เสียงไซเรน เสียงพูดคุย ดังระงมล้อมรอบตัวผม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นมันดูเลือนรางและเหนือจริง คล้ายว่าผมกำลังฝันอยู่ ทุกครั้งที่ผมพูดหรือขยับตัว มันดูราวกับเป็นไปตามโปรแกรมที่ตั้งไว้มากกว่าจะเป็นความตั้งใจของผม...เหมือนผมกำลังมองดูคนอื่นอยู่
ร่างของจันทร์เจ้าถูกเอาออกไปจากตรงนั้นแล้ว หลงเหลือไว้เพียงคราบเลือดสีคล้ำบนผนังที่ยังไม่ถูกกำจัดออก เธอหลับใหลอยู่ในห่อผ้าสีขาวสะอาด คนจากมูลนิธิปอเต๊กตึ๊งสามสี่คนช่วยกันยกออกไปจากห้องนั้น
ผมกลายเป็นทีวีที่เครื่องรับสัญญาณเสียไปแล้ว ตอนนี้สรรพเสียงทุกอย่างไหลผ่านหูผมไปโดยที่ผมฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไรกันอยู่ คล้ายว่าพวกเขาขยับปากพ่นเสียงหวึ่งๆที่น่ารำคาญออกมา
"ตะวัน กูขอโทษ"
ประโยคนั้นที่หลุดออกมาจากปากจันทร์เจ้าเป็นครั้งสุดท้ายยังก้องสะท้อนกลับไปมาในหัว คำถามมากมายผุดพรายขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ...ทำไมน้องสาวผมถึงฆ่าตัวตาย ทำไม...เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว มันยังเล่นหัวกับผมอยู่เลย เกิดอะไรขึ้นกับมันกันแน่
สายตาของเธอที่มองผม...ดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยคำขอโทษ...
ทำไม...ทำไมกัน...
"ตะวัน ตะวัน" และแล้วสัมผัสอบอุ่นจากมือของยิหวา ก็กระชากผมให้ตื่นวูบขึ้นมา ผมกำลังนั่งอยู่ตรงโซฟาตัวโปรดที่บ้าน--ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมขับรถกลับบ้านมาตอนไหน "ฉันอยู่ตรงนี้แล้วนะคะ ฉันอยู่ตรงนี้" เธอดึงผมเข้าไปกอดอย่างอ่อนโยน ตัวของเธออวลด้วยกลิ่นวานิลลาที่ผมคุ้นเคย
"ยิหวา...ผม...ไม่รู้จะบอกแม่ยังไง"
ความตึงเครียดเงื้อค้อนแล้วฟาดเข้าที่หัวผมอย่างจัง ผมปวดหนึบไปทั้งหัว ความปวดเต้นเร่าอยู่แถวขมับและต้นคอ ปวดจนต้องยกมือขึ้นนวด
ผมเดาได้เลยว่าแม่จะต้องเสียใจแค่ไหนเมื่อรู้ว่าลูกสาวที่หล่อนรักได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว ผมไม่อยากเห็นสีหน้านั้นเลย ให้ตายสิ
"อย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นเลยค่ะ ตอนนี้คุณควรจะพักสงบสติก่อน แล้วค่อยคิดกันว่าจะทำยังไงต่อ"
เธอยื่นโกโก้ร้อนๆมาให้ผม ไอร้อนสีขาวพวยพุ่งเหนือแก้ว...ชวนให้ผมนึกถึงควันจากปืนกระบอกนั้น...
"ผม...ไม่รู้ว่าทำไมจันทร์เจ้าถึงทำแบบนี้"
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้มันคิดฆ่าตัวตายกันแน่? ถึงจันทร์เจ้าจะเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์อ่อนไหวตามประสาศิลปิน แต่ผมเชื่อว่ามันไม่ได้เปราะบางถึงขนาดที่อยู่ดีๆก็หยิบปืนมาฆ่าตัวตายแน่ๆ...
ถ้างั้นอะไรล่ะ ที่ทำให้คนอย่างจันทร์เจ้าตัดสินใจทำอย่างนั้น?
เรื่องความรัก? --ช่วงนี้มันก็ไม่ได้คบกับใครเลยนี่ ไม่เคยมีเรื่องราวของผู้ชายคนไหนที่จันทร์เจ้าให้ความสำคัญ หรือว่ามันอาจจะมีแต่ผมไม่รู้ -- ใช่ ปกติแล้วยัยนี่ก็เป็นคนไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องอะไรอยู่แล้ว โธ่ แต่ถ้าเรื่องมันร้ายแรงถึงขนาดคิดอยากฆ่าตัวตายล่ะก็ มันก็ควรจะบอกผมบ้าง
เรื่องการงาน? -- เธอกำลังเป็นนักเขียนดาวรุ่งของวงการวรรณกรรมเลยนะ หนังสือขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ประเด็นนี้ไม่น่าใช่ แล้วจะมีเรื่องอะไรอีกเล่า ที่ทำให้คนคนหนึ่งตัดสินใจฆ่าตัวตายได้
บ้าเอ๊ย จันทร์เจ้า...ทำไมมึงถึงคิดทำอะไรบ้าๆแบบนี้วะ...
