เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกจากคำเทศนาบันทึกหมึกจิ๋ว
บทที่ 2 อย่าหยุดที่จะก้าวต่อไป (2 พงศ์กษัตริย์ 7:1-20)
  • บทที่ 2 อย่าหยุดที่จะก้าวต่อไป (2 พงศ์กษัตริย์ 7:1-20)

    โดย อาจารย์ทนนท์ ชาญชิตโสภณ

    บันทึกเมื่อ 12/9/2560

    หากมีข้อความใดที่ผิดไปจากพระคัมภีร์หรือต้องแก้ไขข้อมูล ผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นในบทความนี้ได้เลยนะคะ

    ปัจจุบัน เราต่างรู้สึกว่าชีวิตมีแต่ความไม่แน่นอน ปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอ มนุษย์พยายามควบคุมทุกอย่างเพื่อกำจัดความกังวลและความกลัวเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต และนั่นทำให้บางคนไม่ยอมเสี่ยง เพื่อปกป้องตนเองจากความผิดหวัง หรือเพื่อป้องกันตนเองจากความกังวลหรือความกลัวที่จะเกิดขึ้น ดังนั้น เราจึงขอหนุนใจทุกคนผ่านการเฝ้าเดี่ยวนี้ว่า อย่าให้ความกลัวมาหยุดเราไว้ 

    เราขอแนะนำให้ทุกคนอ่านข้อความจาก
    ก่อนอ่านบทความนี้

    ในยุคสมัยของข้อพระคัมภีร์ข้างต้น คือ ช่วงที่เกิดการกันดารอาหารในอิสราเอลเหนือ ถูกปกครองโดยกษัตริย์ที่มีชื่อว่า โยรัม พวกเขาถูกพวกซีเรียมาล้อมรอบเมือง จนเกิดการแห้งแล้งและกันดารอาหารอย่างหนัก ผู้คนอยู่อย่างไร้ความหวัง ถึงจะยกกองทัพไปสู้แต่ก็ได้รับความพ่ายแพ้กลับมาอยู่ดี

    วันหนึ่ง กษัตริย์โยรัมได้เดินออกมาแล้วเจอหญิงคนนึงมาร้องขอความเป็นธรรม คือ หญิงคนนั้นได้ตกลงกับเพื่อนอีกคนว่าจะต้มลูกของตนเพื่อนำไปเป็นอาหาร เมื่อวานหญิงคนนี้ได้สละลูกของตัวเองไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าเพื่อนอีกคนไม่ยอมต้มลูกของตัวเองในวันนี้ 

    เมื่อได้ยินดังนั้น กษัตริย์โยรัมก็รู้สึกเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะตนเองไม่สามารถทำอะไรได้เลย การกันดานอาหารในสมัยของเขา ร้ายแรงจนหญิงที่เป็นแม่ต้องต้มลูกของตัวเองกิน

    จากสถานการณ์นี้ ทำให้เราได้เห็นการตอบสนองของคนทั้งหมด 3 กลุ่ม เมื่อพบปัญหา คือ

    1. กษัตริย์โยรัม 

     กษัตริย์โยรัม คือ ผู้นำสูงสุดที่ควรแก้ไขปัญหา เขารับรู้ถึงความทุกข์ของประชาชนที่รอการแก้ไขปัญหาจนตนเองรู้สึกเสียใจ และสิ่งที่กษัตริย์โยรัมตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น คือ

    การจมอยู่กับความเศร้าโศกและความโกรธ
    เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่มนุษย์จะรู้สึกเศร้าหรือโกรธเมื่อเผชิญปัญหา เพราะเราเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีอารมณ์และความรู้สึก แต่การที่เราจมอยู่กับความเศร้าโศกของปัญหานั้น หรือการจมอยู่กับเรื่องราวเก่า ๆ นานเกินไป สุดท้ายแล้ว อารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้น จะเติบโตและกลายเป็นผู้มาควบคุมชีวิตของเรามากกว่าที่เราจะควบคุมมัน

    นั่งรอรับชะตากรรม 
    กษัตริย์โยรัมเป็นผู้นำที่ไม่ลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหา  เขาไม่หาทางออกให้กับประชาชน การตอบสนองของเขาต่อการกันดารอาหาร คือ การนั่งรอวันที่อาหารหมด และทำใจยอมรับว่า ถ้าวันนั้นมาถึงเมืองก็คงแตกเท่านั้น

