3. Book recap ในส่วนนี้เหมือนจะเป็นการ walkthrough ชีวประวัติของแอลลี่มากกว่าแค่ recap หนังสือเล่มนึง ส่วนตัวแล้วเล่มนี้ค่อนข้าง personal มาก ๆ เลย
4. I'm a diehard harmonizer, so, yes, this is going to be pretty biased.
5. สำหรับใครที่โหยหาดราม่า ต้องเตือนก่อนเลยว่าแอลลี่ค่อนข้างโฟกัสกับด้าน positive มากกว่า ใครอยากได้อะไรแซ่บ ๆ อย่างเช่นใครตบใครในวงก็คงต้องผิดหวัง เพราะแอลลี่ไม่ยุ่งเรื่องแบบนี้จริง ๆ and neither should you.
_________________________________________
Finding Your Harmony
The Worst Best Day of My Life (C.1)
แอลลี่เริ่มบทแรกด้วยการบรรยายถึงเทปออดิชั่นรายการ The X Factor ของตัวเอง โดยใช้ชื่อบทว่า "The Worst Best Day of My Life" เพราะถึงแม้จะเป็นก้าวสำคัญของการเป็นศิลปินของเธอเอง แต่เทปออดิชั่นดันโดน producer ของรายการตัดต่อให้มีความดราม่า และผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ทั้งสีหน้าของเหล่ากรรมการที่ดูรำคาญเกินจริง หรือแม้กระทั่งการตัดต่อที่ให้แอลลี่มีความมั่นใจในตัวเองที่สูง อย่างในคลิปสัมภาษณ์ว่าอยากประสบความสำเร็จเท่า Beyoncé เมื่อคลิปออดิชั่นได้เผยแพร่ออกไปก็มีกระแสวิจารณ์แง่ลบมากมาย ทั้งหมดนี้แอลลี่ไม่รู้มาก่อนว่าจะโดนตัดต่อแบบนี้จนกระทั่งเทปออกอากาศของเธอได้ออนแอร์ต่อหน้าครอบครัวของเธอ เธอรู้สึกผิดหวัง และไม่พอใจตั้งแต่เริ่มต้นก้าวแรกเลย แต่ตรงนี้ก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
แอลลี่เริ่มจริงจังกับการร้องเพลงมากขึ้นหลังครูของเธอได้ยินเธอร้องเพลง และให้ลองร้องเพลงในงานโรงเรียน และด้วยการส่งเสริมของพ่อแม่เธอ จึงทำให้ได้เข้าไปอยู่ในโครงการฝึกดนตรีแถวบ้านในที่สุด จนวันหนึ่งได้ไปแสดงที่งานหนึ่งในเมือง โดยใช้เพลง On My Knees ของ Jaci Velasquez ทำให้เตะตาหนึ่งในกรรมการ คือ Dana Barron ที่เป็นนักแสดง ด้วยโอกาสนี้เอง ดาน่าได้เสนอให้แอลลี่ไปหาโอกาสที่ Los Angeles และได้พาแอลลี่ตามหาสังกัดนักร้องนักแสดงเด็ก เปิดโลกให้แอลลี่ในเส้นทางนักร้อง
เวลาผ่านไป คุณพ่อและแอลลี่จึงตัดสินใจไปเช่าห้องอยู่ที่ Los Angeles เผื่อจะได้มีโอกาสในวงการมากกว่าเดิม เมื่อมาอยู่ในเมืองใหญ่แล้ว ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป เพราะการเงินทางบ้านไม่ได้มีพร้อมมากเท่าเด็กคนอื่น ๆในสายงานนี้ อีกทั้งการสานฝันของแอลลี่จะอยู่กับคุณพ่อเป็นหลัก เนื่องจากคุณแม่มีอาการกระดูกสันหลังคดที่ทรุดลงเรื่อย ๆ จึงมักอยู่ที่ San Antonio เพื่อรักษาตัว และแอลลี่เองได้เรียน home school มาตั้งแต่จบประถม เพื่อความสะดวกต่อการเดินตามหาความฝัน
