เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
Are you drug dealer? Seriously?
  • 04

     


    นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงห้าสิบนาที

     

    กอริลลาก้องกำลังนั่งอยู่ในห้องตรวจโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา

     

    ตรงข้ามผมคือคุณหมอคนเดิมนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ห้องตรวจเดิม สีขาวเหมือนเดิม มีแต่เสียงนาฬิกาเหมือนเดิมและนายก้องเกียรติที่ยังจิตป่วยเหมือนเดิม

     

    นี่คือครั้งที่สามของการพบกันระหว่างเราหมอยิ้มดีใจเมื่อเห็นว่าผมยังมีชีวิตอยู่และมาตามนัดทุกครั้ง สวัสดีก้อง หมอทักทายช่วงนี้เป็นไงบ้าง สบายดีไหม ผมไม่รู้จะตอบอะไรจึงทำเพียงพยักหน้าส่งๆ เหนื่อยจะพูดเบื่อจะเล่า ช่วยจ่ายยาแล้วปล่อยตัวกอริลลาก้องไปซักทีเถอะ

     

    การรักษาครั้งที่สองไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไหร่ผมเอาแต่ร้องไห้และไม่ยอมเล่าจนหมอต้องเรียกพี่อู๋เข้ามาแทน พวกเขาคุยนานเกือบครึ่งชั่วโมงคุยเหมือนเขาเป็นคนป่วย ส่วนผมเป็นญาติที่มารอเฉยๆ วันนั้นพี่อู๋เดินออกจากห้องตรวจด้วยสีหน้าเครียดๆแล้วบอกว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อีกผมคงต้องแอดมิทที่นี่เพราะหมอจะไม่ปล่อยให้กลับบ้าน

     

    ไม่เอาครับผมตอบเสียงแข็งร้องไห้หนักกว่าเดิมเมื่อคิดว่าต้องอยู่ร่วมกับกอริลลาตัวอื่นที่ป่วยหนักไม่แพ้กัน

    ถ้าไม่อยากแอดมิทต้องกินยาให้ตรงเวลาแล้วสัญญากับพี่ว่าก้องจะไม่ทำแบบนั้นอีก

     

    พี่อู๋ก็พูดง่าย ใครจะไปห้ามตัวเองได้วะ

     

    ดังนั้นการเจอกันครั้งที่สามของเราจึงมีเรื่องให้คุยเยอะแยะหมายถึงหมอนะ เพราะตัวผมเองไม่มีอะไรอยากพูดอยู่แล้ว แต่จู่ๆหมอก็ถามถึงแม่ แม่ที่ไม่เคยถูกพูดถึงเลยตั้งแต่กลายเป็นขี้เถ้าเมื่อหลายเดือนก่อนแม่ที่เป็นต้นเหตุของมวลความเศร้าตอนนี้

     

    ก้องสนิทกับแม่ไหม?

     

    ผมครุ่นคิดพยายามประกอบเศษความทรงจำที่ไม่ปะติปะต่อตลอดสิบเจ็ดปี แน่นอนว่าผมรู้จักแม่ตัวเองรู้ว่าแม่ชื่ออะไร รูปร่างหน้าตาแบบไหน แม่เป็นคนผิวขาว ตาสองชั้น มีลักยิ้ม ผมของแม่สีดำขลับตัวผอมลีบเหมือนจะปลิวตามแรงลมอยู่ตลอดเวลา แม่คือภาพสะท้อนของผมเวลามองกระจกแม่คือผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก และเป็นคนทำลายผมให้ย่อยยับด้วยเชือกเพียงเส้นเดียว

     

    สนิทครับ

     

    ผมตอบ แต่ยังลังเลกับคำตอบของตัวเอง

     

    ก้องรู้สึกยังไงกับแม่เหรอ?

     

    ไม่รู้

    นั่นคือคำตอบ

     

    คำถามของหมอยากเกินไปจนตอบทันทีไม่ได้สมองกลวงๆพยายามรวบรวมความรู้สึกต่างๆที่มีถึงแม่ ในหัวของผมไม่มีภาพอื่นนอกจากร่างห้อยต่องแต่งบนราวบันไดไม่มีความทรงจำดีๆที่อยากกล่าวถึง ไม่มีอะไรให้ระลึกถึงผู้หญิงที่เลี้ยงผมมาเลย

    หมอไม่กดดันเอาคำตอบแต่ก็ไม่ปล่อยผ่านคำถามนี้ไปง่ายๆเขาอดทนรอได้อย่างน่าเหลือเชื่อแม้ว่าผมจะเริ่มชัตดาวน์ตัวเองเหมือนครั้งก่อนหน้าเสียงนาฬิกาในห้องดังต็อกแต๊ก กอริลลาบางตัวเริ่มเปิดโรงละครหน้าห้องตรวจ ผมนั่งครุ่นคิดทบทวนถึงแม่ในความทรงจำแล้วก็นึกออกว่าเคยรู้สึกยังไงกับแม่

     

