"ไม่ได้เจอกันนานนะ อาเซี่ยน"
หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงและสีชมพูกลีบบัวเอ่ยขึ้นเรียบๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนหวานที่เขาคุ้นเคยมานานแสนนาน
"ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้" เขาก้าวเดินมาหาอีกฝ่าย แต่ด้วยเจ้าของจื่อเตี้ยนยืนคุมเชิงอยู่ เขาจึงไม่อาจเข้าใกล้อย่างสนิทสนมได้เหมือนเมื่อก่อน
"เจ้าไม่ติดต่อมาหาพวกข้าเสียเป็นปี ข้ากับอาเฉิงเลยมาเยี่ยม" เจียงเยี่ยนหลีว่า "อีกอย่าง ข้ามีเรื่องสำคัญจะต้องมาบอกให้เจ้ารู้ด้วยตนเอง "
เว่ยอู๋เซี่ยนหันไปทางเจียงเฉิงที่เบือนหน้าหลบทำหน้าไม่สบอารมณ์ก็ให้นึกลำบากใจ "ล่วนจั้งกั๋งเป็นที่ที่ท่านไม่สมควรมา เจียงเฉิง เจ้าก็ไม่ห้าม..."
"ข้าห้ามแล้ว แต่พี่ใหญ่ต้องการจะมา แต่ให้นางมาคนเดียวก็กระไรอยู่ ข้าเลยต้องตามมา!" ชายหนุ่มในชุดประมุขแห่งท่าสัตตบงกชกอดอก กล่าวเสียงดังจนออกไปทางตวาด เจียงเยี่ยนหลีเพียงหันไปมองแล้วยกยิ้ม จนเจียงเฉิงหุบปากฉับ กลายเป็นหนุ่มน้อยอายุ 17-18 หาใช่ประมุขแห่งท่าเรือสัตตบงกชไม่
"อาเฉิง ถ้าเจ้าไม่สะดวกใจจะลงไปรอที่ด้านล่างก็ได้นะ ถ้าข้าคุยกับอาเซี่ยนเสร็จเมื่อใดจะให้เขาลงมาส่งข้าเอง ดีไหม?"
"...พี่ใหญ่"
"ถ้าอยากอยู่ที่นี่ เก็บจื่อเตี้ยนซะ เจ้าทำอาเซี่ยนตกใจหมดแล้ว" นางเอ่ยต่อ เมื่อเห็นน้องชายเปลี่ยนจื่อเตี้ยนให้กลายเป็นแหวนสีม่วงเรียบร้อยแล้วจึงสืบเท้าเข้าหาเว่ยอู๋เซี่ยน มืออ่อนนุ่มยกขึ้นลูบศีรษะของอาเยวี่ยนที่จ้องนางตาแป๋ว แย้มยิ้มอ่อนโยน "เด็กคนนี้คือ..."
เว่ยอู๋เซี่ยนจ้องตาผู้ที่เขารักดั่งพี่สาวด้วยสายตาล้ำลึก มีคำพูดอยู่ภายในใจมากมายที่อยากบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ เขาพยักหน้าแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย ทว่ามือนุ่มนั้นกลับเลื่อนขึ้นมาลูบแก้มของเขาบางเบา
"...ที่ผ่านมาเจ้าคงลำบากมากสินะ"
"..." อ้อมกอดที่กอดอาเยวี่ยนนั้นแนบแน่นกว่าเดิม หัวไหล่กว้างไหวสะท้านเพียงเล็กน้อยอย่างพยายามกลืนน้ำตาลงคอ แล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้ม "ข้าไม่เป็นไร ศิษย์พี่"
..........
ผู้ที่ล่วงรู้ความลับของเว่ยอู๋เซี่ยนมีอยู่สองคน
คนหนึ่งคือเวินเฉา คนที่เปลื้องอาภรณ์และมอบความอัปยศอดสูให้กับเขา...