แอลลี่ยังพูดถึงสภาพสังคมของ Los Angeles ที่แตกต่างจากที่บ้านเกิดของเธอ ด้วยความเคยชินที่เติบโตมากับสังคม Tex-Mex ที่ heritage มาจากฝั่งลาติน แต่ใน Los Angeles ไม่มีความเป็นลาตินเท่าบ้านเกิดเลย ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ fit in กับสังคมใหม่นี้เป็นอย่างมาก
แอลลี่อยู่ภายใต้ความกดดันมากพอสมควร เพราะครอบครัวของเธอไม่ได้รวยมากนักเทียบกับเด็กคนอื่นในแวดวง อีกทั้งเพื่อนที่ los angeles เองก็น้อย ทำให้เธอกลัวว่าจะเสียความเป็นตัวเอง เป็นที่มาของเพลงที่เธอเขียนขึ้นซึ่งมีชื่อว่า "Be You"
ตลอด 6 ปี เธอได้บอกว่าไป ๆ มา ๆ ระหว่าง San Antonio และ Los Angeles ตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่เจอเส้นทางอะไรที่เป็นรูปเป็นร่างขนาดนั้น จนวันหนึ่ง ก็ได้ไปเจอกับทีมโปรดิวเซอร์ชื่อว่า 1500 Or Nothin' และได้ออกเพลงชื่อว่า All Right There
ทางฝั่งครอบครัวของแอลลี่ก็ยังสนับสนุนต่อไปโดยการขายที่ดินส่วนหนึ่ง เพื่อเอาเงินมาช่วยในการสานฝันต่อไป แต่การเดบิวต์ในครั้งนั้นก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ จนอายุย่างเข้าวัย 18 แอลลี่ก็พบกับอุปสรรคอีกครั้งหนึ่ง เพราะวัยรุ่นวัยนี้ควรต้องตัดสินใจออกไปหางานทำ หรือเรียนต่อได้แล้ว อีกทั้งอาการป่วยของคุณแม่ก็ทรุดลงเรื่อย ๆ คุณพ่อก็ต้องอยู่ดูแล ทำให้โอกาสและเวลาหายไปเรื่อย ๆ จนเรียกได้ว่ายอมจำนน แอลลี่ย้ายกลับมาอยู่ San Antonio ประตูในการเดินสายนักร้องได้ค่อย ๆ ถูกปิดลง
The X Factor (C.7-10)
แต่แล้วโชคชะตาของแอลลี่ก็ได้พลิกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคุณแม่ของแอลลี่อยากให้ลองส่งคลิปออดิชั่นไปให้ The X Factor เพราะไม่มีอะไรเสียหาย แอลลี่จึงต้องจำใจส่งคลิปตามที่แม่บอก ก่อนกดส่งคลิปเธอเองก็ไม่ได้สะดวกใจเท่าไหร่นัก แม้กระทั่งอ้อนวอนพระเจ้าว่า “ถ้าพระองค์อยากปิดประตู ได้โปรด ปิดไปเลยเถอะนะ แต่ถ้านี่คือสิ่งที่พระองค์ต้องการ ถ้านี่คือความประสงค์ของท่าน ก็ได้เปิดประตูนี้ที” (Brooke, 2020, p.88)
"Sometimes our small choices define us in the biggest ways."