    แม่ -- คือฤดูฝนที่ไม่มีวันสิ้นสุดของผม

     

     


     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงสี่สิบหกนาที

     

    ผมอยู่ที่เซนทรัลปิ่นเกล้ากับพี่อู๋อีกครั้ง

     

    เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเราคุยกันเรื่องน้ำแข็งไสเขาบอกว่าหลังกินข้าวเสร็จจะพาไปกินน้ำแข็งไสที่อร่อยที่สุดในโลก(ส่วนตัวของเขา)การตะลอนกินของอร่อยๆหลังหาหมอกลายเป็นธรรมเนียมเล็กๆของเราสองคนไปแล้วสัปดาห์ก่อนเรากินเคเอฟซี อาจจะไม่แปลกใหม่ แต่ไก่ทอดถังใหญ่ก็เล่นเอาซะผมเบื่อไปหลายวันเลย

     

    วันนี้พี่จะพาไปกินซอลบิง

     

    พี่อู๋พาผมไปที่เคาน์เตอร์ร้านขายของหวานที่มีตัวอักษรเกาหลีเขียนอยู่เขายื่นเมนูให้เลือกแต่ผมไม่อยากกินอะไรจึงบอกเขาไปว่าน้ำแข็งไสก็เหมือนกันทั้งนั้นพี่อู๋สั่งเองเถอะ ผมไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ผมไม่มีสิทธิ์เลือกหรอก

     

    พี่อยากให้ก้องกินของที่ชอบ

    ผมไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษผมตอบ น้ำเสียงเนือยๆเบื่อๆอย่างทุกที

    ชอบสตรอว์เบอร์รี่ไหม?พี่อู๋ชี้นิ้วบนรูปน้ำแข็งไสโปะหน้าด้วยผลไม้สีแดงสองถ้วยที่วางอยู่ข้างกันผมอ่านชื่อเมนูในใจ

     

    ซอลบิงสตรอว์เบอร์รี่ กับซอลบิงสตรอว์เบอร์รี่พรีเมี่ยม

    มันต่างกันตรงไหนวะ

     

    มีมะม่วง เมล่อนมีบลูเบอร์รี่ชีสด้วย

     

    ผมกวาดสายตาดูเมนูคร่าวๆ แพงชิบหายน้ำแข็งไสบ้าอะไรถ้วยละสองร้อยกว่าบาท ใจผมอยากเดินออกจากร้านแทบแย่เพราะรู้สึกเข้าไม่ถึงแต่ก็รู้ว่าพี่อู๋เป็นพวกอยากกินต้องได้กิน ไม่มีอะไรหยุดปากเขาได้

     

    ปกติพี่กินอะไรครับ?

    เมล่อนเขาชี้ไปที่เมนูชื่อซอลบิงเรียลเมล่อนผมตาโตเมื่อเห็นราคา เกิดมาไม่เคยเจอน้ำแข็งไสถ้วยละเกือบสี่ร้อยมาก่อน แต่ถ้าก้องชอบสตรอว์เบอร์รี่ พี่จะสั่งให้

     

    ผมคงใช้เวลาตัดสินใจนานเกินไปจนเริ่มมีลูกค้าต่อแถวรอคิวสั่งข้างหลังพี่อู๋กดดันผมด้วยการเร่งให้เลือกไวๆสุดท้ายผมก็เลือกน้ำแข็งไสถั่วแดงและนมเพราะราคาสองร้อยกว่าบาท ถูกที่สุดในร้านพี่อู๋จะได้ไม่ต้องจ่ายเยอะด้วย

     

    พี่ไม่กินถั่วแดง

    งั้นพี่เลือกเองเลยครับ ผมถอนหายใจ ไม่รู้จะให้เลือกทำไมตั้งแต่แรก

    เอาเป็นเรียลเมล่อนก็แล้วกันครับ

     

    พี่อู๋บอกพนักงานและจ่ายเงินสี่ร้อยบาทเพื่อน้ำแข็งไสถ้วยเดียวอย่างง่ายดายผมยืนหน้าตึงอยู่ตรงเคาน์เตอร์อีกไม่กี่วินาทีจนกระทั่งพนักงานยื่นใบเสร็จให้พร้อมพลาสติกกลมๆหนึ่งอัน

     

    พอมันร้องก้องก็เดินไปเอาที่เคาน์เตอร์นะ

     

    ครับ ผมตอบ แล้วนั่งเฉยๆรอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆพร้อมกับครุ่นคิดว่าน้ำแข็งไสนี่มันวิเศษตรงไหนถึงตั้งราคาได้โหดขนาดนี้ผมเลื่อนสายตามองพี่อู๋ที่กำลังเท้าคางมองหน้าอยู่พอดีเขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมจ้องเขม็งก่อนจะถามว่ามีอะไร

     

    เปล่าครับผมปฏิเสธแค่สงสัยว่าพี่พาผมมากินของแพงทำไม

    เพราะพี่อยากให้ก้องรู้ว่าโลกนี้ยังมีของอร่อยอีกเยอะที่ก้องยังไม่ได้กิน

    ผมรู้แล้วมันได้อะไรขึ้นมากินเสร็จผมก็อยากตายอยู่ดี

    ก็จะได้มากินเป็นเพื่อนพี่อีกไง

    ทำไมพี่ไม่ชวนเพื่อนล่ะครับ? เพื่อนไม่คบเหรอ?