    หาที่รองรับความโกรธของตัวเอง เมื่อกษัตริย์โยรัมหาทางแก้ไขปัญหาไม่ได้ เขาจึงมองหาคนมารองรับอารมณ์ของตนเอง และเมื่อหาใครมารองรับไม่ได้ ขาจึงต่อว่าพระเจ้าว่า ทำไมพระเจ้าถึงปล่อยให้เกิดปัญหา เขาหาคนที่เป็นตัวแทนของพระเจ้ามาเพื่อประหาร แน่นอนว่า คนนั้น คือ เอลีชา ผู้เผยพระวจนะในสมัยนั้น
    สุภาษิต 24: 10
     ถ้าเจ้าอ่อนล้าในวันยากลำบาก กำลังของเจ้าก็น้อยเราไม่ควรซ้ำเติมตัวเองในวันที่โศกเศร้า

    ดังนั้น เราควรลุกขึ้นจากปัญหา เพราะวันที่พบกับความลำบาก ร่างกายและจิตใจของเราก็เหนื่อยมากพอแล้ว การจมอยู่กับความเศร้าและความโกรธ ไม่ใช่ทางออกที่ดีอย่างแน่นอน เพราะเราเป็นทั้งทางออกและสาเหตุของปัญหา หากมองแบบนี้จะช่วยเปลี่ยนความคิดของเราเป็นอีกแบบ คือ ตัวเราก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ เมื่อปัญหาขึ้นอยู่กับเรา แล้้วเราหยุดนิ่ง ไม่ลงมือแก้ไขและหาทางออกให้กับที่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็เหมือนกับการที่เราเปิดประตูให้ซาตานเข้ามาในสมองและจิตใจของเรา ผ่านการนั่งแช่อยู่กับคำบ่น คำต่อว่า และคำถามที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และต่อตัวเราเอง

    2. ทหารคนสนิทของกษัตริย์

    เมื่อกษัตริย์โยรัมโกรธพระเจ้า เขาจึงสั่งให้ทหารมาจับเอลีชา เพื่อรองรับความโกรธของตัวเอง เมื่อทหารมาถึง เอลีชาก็ได้บอกกับทหารว่า

     แต่เอลีชาทูลว่า “ขอฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า 
    พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ แป้งอย่างดีถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล
    และข้าวบาร์เลย์สองถังหนึ่งเชเขลที่ประตูเมืองสะมาเรีย”
    2 พงศ์กษัตริย์ 7:1

    จากพระคำตอนนี้ ทำให้เห็นถึงราคาอาหารที่ถูกจนน่าประหลาดใจ ทั้งที่เมืองกำลังพบกับภาวะกันดารอาหาร ดังนั้น ทหารของโยรัมจึงไม่เชื่อ

    แล้วนายทหารคนสนิทของพระราชาตอบคนของพระเจ้าว่า 
    “ถ้าแม้พระยาห์เวห์ทรงสร้างหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือ?” 
    แต่เอลีชาบอกว่า “ดูสิ ท่านจะเห็นกับตาของท่านเอง แต่จะไม่ได้กิน”

    2 พงศ์กษัตริย์ 7:2 

    ทหารนายนี้ เป็นตัวอย่างของคนที่สิ้นหวัง และขาดความเชื่อ และสุดท้ายชีวิตของเขาก็เป็นไปตามที่เอลียาได้กล่าวไว้ว่า เขาจะได้เห็นแต่ไม่ได้กิน

    ฝ่ายกษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายทหารคนสนิทให้เป็นนายประตู
    และประชาชนก็เหยียบไปบนเขาตรงประตู
    เขาจึงสิ้นชีวิตตามซึ่งคนแห่งพระเจ้าได้กล่าวไว้ในวันเมื่อกษัตริย์เสด็จลงมาหาท่าน 

    2 พงศ์กษัตริย์ 7 : 17

    สิ่งที่เราได้จากทหารคนสนิทของโยรัม คือ คนสิ้นหวังจะหยุดตัวเองไม่ให้ก้าวไปข้างหน้า เขามักพูดให้คนอื่นหมดหวังไปด้วย

    คนสิ้นหวังชอบพูดถึงข้อจำกัดและความเป็นไปไม่ได้ คนมีความหวังจะถามหาทางออกอยู่เสมอ ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะเป็นอย่างไร ความหวังที่แท้จริงจะออกมาตอนที่เราสิ้นหวัง และเราจะเรียนรู้ได้จากสถานการณ์นั้น