(Brooke, 2020, p.89)
ด้วยการกึ่งบังคับของคุณแม่นี้เอง ทำให้แอลลี่ได้ออดิชั่นเข้ารายการ จนเป็นผลสำเร็จ โดยคลิปที่แอลลี่ส่งไปนั้นเป็น mashup เพลง Beautiful ของ Christina Aguilera และ Lovin' You ของ Minnie Riperton
(ถึงแม้คลิปออดิชั่นออนไลน์จะไม่เคยปล่อยออกมาเลย แต่ก็มีคลิปที่แอลลี่ร้องเพลง Lovin' You แบบสั้น ๆ อยู่ใน youtube ครับ)
หลังจากผ่านออดิชั่นแล้ว แอลลี่ก็ต้องไปออดิชั่นที่สตูดิโออย่างที่กล่าวไปที่บทแรก แอลลี่ก็ได้ร้องเพลง On My Knees ของ Jaci Velasquez เพราะเป็นเพลงที่ตัวเองมั่นใจ และมีความหมายต่อตัวเองในวัยเด็กเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเพลงที่ทำให้เตะตา Dana Barron ทำให้ได้เริ่มสานฝันตัวเองเป็นก้าวแรกเล็ก ๆ จนออดิชั่นใน The X Factor เธอก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากกรรมการเช่นเดิม
เมื่อรายการดำเนินมาถึงรอบ boot camp โดยรายการให้ไปเจอที่ Miami เลย แอลลี่จึงต้องเดินทางออกจาก San Antonio อีกครั้งหนึ่ง เธอค่อนข้างกังวลกับการไปตัวคนเดียว เพราะแอลลี่ออดิชั่นตอนอายุเกิน 18 แล้ว ทำให้ไม่สามารถมีผู้ติดตามเหมือนผู้เข้าแข่งขัน category teens เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยนั่งเครื่องบินโดยตัวคนเดียวเลย แต่เธอก็เตรียมซ้อมอย่างหนักเพื่อการแข่งขันในรอบ Boot camp และหวังว่าจะเข้ารอบ judges' house สานฝันในฐานะศิลปินเดี่ยวต่อไป เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วก่อนที่เธอจะหันหลังกลับสู่โลกความเป็นจริง ถ้ายังไม่เป็นผลสำเร็จก็จะเป็นจุดจบของสายนักร้องนี้
ถึงแม้ใน the x factor แอลลี่จะโดนกำจัดกรอบหลายอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใส่ชุดที่สไตลิสท์ไม่ค่อยดีด้วยเท่าไหร่นัก การห้ามร้องเพลงภาษาสเปน ท่อนร้องน้อย อีกทั้งในตอนสุดท้าย Fifth Harmony จะตกรอบ final ด้วยอันดับ 3 แต่สำหรับแอลลี่เอง ถือเป็นก้าวใหญ่ก้าวหนึ่งในการเข้ามาสู่สายนักร้องเลยก็ว่าได้ จากเดิมที่เป็นเพียงเด็กสาวเข้า Los Angeles เพื่อตามความฝัน ตลอดหลายปีที่ไม่มีอะไรคืบหน้า แต่ด้วยโชคชะตาอย่างไม่คาดฝันนี้เอง ก็ทำให้เข้าใกล้ความฝัน ถึงจะมาในรูปแบบที่เธอไม่ได้นึกเลยก็ตาม แต่เปิดโอกาสที่ไกลกว่าเดิม ไกลกว่าตัวเองในวัยเด็ก จนในที่สุดทั้ง 5 คนก็ได้เซ็นสัญญากับค่าย Epic Record (ไม่น่าเลย) โดยเป็น joint contract กับค่าย Syco ของ Simon Cowell ครับ
(ขออนุญาตข้ามรายละเอียดบางประการของ The X Factor ไปนะครับ กลัวบทความจะยาวไป TvT)
_________________________________________
Destiny when you don't expect it (C.10-12)
ในเดือนมกราคมปี 2013 ค่าย Syco/Epic ก็ได้ประกาศถึงการเซ็นสัญญาของวง Fifth Harmony ทั้ง 5 คนจึงต้องทำงานกันอย่างหนัก เพื่ออัดเพลงและโปรโมทในฐานะเกิร์ลกรุ๊ป ประกอบกับกระแสที่มากพอตัวแล้วจากรายการ The X Factor ทำให้ค่ายไม่ลังเลที่จะทำเพลงอย่างเร็วที่สุด