     

    พี่อู๋หัวเราะ ไม่ยอมบอกกว่าทำไมไม่ชวนเพื่อนแทนเด็กประสาทแดกแบบผมยังไม่ทันได้คำตอบ พลาสติกสีขาวก็แผดเสียงร้อง เขาบอกให้ผมเดินไปรับบิงซูที่เคาน์เตอร์จะได้รู้ว่าทำไมมันถึงแพง

     

    กินให้หมดนะก้องถ้าเหลือนี่เสียดายแย่

     

    ผมพยักหน้ารับ รู้อยู่เต็มอกว่ากินไม่หมดแต่ขี้เกียจพูดพี่อู๋กินน้ำแข็งไสด้วยท่าทีสบายๆเหมือนกินบ่อยผมมองเขาแล้วใช้ช้อนตักขึ้นมาหนึ่งคำเพื่อลองชิมเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆแทบจะละลายหายไปทันทีที่สัมผัสลิ้น รสชาติหวานนิดๆคล้ายนมทำให้ผมประหลาดใจจนต้องตักคำที่สอง

     

    อร่อย -- นี่คือน้ำแข็งไสที่อร่อยโคตรๆสมคำโม้ของพี่อู๋

     

    ผมฉวยโอกาสตอนพี่อู๋ก้มหน้าก้มตากินใช้นิ้วแตะเกล็ดน้ำแข็งบนช้อนมันเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวทันทีแค่โดนความร้อนจากปลายนิ้ว  แถมยังเนียนนุ่มเหมือนสำลี น้ำแข็งไสถ้วยนี้ต่างจากที่เคยกินอย่างสิ้นเชิงผมไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้เวลามันละลายหายไปในปาก เบาบางเหมือนสายไหมแต่ไม่หวานแสบคอผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่อู๋ถึงชอบ เพราะบิงซูมันอร่อยแบบนี้นี่เอง

     

    คราวหน้าเรากินสตรอว์เบอร์รี่ดีไหม?ก้องจะได้ลองของใหม่ๆบ้าง

    ครับ

     

    เป็นครั้งแรกที่ผมตอบพี่อู๋ว่าจะมากินอีกน้ำแข็งไสนี่น่าประทับใจชะมัด ไม่รู้เป็นเพราะความอร่อยหรือเศษเสี้ยวความทรงจำขาดวิ่นที่ทำให้ผมพูดแบบนั้นออกไป

     

    ราดน้ำแดงเยอะๆนะแม่

     

    แม่ในความทรงจำพยักหน้า ใช้ยางรวบผมเป็นหางม้าก่อนจะบอกคนขายให้ราดเฮลซ์บลูบอยเยอะๆตามคำขอ  

     

    ซีกนึงเป็นน้ำแดงอีกซีกเป็นมะลิได้ไหมก้อง?

    ก็ได้

     

    เด็กชายก้องเกียรติตอบแม่ยิ้มที่ผมไม่งอแงเอาแต่ใจก่อนเราจะเดินถือถ้วยพลาสติกที่มีน้ำแข็งไสราดน้ำแดงกับน้ำมะลิกลับบ้านด้วยกัน

     

    มันละลายจนจะหกแล้วก้องดูดหน่อยเร็ว

     

    แม่ยื่นหลอดเล็กๆที่คนขายเสียบบนน้ำแข็งมาให้ผมรับมันไปดูดอึกๆ รสชาติของเฮลซ์บลูบอยหวานจนแสบคอ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังชอบกินอยู่ดี

     

    ก้องไม่ชอบรสมะลิเลยแม่

    งั้นคราวหน้าแม่ซื้อแยกก็ได้ก้องถ้วยนึง แม่ถ้วยนึง

     

    ผมยิ้ม เงยหน้ามองแม่

     

    แม่ ก้องอยากกิน -- ”

     

    บทสนทนาของเด็กชายก้องเกียรติกับแม่หยุดลงแค่นั้นเพราะสัมผัสอุ่นๆจากมือพี่อู๋เรียกให้กลับมาอยู่ในร้านซอลบิงผมกระพริบตา มองหน้าผู้ชายที่สร้างความทรงจำกับน้ำแข็งไสขึ้นมาซ้อนทับของแม่ด้วยความงุนงง

     

    เป็นอะไรหรือเปล่า?ทำไมถือช้อนค้างไว้แบบนั้น?

