ด้วยสื่อโซเชียลที่เข้าถึงผู้ใช้ได้ทั่วทุกมุมโลก ทำให้การเผยแผ่คำสอนทางจิตวิญญาณ ที่มีภาพลักษณ์เป็นศาสตร์เร้นลับเฉพาะกลุ่ม ได้เข้าถึงคนสมัยใหม่ได้อย่างกว้างขวาง วัยรุ่นหลายคนหันมาสนใจศึกษาศาสตร์ทางด้านจิตวิญญาณกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เพแกน วิคคา กฎแรงดึงดูด พลังจักรวาล พระเจ้า รวมถึงการบูชานับถือองค์เทพต่างๆ โดยหลักๆ จะเป็นเทพสายจีนหรือสายฮินดู ไปจนถึงการบูชาซาตานเลยก็มี
แม้แต่ศาสนาพุทธที่เคยถูกคนรุ่นใหม่บูลลี่ ก็กลายเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่หันมาศึกษาถึงพุทธประวัติและหลักธรรมอย่างจริงจัง จนกลายเป็นความผูกพันฉันทร์มิตร เช่น มีการเรียกพระพุทธเจ้าว่า บุดด้า และพระเยซูว่า จีซัส ซึ่งมีต้นแบบมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง "Saint young men ศาสดาลาพักร้อน" นั่นเอง
เนื่องจากสถานการณ์โรคโควิดระบาด ทำให้คนทั้งหลายต่างก็ต้องการที่พึ่งทางใจ ที่เรียกกันในภาษาวัยรุ่นว่า การมูเตลู บรรดาสายมูส่วนใหญ่ มักจะเป็นผู้หญิงวัยทำงาน ที่ต้องการจะสมหวังในเรื่องการเงิน การงาน และความรัก ก็หาทำสารพัดวิธี อย่างเช่นการไปขอแฟนกับพระตรีมูรติ (ที่ความจริงแล้วเป็นพระศิวะ) ที่หน้าห้างเซ็นทรัลเวิร์ล การตั้งวอลเปเปอร์มือถือรูปไพ่ยิปซีหรือองค์เทพ การเปลี่ยนไปใช้เบอร์โทรศัพท์เลขมงคล
ศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสริมความปังให้กับดวง ถูกเอามาใช้ในการเสริมดวงหมดทุกกระบวนท่า ทั้ง ศาสตร์ไพ่ยิปซี สีมงคล เลขมงคล อักษรรูน และการนับถือองค์เทพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทพปกรณัมกรีก เทพนอร์ส เทพจีน เทพฮินดู
แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ก็ไม่สามารถทำให้ความทุกข์ในจิตใจสงบลงได้ ถึงจะมูแล้วปังแค่ไหน แต่ก็ไม่ช่วยให้พ้นจากวังวนทุกข์ได้อยู่ดี เคยมีคนในทวิตเตอร์โพสต์ว่า "กูเข้าใจแล้ว ว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่อยากกลับมาเกิดอีก" นี่สินะ ที่เรียกว่า "ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม"
ในศาสนาพุทธ มีอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นหลักธรรมสำคัญอย่างยิ่ง ที่ควรปฏิบัติให้เกิดผล ก็คือการพ้นทุกข์
ด้วยสถานการณ์โลกที่วุ่นวาย นอกจากโรคระบาดโควิด ก็ยังมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ และสงครามความขัดแย้ง เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ จากที่เครียดและวิตกกังวลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งมีทุกข์ทางใจมากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้น การนำคำสอนในพระพุทธศาสนาข้อนี้มาปฏิบัติ จะช่วยทำให้โลกภายในของผู้ปฏิบัติธรรมสงบลงได้
สิ่งสำคัญคือการมีสติ โดยการใช้สติปัฏฐาน 4
คือ
1) กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (กาย) คือการรู้อากัปกิริยา
2) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (เวทนา) คือการรู้ความรู้สึก
3) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (จิต) คือการรู้อายตนะ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
4) ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ใจ) คือการรู้ความคิด
โดยผู้ปฏิบัติสามารถเลือกทำข้อใดข้อหนึ่งได้ตามอารมณ์ธรรมชาติของจิต ถ้าเป็นคนชอบคิดมาก คิดฟุ้งซ่าน ให้ดูที่จิต แต่ถ้าเป็นคนรักสวยรักงาม ชอบทำกิจกรรม ให้ดูที่กาย ทั้งหมดนี้ คือการทำวิปัสสนากรรมฐาน
การทำสติปัฏฐาน เป็นรากฐานของศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นส่วนประกอบในมรรค 8 คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ
จะเห็นได้ว่า เพียงแค่มีสติตัวเดียว ก็สามารถรู้เท่าทันความทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ ถ้าเกิดหมั่นดูกายดูใจบ่อยๆ เข้า จนมีดวงตาเห็นธรรม เข้าใจถึงไตรลักษณ์ 3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ ก็จะบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันในที่สุด
การปฏิบัติธรรมด้วยสติปัฏฐาน 4 นี้ สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาในชีวิตประจำวัน ทั้งยังให้ประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติทั้งในทางโลกและทางธรรม ทำให้อยู่กับปัจจุบัน ช่วยปล่อยวางความยึดติดในอดีตและความหลงคิดไปถึงอนาคต หากหมั่นพิจารณาจนเป็นนิสัย จะช่วยบรรเทาความเครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ จนถึงจุดที่สามารถปล่อยวางความทุกข์ที่ประสบพบเจอในชีวิตได้อย่างสมบูรณ์
การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องทำเฉพาะที่วัด เราสามารถทำทุกที่ให้เป็นวัดได้ เป็นการเรียนรู้ธรรมแบบปฏิบัติ เป็น short cut ที่กระชับที่สุด ย่อ 84,000 พระธรรมขันธ์ลงมาอยู่ที่คำเดียว คือการรู้สติ หรือภาษาอังกฤษคือ consciousness ซึ่งจะนำไปสู่ความสุขสวัสดีในภายภาคหน้า สาธุ
เครดิตภาพสวยๆ : ผู้จัดการออนไลน์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in