หลังจากยื่นเอกสารทุกสิ่งอย่างเรียบร้อย ด่านต่อมาคือ วันรุ่งขึ้นจะต้องเข้าสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาญี่ปุ่น!
ถึงแม้ใครจะบอกว่าเราเป็นคนที่พูดไม่น้อย (เอ่อ พูดมากนั่นแหละ) แต่ถ้าให้เป็นการเป็นงานอย่างเข้าห้องสอบสัมภาษณ์นี่มีหวังกลายเป็นหมูสนามจริงแน่นอน แล้วนี่ยังต้องถามตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดด้วย ขอลาป่วยไปดูซีรีส์ฝึกภาษาเพิ่มเติมแป๊บ
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำจากวันสอบสัมภาษณ์ก็คือ เรา—นางสาวณิศราเดินไปนั่งสแตนด์บายหน้าห้องสอบสัมภาษณ์พร้อมแทมมี่—เพื่อนสนิทที่มาสอบด้วยกัน จับเข่ากระสับกระส่ายกันอยู่สองคน ทำตาปริบๆ ส่งกระแสจิตถึงกันว่าใครจะซวยเป็นคนแรกว้า ไอหรือยู หรือจะเป็นคนอื่นที่มาทีหลัง แต่นั่งรอจนถึงเวลานัดก็แล้ว ยังไม่เห็นมีใครมาเพิ่มเลย เอ๊ะ ยังไง เราถึงกับต้องเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่านี่พวกหนูมาถูกวันจริงๆ ใช่มั้ยคะ
“มีแค่น้องสองคนนี่แหละค่ะ”
อ้าว เราก็นึกว่าจะสมัครกันเป็นสิบ ที่แท้ตัวหลอกทั้งนั้นนี่หว่า...
สักพักพี่ปุยก็เรียกเข้าห้องสัมภาษณ์ เรานี่ตื่นเต้นจนแทบจะสั่นเป็นร่างทรง ทั้งที่อาจารย์ที่เป็นคนสัมภาษณ์ก็คุ้นเคยกันดี ทักทายโคนิจิวะกันเป็นประจำอยู่ทุกคลาส แต่ไม่รู้ทำไมพอมาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้ตามันก็ลายหูมันก็อื้อ... อื้อหือจะตอบได้มั้ยเนี่ย
อาจารย์: “จบแล้วอยากทำงานอะไร?”
มิ้นต์: “ครูค่ะ เพราะว่าหนูชอบเด็กๆ” (อันนี้คำถามธรรมดา ตอบสวยๆ ไม่มีอะไรยาก)
อาจารย์: “แล้วอยากเป็นครูสอนอะไรล่ะ?”
มิ้นต์: “อยากเป็นครูสอนภาษาอังกฤษค่ะ เพราะว่าเราอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ ภาษาสำคัญมากต่อทั้งระบบการศึกษาและความเป็นอยู่ในสังคม” (ยังง่ายอยู่ ก็ตอบไปยิ้มไปด้วยความภาคภูมิใจ)
อาจารย์: “แล้วเธอสนใจอะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นมากที่สุด?”
มิ้นต์: “วัฒนธรรมค่ะ พวกป๊อปคัลเจอร์”
อาจารย์: “อย่างเช่นอะไรบ้างล่ะ?”
มิ้นต์: “…” (อ้าว เฮ้ย ไม่ได้คิดไว้…)
เจอข้อนี้แล้วถึงกับชะงัก เพราะไม่ได้คิดเตรียมมาก่อนเลยว่าจะตอบยังไง วินาทีนั้น เหมือนหลอดเลือดในสมองหยุดทำงาน คิดอะไรไม่ออก แต่ปากดันโพล่งคำตอบออกไปว่า…
มิ้นต์: “โดราเอมอน...ค่ะ” (กลืนน้ำลายหนึ่งอึก อาจารย์จะคิดว่าติ๊งต๊องมั้ยวะ...)
อาจารย์: “แล้วคุณจะใช้ความชอบนี้กับอาชีพในอนาคตอย่างไร?” (อื้อหือ อาจารย์โยงคำถามได้ดีกว่าข้อสอบ GAT-PAT อีกค่ะ ณ จุดนี้ โดราเอมอนกับอาชีพครูเนี่ยนะ...)
มิ้นต์: “หนู...เอ่อ อะโน หนูอยากเอาการ์ตูนโดราเอมอนเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษไปเปิดให้เด็กดู เด็กๆ จะได้ทั้งความสนุกแล้วก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่น For example, Onigiri (ข้าวปั้น) which is the simplest kind of food in Japanese culture every kid should know ไปในตัว (เหรอฟะ!) ...บลา บลา บลา ค่ะ”
...
ผสมปนเปกันไปหมดทั้งภาษาไทย ญี่ปุ่น อังกฤษ ภาษามือ ใจก็คิดว่าตอบไม่รู้เรื่องแบบนี้อาจารย์จะไล่กลับบ้านไปเลยมั้ยว้า แต่พอพูดจบแล้วเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของอาจารย์ก็ค่อยโล่งอก แอบถอนหายใจเฮือก แล้วใช้สติที่เหลืออยู่น้อยนิดตอบคำถามที่อาจารย์ยิงมารัวๆ จนจบการสัมภาษณ์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in