     

    ผมไม่ตอบนอกจากตักเกล็ดหิมะสีขาวเข้าปากอีกคำพี่อู๋ไม่สบายใจเมื่อเห็นผมหลุดหายไปช่วงหนึ่ง แต่ผมก็เป็นแบบนี้ ผมมักจะหายไปเหมือนถูกชัตดาวน์เพราะการมีอยู่ของแม่เริ่มปรากฎชัดขึ้นมันดูดผมกลับไปช่วงเวลาหนึ่งเหมือนไทม์แมชชีน พาผมไปเจอภาพเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆบทสนทนาที่เก่าๆเราเคยคุย แต่สุดท้ายแม่จะปล่อยผมให้กลับมาเผชิญโลกแห่งความจริงคนเดียวแม่ไม่ได้ตามมาด้วย แม่ทิ้งผมไว้กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อจริง

     

    พี่อู๋ไม่มีอะไรเหมือนแม่ ทั้งหน้าตานิสัยและคำพูด แต่บางครั้งผมรู้สึกเหมือนเขาคือหุ่นเชิดที่มีแม่คอยชักใยอยู่ข้างบนเหมือนแม่กำลังกระซิบอยู่ข้างหูของเขา สั่งให้ทำนั่นทำนี่อย่างเอาแต่ใจผมมองหน้าพี่อู๋ มองผู้ชายที่น่าจะแก่กว่าหลายปีด้วยความสงสัยว่าเขาคือใครไปหาผมที่สะพานได้ไง แล้วทำไมต้องหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนแปลกหน้าอย่างผมด้วย

     

    พี่อู๋อายุเท่าไหร่ครับ?

    รู้จักกันมาสองเดือนกว่าเพิ่งคิดจะถามเหรอก้อง?พี่อู๋ประชด แต่ใบหน้ายิ้มแป้นราวกับรอคำถามนี้มานานไม่กี่เดือนพี่ก็สามสิบเอ็ดแล้ว

    พี่เกิดเดือนอะไร?

    พฤศจิกา พี่เกิดหกพฤศจิกาเขาตอบ ก้องจะให้ของขวัญพี่ใช่ไหม?

    ผมอยู่ไม่ถึงตอนนั้นหรอกเดี๋ยวผมก็ตายแล้ว

    แต่ก็ยังไม่ใช่วันนี้อยู่ดีพี่อู๋ยักไหล่

    พี่ทำแบบนี้ทำไมครับ?

    ทำอะไรเหรอ?

    เอาเงินมาทิ้งกับคนตาย

    พี่ไม่ได้ซื้อโลงให้ก้องซะหน่อยจะบอกว่าเอาเงินมาทิ้งกับคนตายได้ไง

     

    กวนตีน

     

    ผมคิด แต่ไม่ได้พูดเพราะยังอยากกินน้ำแข็งไสอีก

     

    พี่อู๋ทำงานอะไรครับ?

    ตอนนี้ตกงานอยู่ เพิ่งลาออกวันที่โทรหาก้องไง

    พี่ลาออกเพราะผมเหรอ?

    เปล่า พี่เกลียดนายญี่ปุ่นพี่อู๋แค่นหัวเราะ สีหน้าอาฆาตแค้นเริ่มปรากฏให้เห็นเขาคงเกลียดมากจริงๆ ถึงขนาดสับเมล่อนออกเป็นชิ้นเละๆ

    งั้นพี่อย่ามาหาผมเลย เปลืองเงินเปล่าๆพี่ควรเก็บเงินไว้เผื่อว่างยาวนะ

    ก้อง พี่อายุสามสิบเอ็ดแล้วพี่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรเขาเขกหัวผมมันเจ็บจนต้องเอามือลูบป้อยๆ อีกอย่างงานพี่หาง่ายแค่สมัครก็โดนเรียกแล้ว

    พี่เคยทำงานอะไรเหรอครับ?

    ขายโคเคน

     

    เชี่ย -- พูดจริงเหรอวะ

     

    ไม่เอะใจเลยเหรอว่าทำไมพี่มีเงินมีเวลามาเลี้ยงก้องขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพราะขายยารู้ไหมว่าค่าบิงซูถ้วยนี้ก็ได้มาเพราะโคเคนนะ

     

    ผมอ้าปากค้างมือไม้อ่อนปวกเปียกจนช้อนหล่นบนโต๊ะดังเคร้ง

     

    อย่าบอกใครล่ะพี่อู๋โน้มตัวมากระซิบ พี่เอาล็อตใหญ่มาส่งที่นี่ด้วยเดี๋ยวจะมีผู้ชายมารอที่แมคโดนัล ก้องต้องเป็นคนเอากระเป๋าไปให้เขา ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่พี่เลี้ยงของอร่อยๆก็แล้วกันนะ

     

     



     

     


    นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงห้าสิบแปดนาที

     

    ไม่มีโคเคน ไม่มีเด็กส่งยาไม่มีเจ้าพ่อมาเฟียหรือผู้ชายหน้าไหนมารอที่แมคโดนัลทั้งนั้นเพราะไอ้พี่อู๋โกหกและตอนนี้คนขี้โกหกก็พากอริลลาก้องมาพบหมอเป็นครั้งที่สี่แล้ว

     

    หน้าห้องตรวจยังคงเต็มไปด้วยกลุ่มกอริลลาเหมือนเดิมใบหน้าเฉยชาแสดงออกว่าเบื่อเหมือนเดิม ผมเคยคิดอยากสงเคราะห์ด้วยการเข้าตรวจแค่ห้านาทีเพื่อให้คนถัดไปได้พบหมอเร็วขึ้นแต่ไม่เคยสมหวังหมอไม่ปล่อยผมออกมาง่ายๆ เขาจะคุยขิงคุยข่า คุยถึงปลาในน้ำ ถึงนกบนฟ้า ถึงอะไรก็แล้วแต่จนกระทั่งผมระบายความอึดอัดออกมาเองด้วยความสมัครใจ

     

    เป็นไงบ้างก้อง? ดีขึ้นไหม?

