เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Kettle MoodyPopeny Teerapan
ข้ามพ้นพื้นที่ปลอดภัย ณ ออสเตรเลีย
  • ผมนอนอยู่บนเตียงตัวใหญ่ ที่มีผ้าปูเตียงสีขาวกับหมอนสีเขียวสองใบ ที่โฮสหรือเจ้าของบ้านที่ผมมาอาศัยอยู่กับเขา นำมาใบเพื่อแลกกับอันเก่าที่ไม่ได้ซักมาเป็นเวลานาน

    วันนี้ผมตั้งใจอยากจะเขียนบทความต่อ จากที่ไม่ได้เขียนมานานเหลือเกิน ผมพลิกตัวไปมองที่หน้าต่างบานสีขาว ที่มีกระจกใสเมื่อเอามืออุ่นๆของเราไปทาบ จะพบว่ามันหนาวเหลือเกิน ความหนาวย่างก้าวเข้ามาในตัวผ่านไปที่หัวใจทันที

    ในขณะที่เมืองไทยเมืองที่มีหลายๆคนที่ผมรักอยู่นั้นพวกเขาคงจะกำลังเตรียมตัวนอนเสียแล้ว ณ เวลานี้ ผมมองออกไปที่หน้าต่างที่มีท้องฟ้าเปิดกว้าง ไม่มีเมฆมาบดบังความสวยงามของดวงดาวในยามราตรีนี้ที่ประเทศออสเตรเลีย

    หลังบ้านของผม เป็นท้องหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา มีต้นยูคาลิปตัส เป็นย่อมๆแต่ไม่ได้ถึงกับมากจนบดบังความอ้างว้างของภูเขาแห่งนี้ ฝูงจิงโจ้จะปรากฏตัวให้เห็นก็ต่อเมื่อ เป็นสัญญาณของสายฝนที่พัดผ่านจากหุบเขาที่ทอดตัวยาวข้ามเมืองนี้

    บ้านของผมที่อาศัยอยู่ที่ออสเตรเลียนั้น เจ้าของบ้านเป็นผู้หญิงร่างใหญ่ใจดี ที่เปิดรับทุกวัฒนธรรมจากหลากหลายเด็กนักเรียนที่เคยมาพักหรืออาศัยที่บ้านหลังนี้

    บ้านเราตั้งอยู่ที่ปลายเมือง ถัดไปอีกเสียนิดเดียวก็จะพบถนนหลวง(Main Street) ที่สามารถเป็นทางเชื่อมไปสู่เมืองข้างๆ และเมืองใหญ่อย่างซิดนี่ย์ ทำไมกันทั้งที่เป็นการเดินทางมาเมืองนอก ครั้งแรกของผม แต่ผมไม่เคยเลยที่จะอยากทะเยอทะยานไปเที่ยวเมืองใหญ่ๆอย่างซิดนีย์

    เมืองที่ผมอาศัยอยู่นั้นมีชื่อว่าอาร์มิเดล(Armidale) เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในหุบเขา บ้านของผู้คนน่ารัก และไม่วุ่นวายมากจนเกินไป มีมหาลัยเล็กตั้งอยู่ปลายหุบเขาตรงข้ามของบ้านที่ผมอาศัยอยู่

    ทุกอย่างในเมืองนี้ เพียบพร้อมที่จะให้คนในเมืองรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ขาดอะไร แปลกจังเพราะจะมีสักกี่เมืองบนโลกใบนี้ ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า เราไม่ได้ขาดอะไรไป เหมือนให้ความรู้สึกว่าเราเท่าเทียมกับคนอื่นๆ เมืองอื่นๆ


    อาร์มิเดล มีตั้งแต่ ตลาดเช้า ซุปเปอร์มาเก็ด ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง ไปจนถึง พิพิธภัณฑ์ Arts gallery มากไปกว่านั้นก็มีมหาลัย ที่ให้เด็กต่างชาติอย่างผมได้มาเล่าาเรียนกันที่ตรงนี้แหละ

    ผู้คนที่เมืองนี้ต่างจาก คนที่บ้านเราอย่างเห็นได้ชัด ทุกอย่างมีดีและเสียปะปนกันไป ตามแต่อคติของเรา จนบางครั้งยังต้องนึกคิดว่า จิตใจของตัวเองทำด้วยอะไร อะไรคือแรงที่นำตัวเองมาอยู่ตรงนี้ แปลกบ้าน แปลกเมือง คิดถึงหน้าคนที่รัก เพื่อน ครอบครัว ที่รู้สึกว่าห่างไกลกันเหลือเกิน กับเวลา 4ชั่วโมง ที่ประเทศนี้เร็วกว่า

    อากาศที่หนาวสุดหัวใจ ที่ตั้งแต่ผมเกิดมาจะอายุ 22 แล้วยังไม่เคยได้สัมผัส ท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆใสสะอาด สัตว์กับผู้คน รวมไปถึงนกมากมายที่ไม่เคยคุ้นตา ระบบการศึกษา การสั่งงานที่แตกต่างอยากชัดเจน จนย้อนกลับนึกได้ว่าผ่านช่วงเวลาแรกๆมาได้ยังไงวะ กูก็เก่งอยู่นะเนี่ยที่ทำได้!

    เพื่อไม่ให้อีโก้ตัวเองทำงานมากไปนักขอเขียนไปที่เรื่องอื่น ถ้ามองย้อนกลับไปแล้ว ก่อนที่ผมจะมายืนอยุ่ที่ตรงนี้ เมื่อห้าเดือนที่แล้ว จิตใจของผมกลัวทุกการย่างก้าวของชีวิตที่ทกำลังจะเกิดขึ้น กลัวทุกอย่างที่จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปจากสิ่งที่เป็นอยู่


    แต่พอผมได้ลอง ลองที่จะก้าวออกมาจากพื้นที่แห่งความปลอดภัย กล้าที่จะนั่งเครื่องบินมาเมืองนอกครั้งแรกของชีวิตคนเดียว กล้าที่จะเริ่มคุยกับผู้คนที่เราไม่ได้รู้จักภาษาของเขา และวัฒนธรรมของเขาเลย กล้าที่จะเปิดใจในหลายๆเรื่อง และกล้าที่จะลองผิดถูกให้เจอตัวเอง

    วันนี้มันทำให้ผมเห็นแล้วว่า ชีวิตคนเราไม่ได้มีอะไรน่ากลัวไปเสีย กว่าใจของเราเลย หัวใจของเรานี้แหละคาดคิดไปก่อนเราเสมอ คาดคิดไปก่อนเหตุการณ์ที่มันยังไม่เกิด

    เพราะท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ทุกคนเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า ท้องฟ้าไม่มีวันไหนเลยที่สีของมันจะเหมือนกัน

    นึกดูแล้ว ต้องนี้เป็นเวลาตีสอง ของออสเตรเลีย ผมต้องจึงขอตัวเพราะมีเรียน เก้าโมงเช้าและขอทิ้งท้ายแบบง่ายๆก่อนไปเลยว่า จงมั่นใจในตัวเอง แม้บางครั้งมันจะมีผิดพลาดบาง แต่อย่างน้อยเราได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับใจตัวเอง และเชื่อหัวใจของเราเอง

    #australia #literallylike

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in