ซิงเกิ้ลเดบิวต์ของ Fifth Harmony อย่างที่ทราบกันคือเพลง Miss Movin' On ในตอนแรกแอลลี่มองว่าเป็นโอกาสที่ดีเพื่อเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ในฐานะสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ป และทิ้งอดีตที่แสนลำบากในรายการ The X Factor ไว้ข้างหลัง แต่แล้วแอลลี่ก็พบว่าท่อนร้องของตัวเองในเพลงเปิดตัวมีเพียงแค่ 1 ประโยคเท่านั้น
แอลลี่ใช้เวลาในการตัดสินใจหลายวันว่าจะทำอย่างไรดี จนสุดท้ายได้บอกผู้จัดการของตัววงว่าอยากได้ท่อนร้องเพิ่ม แต่ก็สายไปแล้ว เพราะเพลงถูกเซ็ตไว้เตรียมปล่อย และจะไม่อัดเพิ่มอีก ทำให้แอลลี่เสียใจเป็นอย่างมากที่ไม่กล้าพอตั้งแต่วันแรก อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างก็ไม่ได้แย่ไปเสียหมด เพราะเพลงอื่นในมินิอัลบั้มแรกของ Fifth Harmony แอลลี่เองก็ได้ท่อนใหญ่ ๆ อย่าง high note ในเพลง Who Are You (หนึ่งในเพลงในตำนานของวง) ท่อน bridge ในเพลง Don't Wanna Dance Alone รวมไปถึง ad-lib ในเพลง Better Together ด้วย ทำให้เธอกลับมามั่นใจในตัวเองอีกครั้งหนึ่งหลังไม่ได้แสดงความสามารถของตัวเองเพราะเพลง Miss Movin' On
หลังจากนั้นเอง ทั้ง 5 คนก็ได้ปล่อยมินิอัลบั้มเดบิวต์ และได้เริ่มขยายฐานแฟน ทำงานอย่างหนัก หลังจากนั้นเอง Fifth Harmony ก็มีตุ๊กตาบาร์บี้เป็นของตัวเอง อีกทั้งเริ่มเดินสายต่างประเทศอย่าง Brazil บ้างแล้ว แอลลี่กล่าวว่าวันที่ถึงบราซิลครั้งแรก ตัวเองได้ใส่รองเท้าส้นสูงลงไป เมื่อมีแฟนคนหนึ่งพยายามจะกระชากกระเป๋าเป้ จึงทำให้เกือบล้มกลางสนามบิน แต่โชคดีที่ Big Rob (security ประจำวง) รับเธอไว้ได้ทัน และพาสาวๆเดินขึ้นรถได้อย่างปลอดภัย
(Fifth Harmony ปล่อยซิงเกิ้ลที่ชื่อ Anything Is Possible หลังการเปิดตัวตุ๊กตาที่สร้างจากตัววงเอง)
การเดินทางของฟิฟฮาโมนี่ก็มาถึงจุดพีคสุดอย่างที่น้อยศิลปินนักจะทำได้ ทั้งซิงเกิ้ลที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และชนะรางวัลต่าง ๆ ที่เรียกได้ว่าเดินสายรับกันเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่แอลลี่ไม่มั่นใจก็หนีไม้พ้นรูปร่างของตัวเอง แอลลี่เป็นอีกคนหนึ่งที่โดน bodyshamed มาตั้งแต่อยู่ในวง และเหมือนแผลฝังใจมาเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงปี 2016 ที่ซิงเกิ้ลถัดไปเป็น All In My Head (Flex) ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แอลลี่เครียดจัด ทำให้กินเยอะกว่าปกติ แต่เซ็ตในเอ็มวีกลับต้องถ่ายเอ็มวีด้วยการใส่ชุด one piece
"This was like being trapped in some kind of a nightmare."
"The four of us have a history, and we know what we went through together. We know our journey. We know each other. We felt like there was no question that we should continue on as we were."
