‘Folklore’ เป็นอัลบั้มที่ผู้คนล้วนขนานนามว่า ‘หมุดหมายแห่งการเติบโต’ในชีวิตและวงการเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์
แม้จะเป็นเซอร์ไพรส์อัลบั้มที่ทำขึ้นระหว่างช่วงกักตัวในสถานการณ์โควิด-19 แต่บทเพลงในอัลบั้มนี้กลับถ่ายทอดห้วงคำนึงถึงชีวิตในวัยที่ผ่านมาของเทย์เลอร์ได้อย่างสวยงาม ทั้งแง่งามของความรัก ความเจ็บปวดและความสดใสบริสุทธิ์ในวัยเยาว์
แต่ภายใต้ทำนองเปียโนแสนหวาน เสียงกีตาร์ที่ฟังดูเรียบง่าย หากตีความให้ลึกซึ้งลงไปในเรื่องราวและเนื้อเพลง
เราอาจพบว่าเพลงรสหวาน อาจมีความหมายรสขมซ่อนอยู่
กรกฎาคม ปี 2020
กลางดึกคืนหนึ่ง ระหว่างเลื่อนดูโซเชียลมีเดียเหมือนที่เคยเป็น โพสต์ของเทย์เลอร์ก็ปรากฎขึ้นบนฟีดหน้าเฟสบุ๊ก เทย์เลอร์ สวิฟต์ประกาศว่าจะปล่อยเซอรไพรส์อัลบั้มในเวลาเร็วๆ นี้ ตอนนั้นก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะเทย์เลอร์เพิ่งจะออกอัลบั้มไปเมื่อปีที่แล้ว เห็นจากปฎิกริยาของแฟน ๆ ที่ดีใจกันยกใหญ่ถึงพอมั่นใจได้ว่านี่เป็นเรื่องจริง
เมื่อตอนที่ได้ฟังเพลง ‘Cardigan’ เพลงโปรโมตที่ปล่อยออกมา ก็ขอสารภาพว่า ด้วยความรู้ภาษาอังกฤษอันน้อยนิดที่มี ทำให้เราไม่ได้ใส่ใจกับความหมายของเพลงมากนัก สัมผัสได้แค่ว่าเสียงร้องกับทำนองเปียโนทำให้เพลงนี้เรียบง่ายกว่าอัลบั้มที่ผ่านมา จนกระทั่งสัปดาห์ถัดมาเราถึงได้พบความจริง ว่าความหมายของเพลง Cardigan รวมถึงเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้มไม่เคยโรแมนติกชวนฝันอย่างที่เคยคิดไว้
เนื้อเพลงในอัลบั้มนี้ดำดิ่งลงไปมากกว่าความรักหวาน ๆ หรือเพลงรสเผ็ดๆ แสบๆ ที่มองว่าเทย์เลอร์แต่งมาเพื่อเสียดสีใคร แต่ในอัลบั้มนี้ เราพบประเด็นร่วมสำคัญ ที่เทย์เลอร์พูดถึงความสัมพันธ์แบบ ‘Toxic Relationship’ (ฮัมเพลง Toxic ของ Britney Spears) หรือความรักที่เป็นพิษจนทำร้ายจิตใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (หรือทั้งคู่) อย่างรุนแรง และในหลายเพลง เราพบ ‘ตัวละครร่วม’ ที่เทย์เลอร์พูดถึงคนรักที่ไม่มีความมั่นคง รัก ๆ เลิก ๆ ที่ดูเหมือนจะมี ‘คนอื่น’ เข้ามาเกี่ยวข้องในความสัมพันธ์ จนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคล้ายว่าเป็นเพียง ‘ตัวเลือก’ หนึ่งของอีกฝ่าย