คนที่สองคือ เจียงเยี่ยนหลี ที่ดูแลเว่ยอู๋เซี่ยนมาตั้งแต่เล็ก
เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากที่เว่ยอู๋เซี่ยนมาอยู่ในความดูแลของเจียงเฟิงเหมียนผู้เป็นประมุขสกุลเจียงคนก่อนได้ประมาณ 1 ปี
ตอนนั้นเจียงเฉิงเริ่มเลิกตั้งตนเป็นศัตรูกับเว่ยอู๋เซี่ยนที่เป็นต้นเหตุทำให้ต้องพรากจาก โม่ลี่ เฟยเฟย ลูกสุนัขแสนรักที่ถูกเจียงเฟิงเหมียนผู้เป็นบิดายกให้ผู้อื่นเพราะเด็กน้อยที่ถูกพามากลัวหมายิ่งกว่าสิ่งใดแล้ว จากนั้นเจียงเฉิงก็เริ่มพาเว่ยอิงไปเล่นว่าว ไปเล่นเก็บบัวและฝักบัว ถอดเสื้อถลกขากางเกงดำผุดดำว่ายอยู่ริมเหลียนฮวาอู้เป็นที่สนุกสนาน เรื่องราวในวัยเยาว์ดำเนินต่อไปอย่างมีความสุขเสมอมา
ทว่าวันหนึ่ง เจียงเยี่ยนหลีกลับเห็นว่าเว่ยอิงเดินร้องไห้โฮมาหา ทีแรกนางนึกว่าอาเซี่ยนถูกเด็กที่อยู่แถวท่าหรือเจียงเฉิงรังแกมา พอหันไปถามเจียงเฉิง เขาก็บอกแค่ว่าเว่ยอู๋เซี่ยนถูกเด็กคนอื่นล้อเพราะไปเห็นเด็กน้อยมีบางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนกับพวกเขา
เจียงเยี่ยนหลีต้องปลอบเว่ยอิงอยู่นานจึงยอมเล่าให้ฟังว่าร่างกายของเขาไม่เหมือนคนทั่วไป ที่สามารถเลือกเป็นได้ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง...
เด็กหญิงเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่นางคนเดียวจะแบกรับเอาไว้ได้ จึงตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับบิดามารดา เจียงเฟิงเหมียนและอวี๋ฟูเหรินย่อมไม่ปล่อยผ่าน เชิญหมอมาตรวจร่างกายของเว่ยอู๋เซี่ยน ทำให้พบกับความจริงที่น่าตกตะลึง
ตั้งแต่นั้นมา ท่าทีของเจียงเฟิงเหมียนและอวี๋ฟูเหรินก็เปลี่ยนไป เจียงเฟิงเหมียนนั้นที่เดิมเป็นห่วงเป็นใยและตามใจเว่ยอู๋เซี่ยนมากอยู่แล้ว คราวนี้จึงพ่วงเพิ่มด้วยความสงสารเวทนาที่หลานชายต้องมาประสบกับร่างกายที่เป็นเช่นนี้
ส่วนอวี๋ฟูเหรินนั้นแต่เดิมก็ดูไม่อยากจะข้องเกี่ยวอันใดกับเว่ยอิงนักกลับเข้มงวดกับเว่ยอิงมากขึ้นทั้งเรื่องการฝึกฝีมือและความประพฤติ ด้วยเกรงว่าการมีร่างกายเช่นนั้นถ้าไม่มีฝีมือมากพออาจถูกรังแกหยามเกียรติเอาได้ พอเจียงเยี่ยนหลีถามมารดา ก็ได้รับคำตอบว่า "เพราะไม่อยากให้เจ้าเด็กเว่ยอิงทำเรื่องให้สกุลเจียงขายหน้า"
เจียงเยี่ยนหลีได้แต่ส่งยิ้ม
อาเหนียงของนางปากแข็งและปากไม่ตรงกับใจเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิม...
........
และในอีก 9 ปีต่อมาเจียงเยี่ยนหลีก็เป็นคนแรกที่รู้กระทั่งว่าเว่ยอู๋เซี่ยนตั้งครรภ์ตั้งแต่อยู่ที่เหลียนฮวาอู้...