หลังจากนั้น Fifth Harmony ก็เดินทางสายใหม่ด้วยสมาชิกทั้ง 4 คน กับการปล่อยซิงเกิ้ล Down ที่ยังประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง และเดินสายโปรโมทอย่างเต็มพิกัดอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ Good Morning America, MTV's TRL, DWTS ประกอบกับสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเพลง Look At Us Now ของ Lost Kings ที่แอลลี่ได้มีโอกาสไปร่วมงานด้วย ทำให้แอลลี่รู้สึกประสบความสำเร็จทั้งกับวง และเริ่มต้นก้าวสู่ความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยวไปในเวลาเดียวกัน
ในปีเดียวกันนั้นเอง Fifth Harmony ก็ได้รับเชิญให้ไปร้องเพลงใน Disney World ที่ญาติ ๆ ของแอลลี่ได้มีโอกาสมาเที่ยวเป็นครั้งแรก และได้ดูการแสดงของ Fifth Harmony ไปพร้อม ๆ กัน เป็นสิ่งที่ทำให้แอลลี่รู้สึกราวกับว่าอยู่ในเทพนิยายเลยทีเดียว
เวลาย่างเข้าปี 2018 สมาชิกเริ่มมีงานเดี่ยวแยกย้ายกันไปแต่ละคน แอลลี่เองก็ได้รับเชิญให้ไปร้องเพลงคู่กับคอนเสิร์ตของนักร้อง Opera ชื่อดัง Plácido Domingo ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับตัวเธอเอง เพราะไม่เคยมีโอกาสได้เจอกับ audience ที่เสพงานศิลปะโอเปร่าอย่างจริงจังมาก่อน อีกทั้งเป็นคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นที่ San Antonio บ้านเกิดของตัวเอง ทำให้ครอบครัวของแอลลี่สามารถมาชมการแสดงได้ รวมถึงคุณแม่ของแอลลี่ที่อาการดีขึ้นจนสามารถเดินทางได้บ้างแล้ว คอนเสิร์ตครั้งนี้เธอได้ร้องเพลง No Me Queda Más ของ Selena Quintanilla ไอด้อลของเธอเอง และ duet กับ Plácido Domingo ในเพลง bolero คลาสสิกอย่าง Bésame Mucho อีกด้วย
การคุยเรื่องสัญญากับแต่ละค่ายเพลงเป็นไปอย่างยากลำบาก ไม่ว่าจะทั้ง attitude ที่ค่อนข้าง cut throat มองเป็นเรื่องธุรกิจ หรือเพลงโซโล่ของแอลลี่ก็อาจจะไม่โดนใจ ไม่เห็นวิสัยทัศน์ในการเป็นศิลปินเดี่ยวเท่าที่ควร ทำให้การเจรจากับทั้งสามค่ายใหญ่ยังไม่มีการตอบกลับมา แต่ด้วยความบังเอิญก็ทำให้แอลลี่ไปเจอกับ Charles Chavez ที่เป็นคนวงในจากค่าย Atlantic Record ผู้ซึ่งเข้ามาช่วยดูแลในส่วนนี้ ทำให้แอลลี่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนขึ้น และช่วยแอลลี่ embrace วัฒนธรรมฝั่งลาตินผ่านเพลงได้ จึงทำให้แอลลี่ได้ลองทำเพลงใหม่อีกครั้ง และได้โอกาสเจรจากับค่าย Atlantic Record
