หอพักนักศึกษาเป็นสถานที่ทีี่มักจะมีเรื่องเล่าลึกลับที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนริเริ่ม และมีการต่อเติมเรื่องราวจากความจริงมากเพียงใด และไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะมีมูลความจริงหรือไม่มีสิ่งอ้างอิงจากความจริงเลยก็ตาม มันก็ยังคงไม่เป็นมิตรต่อการอยู่คนเดียวโดยเฉพาะในตอนกลางคืนอยู่ดี
ผมเชื่อว่าแม้จะกลัวแค่ไหน แต่หลายคนก็ยังกระหายที่จะได้ฟังเรื่องราวอันลึกลับ และเหลือเชื่อเหล่านั้นอยู่ ในทางกลับกัน แม้จะชอบฟังมากแค่ไหน แต่คงไม่มีใครอยากเป็นตัวละครในเรื่องราวเหล่านั้นแล้วกลับมาเล่าให้เพื่อนๆฟังเป็นแน่ แน่นอน ผมเองก็เช่นกัน
กลางดึกคืนหนึ่งในช่วงสอบ สมาชิกสีี่คนที่เรียนต่างคณะกันได้อาศัยอยู่ร่วมกััััััััััััััันในห้องหมายเลข 416 ของหอพักภายในมหาวิทยาลัย และหนึ่งในนั้นคือผมเอง
คืนนี้สมาชิกสองคนแยกย้ายกันไปอ่านหนังสือกับเพื่อนห้องอื่นๆที่เรียนคณะเดียวกันและดูท่าทางว่ากว่าจะกลับมาอีกทีก็คงจะพรุ่งนี้เช้า
ในห้องเหลือเพียงผมกับไอ้โจ รูมเมทคณะวิศวะที่พรุ่งนี้มันไม่มีสอบ และนั่งดีดกีต้าร์ร้องเพลงกวนสมาธิในการอ่านหนังสือของผม
“ครืด ครืด ครืด” เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นจากในลิ้นชักโต๊ะไอ้โจ
เสียงเงียบลงไปประมาณสามวิพร้อมๆกับที่ไอ้โจวางกีต้าร์ลงและเดินไปทำท่าจะเปิดลิ้นชักแล้วมันก็ดังขึ้นมาอีก
“ครืด ครืด ครืด”
“โหล” ไอ้โจหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นขึ้นมากดรับสาย
“เออ ได้ๆๆ เดี๋ยวกูไป รอแป๊บ” ไอ้โจคุยโทรศัพท์กับอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะชวนกันไปทำอะไรซักอย่าง
“มึง กูไปหลังหลังมอนะ คืนนี้อาจจะไม่กลับ” ไอ้โจหันมาบอกผม
คำว่าหลังมอเป็นคำที่พูดแล้วเป็นอันรู้กันว่าไปทำอะไร เพราะด้านหลังมหาวิทยาลัยนั้นมีเพียงร้านเหล้า และร้านข้าวต้มอย่างละสองสามร้านเท่านั้น และเพื่อนไอ้โจคงไม่โทรมาชวนไปกินข้าวต้มโต้รุ่งแน่ๆ
เวลาเกือบเที่ยงคืน ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องเพียงลำพัง เรื่องเล่าอาถรรพ์ลี้ลับต่างๆผุดขึ้นมาในหัว จินตนาการทำงานพลุ่งพล่านภายใต้ความเงียบงัน
ผู้หวังดีจำนวนหนึ่งช่วยทำลายความเงียบลง ช่วยให้บรรยากาศเปลี่ยนไปได้เล็กน้อย
“เชี่ย! หลอนกว่าเดิมอีก จะมาซ้อมดนตรีไทยอะไรกันตอนนี้!” ผมพึมพำกับตัวเองเมื่อพวกเอกดนตรีไทยจากห้องใกล้ๆเริ่มซ้อมเพื่อเตรียมสอบปฏิบัติ ผมเกิดคิดถึงเสียงกีต้าร์ของไอ้โจขึ้นมาทันที