นอกจากประเด็นการเมืองและเฟมินิสต์ที่เทย์เลอร์แทรกเข้ามาในบทเพลง เพลงหลักส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้ กลับถ่ายทอดความรู้สึกที่เจ็บปวด รวดร้าวและแตกสลายได้ตรงใจผู้ฟังจนไม่มีชิ้นดี จนเราเข้าใจว่าวังวนแห่งความสัมพันธ์เหล่านี้สามารถทำให้ใครบางคนจมดิ่งในห้วงความคิดและคำตอบที่ไม่มีวันสิ้นสุดได้จริงๆ เทย์เลอร์ให้คำอธิบายว่าอัลบั้มนี้เป็นช่วงเวลาที่เธอได้กลับไปทบทวนความหลัง และดำดิ่งลงไปสู่ห้วงจินตนาการ จนกลายเป็นความในใจที่เธอทบทวนและหมักบ่มเอาไว้จนได้ที่เหมือนไวน์ที่ถึงอายุของมัน จนลบภาพ ‘แค่ศิลปินคนหนึ่งที่ชอบเขียนเพลงถึงแฟนเก่า’ ออกไป และถ่ายทอดมุมมองของความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมองโลกด้วยความเป็นจริงมากกว่าอัลบั้มที่ผ่านมา ในครั้งนี้เธอไม่ได้กลับมาพร้อมน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว แต่เธอเลือกใช้น้ำเสียงสงบนิ่ง ธรรมดาสามัญ ร่าเริงไร้เดียงสา และสวยงามราวกับอยู่ในโลกแห่งความฝัน
‘คนที่ใช่’ ในจินตนาการ
‘If my wishes came true It would've been you’
‘ถ้าคำขอพรของฉันเป็นจริง มันคงจะเป็นเธอนี่แหละ’
ในเพลงเปิดอัลบั้ม ‘the 1’ เป็นเพลงเปิดอัลบั้มที่ล้อกับความเชื่อเรื่อง ‘คนที่ใช่’ ท่ามกลางผู้คนมากมาย เราอาจพบ ‘คนที่ใช่’ ในโลกนี้เพียงหนึ่งคน แต่เมื่อใจเรารู้สึกแล้วว่า เขา ‘ใช่’ อีกฝ่ายอาจไม่รู้สึกเช่นเดียวกัน
‘But we were something, don't you think so?’
‘แต่เราเคยเป็นอะไรบางอย่างกัน เธอไม่คิดแบบนั้นหรอ?’
ในความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก เส้นบางๆ ที่กั้นขอบเขตไว้อาจไม่สามารถควบคุมของเราได้ แต่สาเหตุที่ตัวเรายังอยู่ในความสัมพันธ์ที่เลือนลางนั้นก็คงพราะชีวิตอาจไม่น่าสนุกถ้าเขาไม่ใช่ ‘คนที่ใช่’ คนเดียวที่อยู่เคียงข้างกัน แต่สุดท้ายเส้นกั้นขนาดบางกลับทำให้อีกฝ่ายสามารถละเมิดเข้ามาในจิตใจ และออกไปค้นหาสิ่งใหม่ได้โดยไม่ผิดด้วยเช่นกัน
เมื่อความสัมพันธ์ดูเหมือนจะจบลงเมื่ออีกฝ่ายจากไป คงเหลือไว้แต่ความเสียใจ เพราะความสัมพันธ์นั้นไม่เคยไปถึงฝั่งฝัน และกลับกลายเป็นความเสียดายเมื่อคิดถึงโลกแห่งคำว่า ‘ถ้าสมมติ’
ถ้าบางอย่างในอดีตเปลี่ยนไป? ถ้าตอนนั้นฉันพยายามมากขึ้น? ‘เรา’ และความสัมพันธ์ในวันนี้จะมีทางเป็นไปได้บ้างไหม
‘You know the greatest films of all time were never made’
‘เธอรู้ไหมว่าภาพยนตร์ที่ดีที่สุดไม่เคยถูกสร้างขึ้นมาเลย’
แต่สุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดและตรงตามอุดมคติที่เราต้องการในก้นบึ้งของจิตใจมากที่สุดกลับไม่มีทางเป็นไปได้จริง
เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยตั้งแต่แรก
สุดท้ายเส้นบางๆและความสัมพันธ์ที่สวยงามของ ‘เรา’ กลับได้มีชีวิตอยู่ได้แค่ในจินตนาการ