การเจรจากับ Craig Kallman ซีอีโอค่าย Atlantic ค่อนข้างไม่ดีนัก เพราะปัญหาเรื่อง wifi ทำให้ไม่สามารถเปิดเพลงที่เตรียมมาได้ จนสุดท้ายการเจรจาครั้งนั้นจบลงภายในระยะเวลาสิบนาที แต่ระหว่างที่รอการตอบกลับนี้เอง แอลลี่ก็จัดมินิคอนเสิร์ตครั้งแรกของตัวเองที่ผับเล็ก ๆ แห่งนึง ถึงแม้การแสดงจะผ่านไปด้วยดี แต่ก่อนเริ่มแสดงนั้นแอลลี่ได้ทราบข่าวจาก Will ว่าทั้งสี่ค่ายปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญาทั้งหมด ทำให้แอลลี่เสียใจเป็นอย่างมาก และร้องไห้ก่อนขึ้นโชว์แรกของเธอ ประกอบกับแรงกดดันที่ยังหาค่ายไม่ได้ (ขณะนั้นนอร์มานิและลอเรนเซ็นสัญญากับ Keep Cool/RCA และ Columbia เรียบร้อยแล้ว) ด้วยเหตุนี้เอง ทางเลือกเลยน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะค่ายเพลงคงไม่รับสมาชิกเก่าทั้งสองคนในค่ายเดียวกันแน่นอน หรือถ้าเป็น independent artist ก็จะค่อนข้างลำบาก เพราะไม่สามารถเตรียมการทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง ขณะที่แสดงเพลง Jesus Take The Wheel แอลลี่เองก็ภาวนาในใจให้พระองค์ช่วย และคุมชะตาตัวเองแทน เพราะที่เจออยู่ตอนนี้คงไม่ไหวแล้ว นับเป็นอีก performance นึงที่สำคัญมากต่อชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้
(Keep Cool/RCA, Columbia อยู่ใต้ Sony Entertainment ในขณะที่ Atlantic อยู่ใต้ Warner Music ทำให้ค่ายย่อยของวอร์เนอร์เป็นช้อยสุดท้ายของแอลลี่ และไม่กลับไปโซนี่ซ้ำกับอีกสองสมาชิกที่เหลือครับ)
ไม่นาน Charles Chavez ก็ติดต่อแอลลี่อีกครั้งหนึ่ง ให้เจรจากับซีอีโอของ Atlantic อีกรอบ โดยเริ่มเขียนเพลงใหม่ อัดเพลงใหม่ไปเสนอค่าย ถึงแม้จะไม่มีการการันตีว่าจะได้เซ็นสัญญา แต่แอลลี่ก็ทำเต็มที่ เพราะอาจเป็นโอกาสสุดท้าย และซีอีโอเองก็คิดว่าเพลงที่เตรียมใหม่รอบนี้ค่อนข้างชัดเจน และค่ายเองก็ไม่ค่อยมี Latin Pop แบบจริงๆเท่าแอลลี่ จึงทำให้แอลลี่ได้เซ็นสัญญากับ Latium/Atlantic ทันทีหลังการประชุมครั้งนั้นในวันที่ 20 มิถุนายน 2018 และได้ประกาศการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการอีกสองเดือนให้หลังครับ
Fast forward มาจนถึงปี 2019 แอลลี่ได้รับเชิญให้ไปเป็นผู้เข้าแข่งขันรายการ Dancing With The Stars อีกครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ แอลลี่ได้ชั่งใจหนักกว่าครั้งก่อน เพราะคนรอบตัวก็อยากให้แอลลี่ได้ลองประสบการณ์ใหม่ ๆ รวมไปถึงคุณพ่อคุณแม่ของเธอเองก็สนับสนุนเช่นกัน แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจเท่าที่ควร เพราะ trauma ที่ผ่านมาขณะยังอยู่ในวง ทำให้ยังไม่มั่นใจในสกิลการเต้นของเธอ รวมไปถึงอดีตที่ไม่ดีกับรายการเรียลลิตี้โชว์อย่าง The X Factor ที่ตัดต่อบิดเบือนจากความเป็นจริง แอลลี่จึงได้ปรึกษาเพื่อนในวงการอย่าง Tori Kelly ซึ่งก็เห็นด้วยกับพ่อแม่ว่าควรลองแข่งดู และในท้ายที่สุดแอลลี่ก็ตัดสินใจเข้าเป็นผู้แข่งขันในซีซั่นที่ 28 ครับ