ตีหนึ่งครึ่ง ความง่วงเริ่มเข้าครอบงำและรู้สึกว่าไอ้ที่อ่านอยู่ไม่ได้ทะลุหัวกะโหลกเข้าไปสู่สมองเลย จนบางครั้งผมแอบคิดว่าสมองก็เหมือนกับเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงที่เมื่อมีความรู้หรือความคิดทะลุเข้าไปได้แล้วมันจะสร้างเกราะป้องกันไม่ให้ความรู้อื่นทะลุเข้าไปได้อีก ส่วนความรู้ที่ทะลุเข้าไปได้ก็จะค่อยๆเจริญเติบโต
และสิ่งที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในสมองผมขณะที่ปิดไฟนอนคือไอ้ความคิดเรืี่องสยองขวัญต่างๆเท่าที่จะจินตนาการได้จากทั้งเรื่องเล่าที่เคยได้ยิน หนังสือที่เคยอ่าน หนังที่เคยดู ผุดขึ้นมาเป็นผักตบชวาในแม่น้ำท่าจีน
ผมล้มตัวลงนอนบนชั้นล่างของเตียงสองชั้นที่ชั้นบนยังคงมีกีต้าร์ของไอ้โจวางทิ้งไว้อยู่
ผมไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตอนไหน แต่มารู้ตัวอีกทีเมื่อมีอะไรมากดทับอยู่กลางอกจนแทบจะหายใจไม่ออก
“ตื่นๆๆ มึงกำลังฝันอยู่ มึงแค่ฝัน” ผมพยายามสะกดจิตตัวเองให้ตื่นจากภวังค์แต่ไม่สำเร็จ ไม่ใช่เพราะผมไม่ตื่น แต่เพราะผมไม่ได้ฝัน มันมีอะไรบางอย่างกดอยู่บนตัวผมจริงๆ
ผมไม่แน่ใจว่าผมแค่อุปาทานคิดไปเองหรือเปล่าเพราะหลังจากถามตัวเองว่า “นี่กูโดนผีอำใช่มั้ย” ผมก็เริ่มได้ยินเสียงเล็กแหลมฟังไม่เป็นศัพท์ และกลิ่นเหม็นเน่าของอะไรซักอย่าง ทุกอย่างเกิดขึ้นตรงตำราการสร้างหนังผีเป็นอย่างมาก ขาดก็แต่เพียงเสียงหมาหอน และกลิ่นธูปเท่านั้น
ตอนนี้เสียงดนตรีไทยได้หายไปแล้ว เหลือเพียงเสียงของความเงียบ ผมอยากจะลืมตาดูเวลา และภาวนาให้เช้าเร็วๆเพื่อที่เพื่อนทั้งสามคนจะได้กลับมาที่ห้อง แต่เหมือนสมองจะสั่งการไปไม่ถึงเปลือกตา มันจึงยังคงปิดอยู่อย่างนั้น
“ถ้าผีอำกูต้องขยับตัวไม่ได้” ผมบอกกับตัวเองก่อนเริ่มทำการท้าทายโดยการขยับแขนเล็กน้อย
เห้ย! ขยับได้ แต่…
ผมขยับแขนไปเจอเข้ากับอะไรบางอย่างเป็นเมือกๆ ก่อนที่จะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างคล้ายเส้นผมที่เข้ามาสัมผัสที่ใบหน้า
เมื่อรวบรวมความกล้า และสติสัมปชัญญะเพียงพอ ผมจึงรีบปะติดปะต่อเรื่องราว และสะบัดความกลัวทิ้งไปรวมถึงไอ้สิ่งที่ทับอยู่บนตัวผมด้วย
ผมรีบวิ่งไปเปิดไฟ
“ไอ้เชี่ยโจ!!!”
ผมรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปสอบในตอนเช้า ปล่อยให้ไอ้โจนอนจมกองอ้วกของตัวเองอยู่บนเตียงต่อไป โดยหวังว่าเมื่อผมกลับมามันจะหายเมา แล้วเอาผ้าปูที่นอนไปซักให้ด้วย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in