‘เธอ’ ผู้เดินทางกลับมาเมื่อการผจญภัยสิ้นสุดลง
‘A friend to all is a friend to none’
‘คนที่เป็นเพื่อนกับทุกคนมักไม่เป็นเพื่อนใครเลย’
‘Chase two girls, lose the one’
‘เมื่อไล่ตามผู้หญิงสองคน เธอจะเสีย ‘คนที่ใช่’ ไป’
‘Cardigan’ เป็นเพลงที่เล่าห้วงเวลาที่คำนึงถึงความหลังและแผลที่เพิ่งเกิดขึ้น ในเพลงมีการพูดถึงอีกฝ่าบหนึ่งที่มีความร่าเริงและสามารถเข้าหาทุกคนได้ แต่ทว่าสุดท้าย เขาจะไม่พบเจอกับมิตรภาพที่แท้จริงเลย เมื่อเลือกที่จะจับปลาสองมือและวิ่งตามคนทั้งสองคนไป สุดท้าย เขาก็จะสูญเสีย ‘คนที่ใช่’ ไป
'Cause I knew you’
‘เพราะฉันรู้จักเธอดี’
‘Steppin' on the last train’
‘เธอคนที่ชอบก้าวเท้าขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย’
‘เธอ’ ที่ถูกพูดถึงในเพลงเป็นที่รู้จักดี จากการกระทำที่เป็นนิสัยของเขา สุดท้ายเมื่อเห็นท่าว่าไม่มีรถไฟขบวนเทียบชานชาลาอีก คนเหล่านี้ก็มักก้าวขึ้นสู่รถไฟขบวนสุดท้าย ในวินาทีสุดท้าย เช่นเดียวกับความสัมพันธ์เลือกเมื่ออีกฝ่ายจะจากไปแล้ว ทั้งที่ความจริงแล้วเขาคงไม่ได้เลือกขึ้นรถไฟขบวนนี้ตั้งแต่แรก และสุดท้ายพวกเขาเหล่านี้ก็จะหนีหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อพบรถไฟขบวนใหม่
‘I knew you'd miss me once the thrill expired’
‘ฉันรู้ว่าคุณคงจะคิดถึงฉันขึ้นมาบ้าง เมื่อเรื่องตื่นเต้นพวกนั้นจบลง’
หลังจากการจากไปของ ‘เธอ’ และการด่าทอกล่าวโทษของฝ่ายที่ถูกกระทำเป็นระยะเวลาเนิ่นนาน สุดท้ายฝ่ายที่เจ็บปวดก็ยังพร้อมวิ่งไล่ตามเงาของใครบางคนเพราะคิดว่าเขาจะเป็น ‘เธอ’ อยู่ดี
และท้ายที่สุดเมื่อการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นจบลง ฝ่ายที่รอคอยต่างก็รู้สึกลึกๆ อยู่ในใจว่าเมื่อไม่มีที่จะไป ‘เธอ’ ก็จะกลับมาอีกครั้ง เพื่อหยิบพวกเขามาสวมใส่ป้องกันความหนาวเหน็บในใจ รับไออุ่นและบอกว่าเขาเป็น ‘คาร์ดิแกนตัวโปรด’
‘เธอ’ ผู้พยายามจะเปลี่ยนตอนจบ
‘I think I've seen this film before’
‘ฉันคิดว่าตัวเองเคยเห็นภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน’
ท่อนหนึ่งในเพลง Exile ที่เทย์เลอร์ สวิฟต์ร้องร่วมกับบอน อีแวร์ (Bon Iver) ศิลปินวงอินดีโฟล์ก ชี้ให้เห็นว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และซ้ำไปซ้ำมาอีกเช่นเดียวกับภาพยนตร์ที่มีตอนจบแบบเดิม
‘I couldn't turn things around’
‘ผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้’
‘You never turned things around
‘คุณไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรเลย’