แอลลี่เล่าว่าไม่รู้เลยว่าใครจะได้มาเป็นโปรที่จะมาคู่ตัวเอง แต่แอลลี่รู้จักกับ Val มาก่อนหน้าตั้งแต่ปี 2017 ที่ Val เป็นโปรคู่กับนอร์มานิในซีซั่นที่ 24 และไดน่าห์ ลอเรน รวมถึงแอลลี่ก็ได้แวะไปหานอร์มานิที่สตูดิโออยู่บ่อยครั้ง เลยรู้จัก Val พอสมควร และ Sasha ที่แอลลี่บังเอิญเจอ เพราะมีผู้จัดการทัวร์คนเดียวกันพอดี จนในที่สุดหวยก็ออกซาช่าที่แอลลี่รู้จักอยู่แล้ว ทำให้เธอรู้สึกว่าเริ่มต้นมาได้อย่างน่าพอใจ
การแสดงของแอลลี่ในวีคแรกเธอได้โจทย์เป็นเพลง Work From Home แอลลี่บอกว่าตื่นเต้นกับโจทย์มาก เธอมีเวลาในการเตรียมตัวถึงสามสัปดาห์สำหรับการเต้นครั้งแรก แต่ระหว่างนั้นเธอก็ต้องแบ่งเวลาไปถ่าย music video เพลง higher ซิงเกิ้ลที่สามเช่นเดียวกัน แต่เธอก็ทั้งซ้อมเต็มที่ และตั้งใจเตรียมซิงเกิ้ลใหม่เต็มที่เช่นเดียวกัน แต่คะแนนของสัปดาห์แรกทำให้เธอเสียใจมาก เพราะเกือบจะอยู่ใน bottom two คะแนนรั้งท้ายในสัปดาห์ อีกทั้งเป็นเพลงจากวงของตัวเอง เธอก็อยากให้ออกมาดีที่สุดแต่กลับไม่ออกมาเป็นแบบที่หวัง ทางคู่เต้นของแอลลี่ก็ให้กำลังใจเป็นอย่างดี เพราะเป็นเพียงแค่สัปดาห์แรก ยังมีโอกาสในการพัฒนาอีกเยอะ ทำให้แอลลี่ไม่ท้อและฝึกซ้อมเพื่อแข่งขันต่อในวีคถัดไป
เมื่อการแข่งขันเข้ารอบสัปดาห์ลึก ๆ แอลลี่ก็ยังถือว่าได้คะแนนจากกรรมการดีขึ้นไปตามลำดับ และยังได้ฤกษ์โปรโมทเพลงตัวเองในรายการ ในสัปดาห์ที่ 8 ที่เป็นจังหวะ Paso Doble แอลลี่และซาช่า ได้เพลง Higher ของแอลลี่เป็นเพลงในการเต้น และการแสดงในสัปดาห์นี้เอง ทำให้ทั้งคู่ได้คะแนนเต็ม 10 จากคณะกรรมการทั้ง 3 ท่าน เป็นคะแนนเต็มครั้งแรกของซีซั่น 28 และยังทำคะแนนได้สวยในโจทย์ disney week ได้คะแนนเต็มทุกช่องในสัปดาห์ถัดมา แต่อย่างไรก็ตามราย Dancing With The Stars ใช้คะแนนโหวตจากทางบ้านเข้ามาด้วย เลยทำให้เธอต้องตกไปอยู่ใน bottom two ทั้งสองเทป ถึงแม้คะแนนกรรมการจะเยอะพอสมควรก็ตาม
เมื่อถึงสัปดาห์ semi-final ก็เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ Kimberly ภรรยาของ James Van Der Beek ที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันแท้งบุตร (miscarriage) ทั้งสองคนเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ James ต้องหายไปจากการซ้อมหนึ่งวันเต็ม แอลลี่เองก็เสียใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ก็ดีใจที่เห็น James กลับมาแข่งขันต่อ แต่เหตุการณ์ยิ่งหนักหน่วงขึ้น เมื่อแอลลี่และเจมส์ ได้คะแนนน้อยสุดในสัปดาห์นั้น ทำให้กรรมการต้องเลือกคู่ที่ดีกว่าเพื่อทำการเซฟและกลับเข้ารายการ ผลคือกรรมการทั้งสามคน เลือกเซฟแอลลี่และซาช่า ขณะที่เจมส์ ต้องตกรอบไป