ผมลูบผิวเซรามิกลื่นเรียบของแก้ว หวนคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ตั้งแต่แรก...
"มาแดกเหล้าห้องกูมั้ยมึง กูอยากคุยกับมึง"
นั่นคือคำชวนของมันที่ส่งถึงผมเมื่อตอนเย็น กระแสเสียงที่ส่งผ่านโทรศัพท์ยังดูปกติ--สั้นห้วนและเจือด้วยความกวนตีน--ผมตอบรับคำชวนไปโดยที่แทบไม่ต้องหยุดคิด การดื่มเหล้ากับจันทร์เจ้าเป็นเรื่องรื่นรมย์เสมอ--ใช่...ตอนนั้นผมมองข้ามความผิดปกติของคำว่า 'อยากคุยกับมึง' ไปซะสนิท
ผมไม่คิดว่านั่นจะเป็นคำขอร้องสุดท้ายของมัน...
ห้องของจันทร์เจ้ายังดูไร้ระเบียบเหมือนทุกที ข้าวของแปลกๆวางกองระเกะระกะเต็มห้อง ทั้งรูปวาด ทั้งงานศิลปะ ตู้ไม้สองสามอันในห้องอัดแน่นไปด้วยหนังสือและซีดีเพลง กล้วยไม้สีสดกับกระบองเพชรวางประดับริมหน้าต่าง--เจ้าน้ำตาล แมวไทยสีสวาดตัวสวยนอนขี้เกียจอยู่บนกองหนังสือที่พื้น
"กูอยู่ได้ไม่เกินเที่ยงคืนนะมึง"
ผมรีบบอกมัน มือก็กดพิมพ์ข้อความบอกยิหวาไปด้วย จันทร์เจ้าเดินไปที่ครัว หยิบขวดเหล้ามาจากตู้เย็นพร้อมกับแก้วใสสองใบ
"เออ รู้แล้วน่า เดี๋ยวนี้มีเมียแล้วนี่ กลับช้าไม่ได้ใช่มะ"
"ก็ใช่ดิ จริงๆยิหวาเค้าก็ไม่เรื่องมากหรอก แต่กูเกรงใจเค้า"
"คนกลัวเมียนี่หว่า"
"เค้าไม่เรียกว่ากลัวเว่ย เค้าเรียกเกรงใจ" ผมรับแก้วบรรจุของเหลวสีอำพันแก้วนั้นมา "ว่าแต่มึงเถอะ เมื่อไรจะหาผัวซะที อายุอานามก็จะแตะสามสิบเอาละนา"
"ม่ายล่ะ เรื่องผัวเผอนี่กูไม่สนใจหรอก"
จันทร์เจ้ากระดกเหล้าเข้าปาก ไม่สบสายตา ผมเห็นแบบนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะกระเซ้าไป
"หรือมึงอยากได้เมียแทน"
"ก็ดีนะ ยิ่งได้เมียแบบยิหวานี่กูจะยิ่งดีใจมาก"
นั่น...มันรับมุกด้วย หน้าตาตอนยิ้มนี่กวนตีนไม่เปลี่ยนเลยนะมึง
"เฮ่ย อันนั้นไม่ได้ว่ะน้อง คนนั้นกูหวง ฮ่าๆ"
หลังจากนั้นเราก็คุยอะไรกันเรื่อยเปื่อย ส่วนมากก็เป็นพวกเรื่องความหลัง...เมื่อสมัยเรายังเป็นเด็ก เรื่องเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นที่เราเคยอยู่ด้วยกัน หาดทรายสีขาวสะอาดแห่งนั้นที่เคยไปด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูก ความทรงจำแสนอบอุ่นเหล่านั้นถูกนำมาเล่นวนซ้ำผ่านคำพูดของเรา...คล้ายว่าเราได้ย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กๆอีกครั้ง
"มึง เหล้าหมดว่ะ ไปหยิบมาเติมให้หน่อยดิ"
จันทร์เจ้าเขย่าขวดเหล้าเปล่าในมือ ผมเลยลุกไปที่ครัวเพื่อหยิบเหล้าในตู้เย็นมาเติม...และจากนั้น...
โครม!!!