    3. คนโรคเรื้อน

    มีคนโรคเรื้อนสี่คนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง พวกเขาพูดกันว่า “เราจะนั่งที่นี่จนตายทำไมเล่า? 
    ถ้าเราพูดว่า ‘ให้เราเข้าไปในเมือง’ การกันดารอาหารก็อยู่ในเมือง และเราก็จะตายที่นั่น
     และถ้าเรานั่งที่นี่เราก็ตายเหมือนกัน ฉะนั้นจงมาเถิด ให้เราเข้าไปในค่ายของคนซีเรีย 
    ถ้าเขาไว้ชีวิตของเรา เราก็จะรอดตาย ถ้าเขาฆ่าเรา ก็ได้แต่ตายเท่านั้นเอง”

    2 พงศ์กษัตริย์ 7 : 3-4

    คนโรคเรื้อน เป็นกลุ่มคนที่สังคมรังเกียจในสมัยนั้น แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่มีปัญหาในชีวิตของตนเองอยู่แล้ว แต่พระเจ้าก็สามารถใช้เขาได้ และเขาเต็มใจรับใช้พระเจ้า

    บทเรียนจากคนโรคเรื้อน คือ เราสามารถเป็นพระพรให้กับคนอื่นได้ แม้ตอนที่เรายังมีปัญหาในชีวิต เพราะจากสถานการณ์ของคนโรคเรื้อน เขาเหมือนคนที่ใกล้ตายจากความกันดาร ดังนั้น เขาจึงมองไปที่ค่ายของคนซีเรียและคิดว่า ถ้าเดินไปที่นั้นแล้วเขาฆ่าเราก็ตาย แต่ถ้าเขาไว้ชีวิตเราก็รอด ซึ่งดีกว่าการนั่งจมปลักอยู่ที่เดิม

    ปัจจุบัน เมื่อเจอปัญหานั้น หลายคนเลือกที่จะถอยหลังกลับไปอยู่ที่เดิม หรือกลับไปอยู่ใน safe zone และพื้นที่ที่มีคนยอมรับเราอยู่เสมอ แต่อย่าลืมว่า การที่เราอยู่แต่ในเซฟโซนนั้น อาจจะไม่ใช้เซฟโซนจริง ๆ ก็ได้ 

    หากออกไปใช้ชีวิตตามที่พระเจ้าสั่ง อาจต้องพบปัญหาที่ทำให้เจ็บ แต่พระเจ้าต้องการให้เรามองและคิดไปข้างหน้า มากกว่าการถอยหลังกลับมาอยู่ในจุดเดิม

    และการไม่ตัดสินใจ = การตัดสินใจยอมรับผลที่ไม่ตัดสินใจ 

    และการอยู่ที่เดิม ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีกว่าเดิม 

    บทสรุปจากคำเทศนาในตอนนี้ 

    คือ พระเจ้าจะใช้ปัญหาสร้างชีวิตของเราให้เติบโต จงกล้าเคลื่อนชีวิตของตนไปข้างหน้า เพราะพระเจ้าได้จัดเตรียมหนทางไว้ให้เราแล้ว เราสามารถฟังเสียงพระเจ้าได้จากการเร้าจิตใจ และให้คลายความกังวลกับผลที่จะได้รับ พระเจ้าได้จัดเตรียมเส้นทางไว้ เพื่อรอคนที่กล้าเดินออกไปในทางที่พระองค์เตรียมไว้ให้เสมอ

    เราสามารถใช้ชีวิตเพื่อทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้กับคนมากมายในอนาคต และทุกความเป็นไปไม่ได้ จะมีความเป็นไปได้อื่น ๆ อีกเสมอ

    เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย
    เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป
    โยชูวา 1:9 

    ถ้าวันนี้คุณกำลังพบกับปัญหาอะไรก็ตามในชีวิต และไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงกับมัน เราขอหนุนใจว่า ให้วางปัญหานั้นไว้กับพระเจ้า วางความกังวลและอธิษฐาน อย่าจมอยู่กับความเครียดหรือความเสียใจ

     เพราะพระเจ้าสถิตย์อยู่กับคุณทุกที่

    หากต้องการฟังคำเทศนาเพิ่มเติม สามารถกดฟังได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลย

    ขอพระเจ้าอวยพรทุกคน ขอบคุณค่ะ

    คำเทศนา

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in