แอลลี่รู้สึกไม่เป็นธรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเจมส์เองก็เจอกับสัปดาห์ที่หนักมา อีกทั้งยังต้องตกรอบอีก เธอรู้สึกว่ากรรมการควรเห็นใจ อีกทั้งคะแนนของเจมส์เองก็ overscored ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แอลลี่จึงตัดสินใจของสลับที่ให้เจมส์ได้แข่งต่อ และให้เธอออกจากการแข่งขันเอง แต่พิธีกรไม่ให้เปลี่ยนผลกรรมการ แอลลี่จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้และขอโทษเจมส์อีกครั้งหลังเทปนั้นจบลง เธอเผยว่าได้คุยกับเจมส์ที่รถ trailer ของเจมส์อีกครั้ง และเจมส์ไม่ติดใจอะไร อีกทั้งลูกสาวของเจมส์เองก็เชียร์แอลลี่ด้วยเช่นกัน แอลลี่จึงเข้าไปแข่งในรอบถัดไปต่อ
ถึงแม้จะไม่ชนะรายการ แต่แอลลี่และซาช่าได้คะแนนรวมสูงสุดในซีซั่น และคว้าที่ 3 มาได้ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าแอลลี่เองพัฒนาไปได้ไกลจากที่เคยเป็นมา จากสมาชิกที่เต้นแทบไม่ได้เลย แต่ก็สามารถพลิกมาถึงรอบไฟน่อลของรายการเต้นได้ หลังจากไลฟ์โชว์ครั้งสุดท้ายได้จบลง ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดก็มี โปรแกรมออกรายการ Good Morning America และแอลลี่ก็ได้โอกาสโปรโมทซิงเกิ้ลที่ 4 ของเธออย่าง No Good ต่อด้วยเลย
แอลลี่ได้นำเพลง Reach For The Stars ไปขึ้นโชว์ที่ Rose Parade (แต่ตอนนี้เพลงยังไม่ปล่อยลง streaming platform ใด ๆครับ)
เมื่อขึ้น 2020 แอลลี่ได้ปล่อยเพลงแรกเปิดปีใหม่ นั่นคือเพลง Fabulous ก่อนที่เธอจะเริ่มทัวร์ครั้งแรกในฐานะศิลปินเดี่ยว ในชื่อ Time To Shine Tour ถึงแม้เธอจะผ่านประสบการณ์มากมายจากการทัวร์กับวง Fifth Harmony ที่เริ่มทัวร์ตั้งแต่เธียเตอร์เล็ก ๆ ไปจนถึงฮอลล์ที่จุได้กว่าหมื่นคน แต่ ณ ตอนนี้เธอต้องกลับมาสร้างฐานแฟนใหม่เอง และเริ่มทัวร์ที่เล็ก ๆ ตั้งแต่ห้าร้อยคน หนึ่งพันคน แต่เธอก็ยังเอนจอยกับมัน อีกทั้งโชว์ของเธอที่ New York ก็ sold out เป็นครั้งแรก ทำให้แอลลี่ดีใจกับความสำเร็จที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มทัวร์ไปได้ไม่นานก็เกิดการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงัก เธอบรรยายในหนังสือว่า ทีมและตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าควรจะแคนเซิลโชว์ที่ Boston หรือไม่จนหกโมงเย็นของวันและประชั้นชิดเวลาแสดงจริง เป็นการตัดสินใจที่ลำบากมาก จนสุดท้ายเธอจึงตัดสินใจให้โชว์ที่ Boston เป็นคืนสุดท้ายก่อนแคนเซิลไปอย่างไม่มีกำหนด เธอเสียใจที่พลาดโอกาสแสดงโชว์อื่น ๆ โดยเฉพาะที่ new york ที่ขายจนหมดเกลี้ยง แต่ก็ได้แต่หวังว่าทุกคนปลอดภัยจะดีที่สุด
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in