็จะออกไม่ได้เช่นกัน”


    เสิ่นหยวนเก็บพัดด้ามจิ้วของตนเองเข้าไปในสาบเสื้อ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองมาที่ลั่วปิงเหอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า “เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันอีกเล่า ท่านราชาภพมาร แค่นี้ท่านก็มีมากพอแล้วไม่ใช่หรือ ทั้งภพมาร ภพมนุษย์ ไหนจะสนมสามพันกว่าคนข้างกายท่านอีกนั้นเล่า”


    หลังจากเขาพูดเสร็จ ก็มีเสียงระบบเเจ้งเตือนขึ้นมาพร้อมกับเสียงแจ้งเตือนสัญญาณอันตราย เล่นซ้ำไปมาในหัวของเขา


    “ค่าความโกรธ:1000แต้ม โปรดกรุณาระวังตัวไว้ให้ดี”


    *ิบหายล่ะ เมื่อกี้นี้ตรูคงไม่ได้พูดแรงไปกับปิงเกอใช่มั้ยเนี่ย


    ทันใดนั้นเสิ่นหยวนรู้สึกได้ถึงแรงกระชากที่ไหล่ เมื่อชนเข้ากับผนังนั้นปวดร้าวจนทำให้เขาต้องหันมามองอีกฝ่ายที่กำลังจับไหล่ของเขาตรึงติดไว้กับกำแพงห้อง


    ลั่วปิงเหอจ้องมาที่เสิ่นหยวนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ดวงตาสีเพลิงวาวโรจน์เหมือนกับลูกไฟดวงโตที่กำลังโหมลุกขึ้น


    “ท่านปฏิบัติกับข้าราวกับเป็นคนละคนกับข้าในโลกนี้ อีกทั้งยังกล่าวกับข้าอย่างไร้น้ำใจ ในครานั้นข้าขอให้ท่านกลับไปกับข้า ท่านก็ปฏิเสธ ใช่แล้วสำหรับข้าทั้งหมดนั่นมันยังไม่พอ ใช่แล้ว...มันยังไม่พอ….”


    เสิ่นหยวนรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มผ่อนแรงที่มือลง และเปลี่ยนจากการจับที่หัวไหล่เขาเป็นสวมกอดแทน


    เอ๋….อะไรอีกละครับเนี่ย…….ปิงเก้อออออออออ…..


    เสิ่นหยวนหน้าตาเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก พยายามจะดันให้อีกฝ่ายออกไปจากตัว แต่ลั่วปิงเหอกลับรั้งตัวเข้าไว้แน่นกว่าเดิม



    “ทำไมต้องเป็นข้าที่ไม่มีโอกาสได้อยู่กับท่าน…...”


    เสิ่นหยวนหันมามองคนที่กำลังเอาหน้าซบลงบนบ่าของเขาไม่ต่างกับเด็กน้อยที่กำลังเอาหน้าซบลงบนบ่าของพ่อตัวเองหลังจากเจอเรื่องแย่ๆในแต่ละวัน


    “ลั่วปิงเหอ…”


    “ทั้งที่โชคชะตาได้นำพาให้ข้ากับท่านได้มีโอกาสพบกัน….แต่ว่าข้ากลับไม่มีโอกาสได้อยู่กับท่าน…”


    “ฮะๆ ช่างน่าขันยิ่งนัก...โชคชะตานำพา แต่วาสนากลับไม่มี”


    ลั่วปิงเหอยังคงพูดต่อไปแต่น้ำเสียงกลับยิ่งสั่นเครือมากขึ้น เสิ่นหยวนเอามือลูบหลังของอีกฝ่ายหวังว่าจะช่วยปลอบประโลมความเศร้าที่มีอยู่นั้นได้


    “ทำไมกัน….ทำไมข้าถึงไม่มีสิทธิที่จะได้อยู่กับท่าน หรือว่าเพราะว่าข้าจะยังไม่ดีพอ ….….”


    เสียงสะอื้นของชายหนุ่มที่มีนามว่าราชาภพมารยังคงดังต่อไป ราวกับว่าความเศร้านี้จะไม่มีวันจางหายไปได้ เสิ่นหยวนนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง จึงกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน


    “ปิงเหอ เจ้ารบกวนช่วยขยับออกจากตัวเหวยซือครู่หนึ่งได้หรือไม่ เหวยซือมีของจะมอบให้กับเจ้า”


    อีกฝ่ายยอมขยับออกจากตัวออกอย่างว่าง่าย ทำให้เห็นใบหน้าที่เปื้อนรอยคราบน้ำตาจางๆอยู่เป็นแห่งๆ เสิ่นหยวนเมื่อเห็นแล้วก็อดที่จะเอ็นดูอีกฝ่ายตรงหน้าไม่ได้ แต่ก็ยังคงมองหาบางอย่างจากตัวของคนตัวสูงกว่าอยู่ จากนั้นเขาจึงยื่นมืออกไปหยิบบางอย่างที่ห้อยติดอยู่กับสาบเสื้อของราชาภพมาร


    “ท่านจะทำอะไรน่ะ”


    “เอาเถอะน่า รอเหวยซือประเดี๋ยวหนึ่งได้หรือไม่”