     

    กอริลลาก้องยกมือไหว้คุณหมอตอบคำถามไปว่า ดีครับ นอนหลับสนิทครับ เริ่มอยากกินโรตีสายไหมแล้วครับ วันก่อนได้กินน้ำแข็งไสยี่ห้อบิงซูด้วยครับ

     

    ดีจัง พี่อู๋พาไปกินเหรอ?

    ครับ

    น้ำแข็งไสอร่อยไหม?

    อร่อยครับ

    น้ำแข็งไสของก้องราดน้ำอะไร?

    เฮลซ์บลูบอยสีแดงครับ

     

    ผมตอบแล้วนิ่งเงียบ เพราะรู้ตัวว่าไม่พูดถึงน้ำแข็งถ้วยที่พี่อู๋พาไปกินเมื่อสัปดาห์ก่อนเหมือนหมอก็รู้ว่าผมกำลังถูกดึงกลับไป เขาจึงนั่งฟังอย่างตั้งใจมองด้วยแววตาไร้อารมณ์เพื่อไม่ให้ผมคิดว่าสิ่งที่จะเล่าคือเรื่องน่าเวทนาแต่อย่างใด

     

    ผมชอบกินน้ำแข็งไสตอนเด็กๆแม่ซื้อให้กินบ่อยครับ

     

    หมอไม่ถามต่อ ยังคงรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

     

    แม่จะซื้อแค่ถ้วยเดียวเพราะผมไม่เคยกินหมดครึ่งหนึ่งราดน้ำแดง อีกครึ่งราดน้ำมะลิ แม่ชอบรสมะลิ น้ำแข็งไสของเราก็เลยเป็นสองสีมีเวเฟอร์แบบแท่งรสช็อกโกแลตปักอยู่ข้างถ้วย มีเยลลี่ มีลูกชิดที่แม่ชอบ

     

    ผมคิดถึงขวดแก้วใสใบใหญ่ๆคิดถึงเวเฟอร์แบบแท่งในถังปี๊บ คิดถึงรสชาติหวานชื่นใจของเฮลซ์บลูบอย คิดถึงก้อนน้ำแข็งที่วางอยู่บนแท่นไม้คิดถึงเสียงกระดิ่งของรถขายน้ำแข็งไส คิดถึงหางม้าของแม่ คิดถึงเสื้อสีขาวตัวเก่งของแม่คิดถึงเสียงของแม่ คิดถึง --

     

    ผมคิดถึงแม่

     

    ผมอ่อนแออีกแล้ว

     

    ผมไม่เข้าใจว่าแม่ทำแบบนี้ทำไม

     

    ไม่มีจดหมายบอกลา ไม่มีคำสั่งเสียไม่มีอะไรเลยนอกจากเชือกเส้นใหญ่ที่เหลือไว้เป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงแม่จากไปโดยไม่บอกเหตุผล ไม่เคยอธิบายว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าเจอเรื่องอะไรถึงตัดสินใจแบบนั้นแม่ไม่เคยพูด และนั่นทำให้ผมค้างคามาก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ทำเหมือนเราไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน

     

    ผมร้องไห้หนักขึ้นจนหมอต้องส่งทิชชู่ให้ผมดึงออกมาหนึ่งแผ่นเพื่อเช็ดน้ำตา แต่มันขาดยุ่ยจนต้องหยิบแผ่นที่สอง แผ่นที่สามแผ่นที่สี่ ผมหยุดดึงทิชชู่แล้วสะอื้น ในห้องไม่ได้มีแค่เสียงนาฬิกาหรือเสียงร้องโวยวายของกอริลลาหน้าห้องตรวจอีกแล้วแต่ยังมีเสียงคร่ำครวญของก้องเกียรติด้วย

     

    แม่คือฤดูฝนสำหรับผมผมเงยหน้าบอกหมอ พูดไปสะอึกไปเพราะหายใจไม่ออก ผมไม่เคยเข้าถึงแม่เลย

     

    ในความทรงจำแม่เหมือนเมฆฝนที่ก่อตัวขึ้นในบ้าน บรรยากาศอึมครึมเย็นๆไร้ชีวิตชีวาสีหน้าท่าทางเฉยชาราวกับเบื่อนักหนาและอยากไปให้พ้นๆจากตรงนี้ แต่ถึงแบบนั้นแม่ก็ไม่เคยเลี้ยงผมแบบทิ้งๆขว้างๆแม่ส่งผมเรียนหนังสือ ซื้อของดีๆให้ใช้เมื่อมีโอกาส แม่ทำหน้าที่อย่างดีมาตลอดสิบเจ็ดปีจนกระทั่งวันสุดท้ายและวันนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีกับแม่