แก้วเซรามิกในมือของผมร่วงหล่นลงที่พื้น แหลกสลายแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ โกโก้สีน้ำตาลเข้มไหลเลอะพรมสีขาว...มือของผมกำลังสั่น...
"ไม่ต้องเก็บหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันเก็บเอง คุณไปอาบน้ำอาบท่าให้ใจเย็นสักหน่อยดีกว่า"
นัยน์ตาหวานซึ้งของเธอที่มองมาเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงหาอาทรในตัวผม เธอทาบมือที่ใบหน้าผมถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านฝ่ามือนิ่มนวลมาให้
"ขอโทษทียิหวา...ผม..."
ผมรู้สึกเหมือนแผงการควบคุมในตัวมันเสียไป...ผมไม่เป็นตัวเอง ความคิดทุกอย่างในหัวส่งเสียงร้องผสานกันจนแยกไม่ออก
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ"
เธอยิ้ม...ยิ้มอ่อนโยนอบอุ่น...สาดส่องทอดทอลงมาในหัวใจที่หม่นครึ้มของผม...ผมรักเธอ...รักเธอเหลือเกิน...
"จันทร์เจ้า ฉันกลัว"
ท่ามกลางความมืดของกลางคืน ไอชื้นของฝนลอยตระหลบ เสียงก่นด่าทุบตีจากชั้นล่าง ดังยิ่งกว่าเสียงฝนเสียอีก ผมกระเถิบตัวเข้าหาจันทร์เจ้าที่นอนอยู่เตียงเดียวกัน ต้องการความอุ่นจากตัวมัน
"ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันอยู่กับนายแล้วไง"
จันทร์เจ้าหันมากอดผม...น้องสาวฝาแฝดของผมโตกว่าวัยเสมอ ในวัยแปดขวบเท่ากัน จันทร์เจ้ากลับดูเหมือนเด็กสิบขวบ มันดูโตกว่าผมเสมอทั้งๆที่ผมเป็นคนออกมาดูโลกก่อนมันแท้ๆ
"ทำไมพ่อกับแม่ต้องทะเลาะกันด้วยล่ะ"
ผมพึมพำ เบียดตัวเข้าในอ้อมกอด เสียงฟ้าร้องโครมครามนอกหน้าต่างทำให้ผมสะดุ้งตกใจ
"เพราะมีใครคนหนึ่งหักหลังอีกคนหนึ่งไงตะวัน"
ที่ข้างล่างนั่น...ผมได้ยินเหมือนเสียงอะไรสักอย่างกำลังพัง แตกสลาย กระจัดกระจาย...อาจจะเป็นถ้วยรางวัลของผม หรืออาจจะเป็นคีย์บอร์ดของจันทร์เจ้าก็ได้
"จันทร์เจ้าจะไม่หักหลังฉันใช่มั้ย"
"ไม่หรอก ฉันจะไม่ทำแบบนั้น"
ดวงตาสีสนิมตรงหน้ากำลังบอกผมว่ามันจะไม่ทำอย่างนั้นจริงๆ และผมเชื่อมัน...เราเป็นฝาแฝดกัน เป็นวิญญาณดวงเดียวกัน ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่เชื่อมัน
"สัญญานะ"
"อื้อ สัญญาด้วยชีวิตเลย"
เธอพรายยิ้ม--น้อยครั้งนักที่จันทร์เจ้าจะยิ้ม เราเกี่ยวก้อยกัน...ผูกพันธะสัญญานั้นไว้ในใจไปตลอด...
เปรี้ยง!!!!
"เฮือก!"
ผมตื่นมาบนเตียงกว้างในห้องนอน ต้องกระพริบตาสองสามครั้งถึงตระหนักได้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านหลังนั้นที่ผมเคยอยู่กับจันทร์เจ้า ความปวดเข้าเล่นงานผมอีกครั้งที่ขมับ เหงื่อไหลโทรมตัวจนเสื้อเปียกโชก ยิหวายังนอนอยู่ข้างๆ เส้นผมดำขลับระอยู่กับไหล่ขาวเนียน ผมทาบตัวโอบกอดเธอจากด้านหลัง ซูกใบหน้าเข้ากับซอกคอของเธอ...ผมอยากให้ไออุ่นของเธอช่วยบรรเทาความรู้สึกเศร้าที่กำลังกัดกินผมอยู่
"อืม..."
เธอครางแผ่วเบาเมื่อถูกปลุกให้ตื่น ร่างบางหันมาโอบกอดผม ลูบหัวอย่างปลอบประโลม...คืนนั้นผมผล็อยหลับไปอีกครั้งพร้อมกับเสียงของความคิดที่ยังอึงอลในหัว...
...TO BE CONTINUOUS...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in