แม้เราจะเห็นว่า ‘เธอ’ แสดงความเสียใจต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่สุดท้าย ‘เธอ’ ผู้คร่ำครวญและแสดงความเสียใจว่าตัวเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตและสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ได้ เนื้อเพลงกลับถามกลับไปว่า แล้ว ‘เธอ’ เคยเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ตัวเองทำไว้จริงๆ หรือเปล่า เพราะสุดท้ายอาจไม่มีการกระทำใดที่ ‘เธอ’ เคยทำเพื่อแก้ไขเรื่องราวนี้ตั้งแต่แรกเลย
เมื่อน้ำตาเริ่มแห้งเหือดกลับไป
‘You had to kill me, but it killed you just the same’
‘เธอควรจะฆ่าฉัน แต่ความเจ็บปวดนั้นจะฆ่าเธอเช่นกัน’
‘You turned into your worst fears’
‘เธอกลายเป็นความกลัวที่สุดของเธอเสียเอง’
ในเพลง ‘My Tears Ricochet’ เทย์เลอร์เลือกพูดถึง ‘ระยะทำใจ’ เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่อาจหวนกลับไปสู่เรื่องราวเก่าๆ ได้อีกต่อไปแล้ว ในระยะเวลาที่ทั้งสองฝ่ายยังเจ็บปวดและเคียดแค้นต่อกัน เมื่อผู้ที่ถูกกระทำไม่สามารถทำตามความคาดหวังของฝั่งตรงข้ามได้ แต่แปรเปลี่ยนเป็นความกล้าหาญที่จะเดินออกจากความสัมพันธ์ในอดีตอย่างเข้มแข็ง เช่นเดียวกับรอยน้ำตาที่เหือดแห้งแล้ว
เมื่อไม่กลับไปโทษตัวเองเหมือนที่ผ่านมา และยอมรับว่าคนที่เราเคยรักและผูกพันธ์ก็มีส่วนผิดในความสัมพันธ์นี้มาก ผู้ถูกกระทำจึงสามารถเดินออกมาโดยไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะมีปฎิกริยาเช่นไรอีกต่อไป เพราะหากอีกฝ่ายคิดจะทำร้ายกัน เขาก็คงจะทำร้ายตัวเองด้วยความเสียดายเช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยเสียใจมาก่อนแล้วในอดีต
‘If you never bleed you’re never gonna grow, and it’s alright now’
‘ถ้าเธอไม่เจ็บตัวบ้าง เธอก็จะไม่มีวันเติบโต และมันโอเคแล้วนะตอนนี้’
ประโยคนี้ในเนื้อเพลง ‘The 1’ ยังสามารถสื่อถึงบุคคลที่คิดว่าคงดีกว่าถ้าไม่กล้าเสี่ยงอะไรในความสัมพันธ์เลย แต่เทย์เลอร์กลับมองว่าถ้าไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะเจ็บปวดก็คงไม่มีทางเรียนรู้ที่จะรักใครและเติบโตขึ้นได้เช่นกัน แม้ภาพที่คนอื่นมองมาจะเห็นว่าฝ่ายที่เจ็บปวดหรือร้องไห้เป็นผู้แพ้ในครั้งแรก แต่สุดท้ายผู้ที่ยอมรับความอ่อนแอได้ต่างหากจึงจะกล้าเผชิญหน้าและจัดการกับความเจ็บปวดนั้นได้
‘เธอ’ ผู้ไม่เคยเป็นของฉัน
‘But I can see us lost in the memory’
‘แต่ฉันมองเห็นพวกเราหลงอยู่ในความทรงจำ’