     

    ผมรักแม่ แต่ผมก็เกลียดแม่

     

    ผมบอกหมอ

     

    ตอนนี้ผมเกลียดแม่ที่ทิ้งกันแบบไม่ลาผมเกลียดแม่ที่เห็นแก่ตัว เกลียดจนไม่อยากพากลับบ้าน หลังวันเผาผมพาแม่ไปลอยอังคารโปรยกระดูกของแม่ลงน้ำ ไม่แบ่งใส่โกศ ไม่ฝากคอนโดวัดอย่างที่คนอื่นแนะนำในเมื่อแม่อยากไปก็ไป ไปให้ไกลแล้วไม่ต้องกลับมา ไม่ต้องอยู่บ้านคอยตอกย้ำให้ผมเสียใจไม่ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว ไปเลย!”  

     

    ผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆอีกครั้งเมื่อพูดถึงแม่ความเข้มแข็งที่เคยมีสลายหายไปในพริบตาเพียงแค่ได้บอกใครซักคนว่าผมโกรธแม่มากขนาดไหนผมรู้ว่าการพูดว่าเกลียดแม่คงดูไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่ แต่หมอไม่ว่าอะไรเลย เขาไม่บอกว่าห้ามโกรธแม่ไม่ตำหนิที่ไม่เก็บอัฐิของแม่ไว้ในบ้าน หมอยังคงเป็นผู้ฟังที่ดีไม่แสดงออกว่าสมเพชเวทนานายก้องเกียรติเลยซักนิด

     

    ก้องโกรธแม่ได้นะก้องเป็นคนธรรมดา ก้องมีชีวิตมีจิตใจ มีความรู้สึก ก้องก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกันเขาพูดทั้งๆที่ผมยังสะอึกสะอื้นไม่หยุดง่ายๆ ก้องบอกว่าไม่ได้เก็บอัฐิกลับบ้านเพราะอยากให้แม่ไปไกลๆแต่รู้ไหมว่าก้องกำลังล่ามแม่ไว้ ก้องไม่ได้ปล่อยแม่ไปอย่างที่พูดเลย

     

    แล้วผมต้องทำยังไง ผมถามหมอซ้ำๆผมบอกเขาว่าผมเหนื่อย ผมเบื่อ ผมเกลียดที่ชีวิตตัวเองพังเพราะแม่ เกลียดความรู้สึกทั้งรักทั้งชังที่มีต่อแม่เกลียดความโดดเดี่ยว เกลียดที่ทุกอย่างล้มหมดเพราะความเห็นแก่ตัวของแม่ผมเกลียดที่แม่ตายไปหลายเดือนแล้วแต่บ้านก็ยังมีแม่อยู่ บันไดยังมีเชือกบนหมอนยังมีเส้นผมของแม่ ในตู้เสื้อผ้าก็มีชุดตัวโปรดของแม่ แม่ไม่เคยหายไปจากชีวิตผมจริงๆเสียที

     

    หมอรู้ว่าก้องเสียใจก้องโกรธแม่ได้ เกลียดแม่ได้ แต่อย่ายอมให้แม่ทำลายชีวิตที่เหลือของก้องนะ

    ผมไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร

    เพื่อแก้ไขสิ่งที่แม่ทำเอาไว้ไงหมอพูดอย่างใจเย็น ก้องบอกว่าแม่ทำให้ก้องไม่ได้สอบโอเน็ตก้องไม่ได้เรียนมหาลัยเพราะแม่ งั้นปีหน้ามาเริ่มกันใหม่ดีไหม?โอเน็ตมีจัดสอบทุกปีไม่ใช่เหรอ หมอเคยดูข่าวนะ ผ้าปูโต๊ะสีฟ้าไง

    มันสอบได้แค่คนละครั้งครับครั้งเดียวในชีวิต ถ้าไม่สอบปีนี้ก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวแล้ว

    กระทรวงศึกษาคงไม่ใจร้ายกับเด็กที่เข้าสอบไม่ได้เพราะเหตุสุดวิสัยหรอกยังไม่ลองถามแล้วจะรู้ได้ไงว่าสอบใหม่ไม่ได้งั้นเอาเป็นว่าวันนี้หมออยากให้ก้องทำสองเรื่อง หนึ่งคือโทรถามหน่วยงานที่จัดสอบว่าสามารถเข้าสอบใหม่ปีหน้าได้ไหมและสอง -- ปล่อยแม่ไป

     

    เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วยื่นกระดาษกับปากกามาให้หนึ่งแท่ง

     

    หมอให้กระดาษกับปากกาไว้เขียนจดหมายบอกลาแม่จดหมายฉบับสุดท้ายถึงแม่จากก้องเกียรติ

     

    ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลาหมอบอกว่าการได้เขียนระบายคือการปลดปล่อยภาระใจที่ดีที่สุดในเมื่อสิ่งที่ยังขมวดเป็นปมคือการวนเวียนคิดถึงแม่ที่ไม่ได้เขียนจดหมายลา งั้นผมก็ควรเป็นฝ่ายเขียนแทนและถ้าเป็นไปได้หมออยากให้ผมมีไดอารี่ของตัวเองซักเล่ม แต่จะไม่มีก็ได้หมอไม่เคยฝืนใจกอริลลาก้องอยู่แล้ว

     

    ต้องบอกลาแบบไหนครับ?