    เสิ่นหยวนขะมักเขม้นถักทอสิ่งที่อยู่ตรงหน้าสักครู่หนึ่ง เมื่อเสร็จแล้วจึงส่งให้ราชาภพมารที่กำลังยืนมองดูด้วยความมึนงง


    “พู่ห้อยที่เอวของเจ้ามันดูไม่ค่อยงามสักเท่าไร เหวยซือว่าหากทำให้มันประณีตอีกนิดคงจะดีขึ้น นี่คงจะเป็นสิ่งที่เหวยซือคงจะมอบให้เจ้าได้กระมัง”


    ลั่วปิงเหอจับพู่เส้นนั้นขี้นมาดูอย่างพินิจพิจารณา เสิ่นหยวนเห็นดังนั้นจึงพูดต่อไป


    “ลั่วปิงเหอ เราต่างก็อยู่ในคนละที่ ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ เหวยซือก็อยู่ในโลกของเหวยซือ ส่วนเจ้าก็อยู่ในโลกของเจ้า ของสิ่งนี้คงเป็นของเพียงสิ่งเดียวที่เหวยซือจะมอบให้กับเจ้าได้ ขอให้เจ้าจงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโลกนั้น จำไว้ว่าผู้คนไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมารก็ล้วนสามารถเป็นคนดีได้หากประพฤติดี ถึงแม้เหวยซือจะไม่ได้พบกับเจ้าอีก เหวยซือก็จะขอจดจำเจ้าในฐานะศิษย์คนหนึ่งของเหวยซือ..”


    “ขอบคุณเหวยซือ ข้าจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ” ลั่วปิงเหอกล่าวพร้อมกับยิ้มขึ้นมา


    ยิ้มนั้นอาจจะเป็นยิ้มที่มีความสุขที่มาจากใจจริงของเด็กคนนั้นสินะ เสิ่นหยวนคิดในใจ


    ทันใดนั้นทุกอย่างรอบๆตัวของเขาเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ ลั่วปิงเหอเดินถอยกลับพร้อมกับยังคงกำพู่ห้อยนั้นไว้ในมือ


    “ถึงเวลาของข้าแล้ว ข้าไม่สามารถอยู่มิติอื่นได้นานนัก ข้าผู้นี้ขอลา ซือจุน..”


    เสิ่นหยวนมองคนที่อยู่ข้างด้วยความมึนงง แต่ไม่ทันจะได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมเขาก็พบว่าตัวเองได้กลับมานั่งอยู่ในเตียงนอนไผ่ของตัวเองเสียแล้ว แสงสว่างของดวงจันทร์ยามค่ำคืนส่องลงมาให้เห็นโต๊ะเขียนอักษรที่ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เขาพยายามเช็คดูว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ใช่ชุดนอนของตนเองเมื่อก่อนจะไปเจอลั่วปิงเหอเวอร์ชันต้นฉบับหรือไม่


    “ภารกิจเสร็จสิ้น ท่านผู้ใช้งานได้รับผลสำเร็จเป็นค่าความดูดี +5000แต้ม”


    เสียงของเจ้าระบบตัวดีดังกังวานเสียจนเสิ่นหยวนแทบจะสะดุ้งโหยงออกจากเตียงนอน


    “ไรฟะเนี่ย ค่าความดูดงดูดีอะไร ทำไมจู่ถึงขึ้นมาได้เยอะขนาดนั้น ทีไอตอนแรกๆที่ให้ไปทำภารกิจดันให้ทีละนิดๆยังกะขี้เหนียวทำนองนั้น แล้วก็ไอภารกิจเร่งด่วนนั่นอีก….”


    ก่อนจะด่าอะไรใส่ระบบเพิ่ม เสิ่นหยวนหยุดครู่หนึ่งราวกับจะคิดอะไรขึ้นมาได้


    “......แล้วเจ้าเด็กนั่นจะเป็นยังไงบ้างละเนี่ย……”


    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    ณ วังใต้พิภพ โม่เป่ยจวินกำลังเดินทางมารายงานผลการทำภารกิจของตนให้กับราชาภพมาร แต่กลับต้องฉงนใจเมื่อเห็นเหล่าสนมพากันออกมาเดินตรงทางเดินกันให้วุ่น แต่เขาก็ยังคงไม่สนใจและมุ่งตรงไปหานายเหนือหัวของตน


    เมื่อมาถึงห้องส่วนตัวของจอมราชันย์ โม่เป่ยจวินก็รีบคุกเข่ารายงานผลอย่างไม่รอช้า ในขณะที่รายงานอยู่เขาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของอีกฝ่ายที่ดูไม่มีท่าทีจะฟังสิ่งที่เขาพูดเลย แต่กลับเหม่อลอยไปยังทางอื่น ไม่อาจคาดเดาได้


    “ฝ่าบาท…”


    “ว่าอย่างไรรึโม่เป่ยจวิน”


    “ท่านมีสิ่งใดที่ต้องการอีกหรือไม่ ถ้ามีข้าน้อยจะได้ไปจัดหาให้เตรียมไว้”


    ลั่วปิงเหอหันมามองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่สลับกับมองเจ้าพู่เปียเล็กๆในมือของตนด้วยสายตาที่เลื่อนลอย


    “ไม่มีหรอก…..”


    “......และถ้ามี ข้าก็ไม่อาจมีวันเอื้อมถึงสิ่งนั้นได้…….”


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in