‘August slipped away into a moment in time’
‘ฤดูร้อนเดือนสิงหาคมที่ใช้เวลากับเธอผ่านไปในชั่วพริบตาเดียว’
‘Cause it was never mine’
‘เพราะช่วงเวลานั้นไม่เคยเป็นของฉันตั้งแต่แรก’
ในเนื้อเพลง ‘August’ ที่พูดถึงการคำนึงหาเรื่องราวเศษเสี้ยวในความทรงจำ เทย์เลอร์พาเราไปยังช่วงเวลาในฤดูร้อนในวัยเยาว์ที่หมดไปไวเช่นเดียวกับ ‘ไวน์’ หนึ่งขวด แน่นอนว่าช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความสนุกและสดใส แต่สุดท้ายเรื่องราวเหล่านี้กลับเป็นเพียงช่วงเวลาดีๆครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตจริง แต่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกแล้วในปัจจุบัน เพราะช่วงเวลาของความสัมพันธ์ที่ไม่มีความชัดเจนนั้นได้สิ้นสุดและไม่มีพื้นที่เหลือให้คนทั้งคู่อีกแล้ว
‘Wanting was enough’
แค่ต้องการเธอก็พอแล้ว
‘For me, it was enough’
สำหรับฉัน มันเพียงพอแล้ว
‘To live for the hope of it all’
เพื่อจะใช้ชีวิตด้วยความหวังเหล่านี้
สุดท้าย เมื่อความคำนึงถึงยังคงอยู่ จึงคงเหลือไว้แต่ความหวังในใจที่ไม่คาดหวังให้เกิดขึ้นจริงอีกต่อไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงประกายเล็กๆ ในความมืดมิดว่าทั้งสองยังมีความทรงจำที่สวยงามด้วยกัน เพื่อเป็นความหวังให้ฝ่ายที่ยังรักอยู่ได้ดำเนินชีวิตต่อไป
‘Time, mystical time’
‘เวลาเป็นสิ่งวิเศษ’
‘Cutting me open, then healing me fine'
‘เปิดแผลฉันออกมา แล้วรักษาจนหายดี’
ในเพลง ‘Invisible String’ เทย์เลอร์ชี้ให้เราเห็นความมหัศจรรย์ของ ‘เวลา’ ดั่งคำพูดเกร่อๆที่เรามักได้ยินว่า ‘เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง’ ซึ่งเทย์เลอร์กล่าวอย่างยอกย้อน ว่าแม้เวลาจะเปิดแผลออกมาจนทำให้เราทุกคนต้องเจ็บปวดและทรมาน แต่สุดท้ายเวลาก็เป็นตัวช่วยในการรักษาแผลใจนั้นให้ค่อยๆ ทุเลาลงได้ไม่ต่างจากกลไกของร่างกาย
ท้ายที่สุด ในอัลบั้ม Folklore แม้เทย์เลอร์จะเผยให้เห็นความรักในอดีตที่สวยงามจับใจ ชวนให้เราเข้าไปอยู่ในวันหยุดพักผ่อนช่วงฤดูร้อน โลกจินตนาการที่แสนสดใส และความใฝ่ฝันที่เราเคยคาดหวัง แต่ในอีกมุม เรื่องราวเหล่านั้นกลับทำลายตัวตนเราให้พังทลายลงเช่นกัน
แน่นอนว่าความฝันนั้นสวยงามเสมอยามเมื่อเราหลับไหล แต่ในขณะนี้ คงได้เวลาที่เราต้องตื่นจากฝัน เพื่อพบกับสิ่งใหม่ๆ ในความเป็นจริงเสียที
‘Hell was the journey but it brought me heaven’
‘นรกคือทางเดินที่ผ่านมา แต่มันนำพาฉันสู่สวรรค์’
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in