    ยังไงก็ได้

    เขียนอะไรก็ได้เหรอครับ?

    อะไรก็ได้หมอยืนยันทุกอย่างที่ก้องอยากบอกแม่ เขียนลงไปได้เลย

     

    ผมกัดปากก้มมองกระดาษสีขาวกับปากกาด้วยความตื้อตัน การร้องไห้เมื่อครู่ทำเอาหมดแรงจนอยากกลับบ้านไปพักผ่อนผมถามหมอว่าไว้วันหลังได้ไหมเพราะวันนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะบรรยายความรู้สึกอะไรแล้วโชคดีที่เขาตอบว่าได้ เพราะถ้าคำตอบออกมาตรงข้าม กอริลลาก้องจะลงไปนอนแผ่บนพื้นแน่นอน

     

     อาทิตย์หน้าเรามาคุยกันใหม่นะหมอมีเวลาฟังก้องทั้งวัน

     

    ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำว่าทั้งวันหมอพูดแบบนั้นโดยไม่คิดถึงกอริลลาหน้าบูดที่กำลังนั่งรอตรวจข้างนอกเลย หมอซักถามอาการทั่วไปอีกนิดหน่อยแล้วอนุญาตให้กลับบ้านผมยกมือไหว้ บอกเขาว่าขอบคุณครับ ก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจโดยมีกระดาษเปล่าและปากกาติดมือมาด้วย

     


     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเจ็ดนาที

     

    วันนี้พี่อู๋อยู่กับผมทั้งวัน เขาพาตะลอนทั่วห้างเหมือนเดิมก่อนจะจบที่โรงหนังและจ่ายเงินซื้อป็อปคอร์นถังใหญ่แค่เพราะเห็นว่ามันสวยผมเลิกถามเขาแล้วว่าพาผมมาเที่ยวทำไม ซื้อของให้กินทำไม จ่ายเงินค่าตั๋วหนังทำไม เพราะถามไปเขาก็ไม่ตอบ

     

    คำถามพวกนั้นเป็นยิ่งกว่าคำถามเชิงปรัชญาที่ซับซ้อนและหาคำตอบไม่ได้พี่อู๋ไม่เคยบอกเหตุผล เขาพูดแค่ว่าตัวเองโตพอที่จะบริหารชีวิตได้ นายก้องเกียรติน่ะเงียบไปเลยมีหน้าที่กินก็กิน ซื้ออะไรให้ก็รับไว้ ไม่ต้องถามมากเดี๋ยวทิ้งไว้กลางร้านอาหารให้ล้างจานเองซะเลย

     

    พี่อู๋คงรู้เรื่องผมจากหมอแล้วเขาหายเข้าไปในห้องตรวจตั้งหลายนาทีจนกอริลลาตัวหนึ่งถอนหายใจเพราะกอริลลาก้องกินเวลาของหมอไปเกือบชั่วโมงผมรู้สึกขอบคุณที่เขาไม่ถามและยิ่งขอบคุณมากๆที่เขาปล่อยให้ผมเลื่อนลอยอยู่พักใหญ่ในโลกส่วนตัวก่อนจะดึงกลับมาด้วยการพาไปดูหนังและโค้กแก้วยักษ์หนึ่งใบ

     

    ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ เพราะสมองของผมเอาแต่คิดถึงคำพูดของหมอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

     

    หมอบอกว่าผมสามารถรักแม่ไปพร้อมๆกับโกรธแม่ได้ผมเลือกที่จะลืมแม่โดยไม่ต้องรู้สึกผิดได้ ผมเป็นฝ่ายบอกลาแม่เองก็ได้เพราะนี่คือชีวิตของผม คือความรู้สึกนึกคิด คือหัวใจที่แหลกสลาย คือแก้วแตกๆที่ถูกทากาวเป็นร้อยครั้งและผมควรทำทุกอย่างเพื่อรักษาความรู้สึกตัวเองก่อน

     

    รักตัวเองก่อน หมอบอกและอย่าคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ในเมื่อย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ก็ปล่อยให้แม่เป็นความทรงจำดีๆของก้องดีกว่าเนอะ

     