หลังจากที่กำจัดเวินเฉาและเวินจู๋หลิวที่ป้อมฉางหยาง ด้วยพลังของเว่ยอิงและความสามารถของสกุลเจียงและสกุลหลานทำให้ได้รับชัยชนะสวยสดงดงามมาตลอด สองเดือนหลังจากนั้น เว่ยอู๋เซี่ยนกลับหมดสติในระหว่างวางแผนการรบกับเจียงเฉิง โดยมีเจียงเยี่ยนหลีคอยดูแลอย่างใกล้ชิด นางจึงเป็นผู้รู้จากปากแพทย์ทหารก่อนใครว่าศิษย์น้องของนางกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว
การบอกเจียงเฉิงตอนนี้นางไม่เห็นว่ามีผลดีอันใด เจียงเยี่ยนหลีจึงขอให้ท่านหมอปิดเป็นความลับ ให้เพียงบอกเจียงเฉิงว่าเว่ยอู๋เซี่ยนหักโหมการศึกจนพักผ่อนไม่พอทำให้หมดสติ ส่วนเทียบยาบำรุงครรภ์ที่จะจ่ายให้ นางขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
เว่ยอิงนอนตะแคงข้างหันหน้ามาทางเจียงเยี่ยนหลีเรือนผมดำขลับยาวสยายเคลียแผ่นหลังและใบหน้าซีดเซียว อาภรณ์สีดำขลิบแดงรุ่มร่ามกรุยกรายนั้นปิดบังหน้าท้องได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นท้องแรก หน้าท้องไม่นูนเด่นสะดุดตา ทำให้ตบตานางและเจียงเฉิงมาได้นานถึงขนาดนี้
มือนุ่มค่อยๆวางลงบนหน้าท้องนั้นอย่างอ่อนโยน มีการเคลื่อนไหวคล้ายปลาตอดเบาๆตอบกลับมา ทำให้ความรู้สึกที่เคยลูบท้องมารดาที่ตอนนั้นตั้งท้องเจียงเฉิงหวนกลับมาโดยไม่รู้ตัว
เด็กน้อยคนนี้อายุครรภ์ห้าเดือนแล้ว มีร่างกาย มีแขนขาครบถ้วน มีหุนพ่อ(ขวัญ) มีวิญญาณ และมีชีวิตอยู่ในครรภ์มารดาอย่างไร้เดียงสายิ่งนัก
อาเซี่ยน...ใครคือบิดาของบุตรในครรภ์ของเจ้า...
"อือ..." เว่ยอิงปรือตามอง เขาเบิกตาน้อยๆเมื่อเห็นว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างเตียงคือใคร "ศิษย์พี่?"
"อาเซี่ยน เจ้าตื่นแล้ว" เจียงเยี่ยนหลีเพียงยิ้มเอ่ย "ท่านหมอต้มยามาให้พอดี ดื่มซะตอนที่ยังร้อนๆ" นางยื่นถ้วยยาร้อนกรุ่นมาตรงหน้า "อ้อ แล้วไม่ต้องห่วงว่าจะขม ข้าเตรียมพุทราเชื่อมไว้ให้กินล้างปากแล้ว"
"ยา? ศิษย์พี่ ข้ามิได้..."
"...เจ้าตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว เด็กอ่อนแอไม่น้อย นี่เป็นยาบำรุงครรภ์ เจ้าควรดื่มเสียหน่อย ทั้งเจ้ากับลูกจะได้แข็งแรง"
สิ้นคำพูดของอีกฝ่าย หัวใจของเว่ยอู๋เซี่ยนเหมือนถูกมือมารมาบีบขยุ้มแรงๆ ทั้งรู้สึกเจ็บหน่วง ทั้งรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก "ข้า..."
"ถ้าเจ้าลำบากใจก็ไม่ต้องเล่า" นางว่า "เอ้า ดื่มยาเสีย หรือจะให้ข้าป้อนดี?"
เว่ยอิงส่ายหน้าด้วยไม่อยากรบกวน จึงเลื่อนมือสั่นเทาไปจับที่ช้อน แต่ก็ทำได้ลำบาก เจียงเยี่ยนหลีจึงเป็นคนป้อนยาให้ด้วยตนเองทีละคำๆ พอยาหมดถ้วย นางจึงป้อนพุทราเชื่อมหวานกรอบให้เขาอีก...ความอ่อนโยน นุ่มนวลของผู้อยู่ตรงหน้าทำเอาเขารู้สึกตื้นตัน น้ำตาสายหนึ่งพาดผ่านแก้มของเขาไปโดยไม่รู้ตัว
"อาเซี่ยน"
"ศิษย์พี่ ข้าไม่ได้ต้องการเป็นเช่นนี้ แต่ว่า...พวกมัน...พวกมัน..."