    คำพูดของหมอช่วยได้เยอะมาก ผมตั้งใจว่าจะกลับไปเขียนจดหมายที่บ้านเพราะคืนนี้พี่อู๋ไม่ได้ไปส่งดูเหมือนเขามีธุระด่วนที่ต้องพาใครซักคนไปโรงพยาบาล แต่พี่อู๋ก็ยังเป็นคนเดิม ไม่เคยปล่อยให้ผมลำบากเขาเรียกแท็กซี่ ยัดธนบัตรสีม่วงใส่มือผม และพูดขอโทษที่ไปส่งไม่ได้

     

    ผมอยากถามพี่อู๋ว่าขอโทษทำไม เพราะการดูแลเด็กจิตป่วยไม่ใช่หน้าที่ของเขาด้วยซ้ำ

     

    มีเรื่องด่วนนิดหน่อย ถึงบ้านแล้วโทรบอกพี่ด้วยนะ

     

    ผมพยักหน้า ขานรับว่าครับแล้วขึ้นแท็กซี่อย่างว่าง่ายผมแอบเอี้ยวตัวไปดูพี่อู๋ที่ยืนอยู่ข้างหลัง เขากำลังมองมาที่แท็กซี่เหมือนกันก่อนจะวิ่งหายกลับเข้าไปข้างในเมื่อรถขับไปไกลพอสมควร

     

    การจราจรตอนสองทุ่มไม่คับคั่งเหมือนช่วงเลิกงานผมคิดว่าน่าจะถึงบ้านภายในสิบห้านาทีแต่มันกินเวลานานกว่านั้น รถติดยาวตรงสี่แยกก่อนจะถึงบ้านประมาณสามกิโลคนขับถอนหายใจเมื่อต้องค้างเกียร์ไว้ที่ตัวเอ็นเกือบสิบนาทีแล้ว แต่รถแทบไม่ขยับเลย

     

    น้องลงตรงนี้ได้หรือเปล่ารถติดมาก พี่กลัวเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้

     

    ผมตอบว่าครับแล้วส่งเงินให้ ค่าโดยสารทั้งหมดหนึ่งร้อยสิบห้าบาทเขาไม่มีเหรียญห้าเลยถามว่าปัดเป็นร้อยยี่สิบได้ไหม

     

    ผมมีสิบห้าบาทครับ

     

    ผมบอกแล้วล้วงเอาเศษเหรียญบาทที่อยู่ก้นกระเป๋าออกมานับแอบเห็นคนขับแท็กซี่ทำหน้าเซ็งๆด้วย ผมอยากถามเขาว่าจะเซ็งทำห่าอะไร ไม่ส่งถึงบ้านยังพอว่าแต่งุบเงินพี่อู๋ห้าบาทนี่ยอมไม่ได้

     

    เมื่อนับเงินครบผมก็ลงจากรถเก็บเงินสี่ร้อยบาทไว้คืนพี่อู๋พรุ่งนี้ ระหว่างเดินกลับบ้านผมได้กลิ่นแปลกๆเป็นกลิ่นควันไหม้ๆที่ไม่รู้ว่ามาจากตรงไหน ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าตามสัญชาติญาณมีควันสีดำลอยอัดแน่นเป็นมวลขนาดใหญ่ ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม ผมรู้ตัวการที่ทำให้รถติดแล้วไฟไหม้นี่เอง

     

    เสียงรถมูลนิธิวิ่งผ่านผมไปสองคันติดๆก่อนจะตามมาอีกคัน และอีกคันเสียงหวีดเล็กแหลมของไซเรนดังเข้าโสตประสาทจนเริ่มสงสัย รถดับเพลิงคันใหญ่เพิ่งวิ่งผ่านผมไปคราวนี้ผมหยุดเดิน พยายามมองรอบตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คนจับกลุ่มกันยืนเต็มฟุตปาธจนผิดสังเกตผมบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรหรอก คงเป็นบ้านใครซักคนที่อยู่แถวนี้แต่เมื่อรถดับเพลิงคันที่สองเปิดไซเรนขับผ่านไปแล้วเลี้ยวขวาตรงสุดถนน ผมก็เริ่มใจไม่ดี

     

     เพราะนั่นคือทางไปซอยบ้านผม

     

    มีลุงคนหนึ่งปั่นจักรยานมาด้วยสีหน้าตื่นๆเขาตะโกนตลอดทางว่า ไฟไหม้! ไฟไหม้! จนผมต้องรีบหยุดรถของเขา

     

    ไฟไหม้ที่ไหนเหรอครับ?

     

    ผมถามเริ่มลนลานเมื่อเห็นรถดับเพลิงวิ่งเข้าซอยไปเป็นคันที่สาม เสียงไซเรนซ้อนประสานกันจนปวดหูผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าทั้งสามคันคงจอดอยู่ไม่ไกล แต่ก็ยังหวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่กลัวต้องไม่ใช่บ้านของผม ไม่ใช่บ้านผม

     

    ชุมชนท้ายซอยอ่ะน้องบ้านเราอยู่แถวนั้นหรือเปล่า รีบไปดูเร็ว

     

    ผมแทบเป็นลม เพราะชุมชนท้ายซอยที่เขาว่าคือบ้านของผมเอง









    #เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in