ความทรงจำเลวร้ายไหลบ่ากลับมาท่วมท้น ศีรษะของเว่ยอู๋เซี่ยนปวดแปลบข้างหนึ่งจนต้องเอามือกุมศีรษะไว้ข้างหนึ่ง ความเครียดที่สั่งสมมาจนถึงบัดนี้กำลังรุมจิกทึ้งเขาราวปิศาจร้าย ร่างทั้งร่างสั่นเทาคล้ายเด็กน้อยที่เพิ่งตื่นจากฝันที่น่ากลัวและสยดสยอง ทำให้เจียงเยี่ยนหลีคาดเดาได้ไม่ยากว่าเกิดเหตุร้ายกับเขาแน่นอน
เว่ยอู๋เซี่ยนที่ปราบอู่ลู่เสวียนอู่พร้อมหลานวั่งจีแล้วอย่างไร อี๋หลิงเหลาจู่ที่ควบคุมซยงซือด้วยขลุ่ยเฉินฉิงกวาดล้างสกุลเวินจนโลหิตนองถั่งท้นพสุธาแล้วอย่างไร ในเมื่อเนื้อแท้ของเขาคือเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้สวมกวานที่ถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัสไม่ต่างกับน้องชายในสายเลือดของนางเลย
"อาเซี่ยน มันผ่านไปแล้ว" น้ำเสียงนุ่มละมุนดังขึ้น พร้อมชายแขนเสื้อที่ยกขึ้นซับเหงื่อชื้นเย็น "ไม่เป็นไรแล้ว"
"ศิษย์พี่"
"ซือเจี่ยอยู่นี่" ริมฝีปากสีอิงเถายังยกยิ้ม แม้ดวงตาจะวาวแวมด้วยหยาดน้ำตาแห่งความสะเทือนใจ
เว่ยอิงไม่ได้ร่ำไห้ มีเพียงดวงตาแดงก่ำที่บ่งบอกถึงการตัดสินใจแน่วแน่ "ข้า...จะกลับอี๋หลิง"
"เดี๋ยวสิ ทำไมถึง..."
"ตอนนี้เราได้เหลียนฮวาอู้คืนแล้ว แต่ว่าลำพังกำลังพลของอวิ๋นเมิ่งเจียงยังไม่เพียงพอ อีกอย่างกำลังกายของข้าเริ่มมีจำกัด อาจมีสักวันที่ข้าใช้ขลุ่ยเฉินฉิงไม่ได้ตลอดอย่างที่ใจต้องการ ข้าเลยคิดว่าจะอุปกรณ์ที่ใช้บงการซยงซืออีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งข้าจำเป็นต้องใช้เวลาในการสร้าง" เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ย ก่อนวางมือลงบนท้องตน "อีกอย่าง ร่างกายข้าเป็นเช่นนี้ มีแต่จะเป็นตัวถ่วงเจียงเฉิงโดยใช่เหตุ สู้เอาเวลาไปสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับอวิ๋นเมิ่งเจียงดีกว่า"
"แต่ว่า ร่างกายเจ้า...ล่วนจั้งกั๋งมีธาตุหยินแรงนัก เจ้ากับลูกทนไม่ได้หรอก"
"เด็กคนนี้เป็นลูกข้า เขาเข้มแข็งกว่าที่ท่านคิดนะ" เขายิ้มบาง "ท่านคิดดู เขาอยู่ในล่วนจั้งกั๋งพร้อมข้ามาหลายเดือน ออกทำศึกร่วมกับข้ามานับไม่ถ้วน เขา...ไม่มีทางเป็นอะไรไปหรอก"
"อาเซี่ยน"
"ศิษย์พี่ต่างหาก ต้องดูแลตนเอง ดูแลเจียงเฉิงในส่วนของข้าด้วย " เขาแย้มยิ้ม แต่ไร้ซึ่งความทะเล้น ไร้ซึ่งชีวิตชีวาจนนางใจหาย
ไม่ว่าเจียงเยี่ยนหลีจะพยายามทัดทานอย่างไร เว่ยอู๋เซี่ยนก็ตัดสินใจเดินทางกลับอี๋หลิงไปโดยไม่ได้บอกเจียงเฉิงแม้เพียงครึ่งคำ...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in