22
พี่อู๋รวย ผมรู้ ครอบครัวเขาค่อนข้างมีฐานะ ผมรู้ แต่การเอ่ยปากยืมเงินเขาเพื่อเรียนมหาวิทยาลัย ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่
ผมอยู่ภาคใต้มาสองวันแล้ว เป็นการอยู่บ้านที่ไม่ต่างจากอยู่ลาดพร้าวเพราะสุดท้ายเราก็ตัวติดกันแค่สองคนอยู่ดี ญาติคนอื่นๆกระจัดกระจายไปตามห้องต่างๆ คุณแม่นั่งร้อยลูกปัดเป็นของขวัญปีใหม่ในห้องนั่งเล่น ปะป๊านอนดูรายการข่าวจนหมดวัน ป้าอ้อยทำงานบ้านซ้ำๆซากๆ แกขยันทำความสะอาดมากกว่าอยู่เฉยๆ เดี๋ยวยกนั่นยกนี่ เดี๋ยวซักผ้า ซักเครื่องนอนให้คนในบ้าน
ส่วนแน --
ถ้าไม่ถึงมื้ออาหาร แนแทบจะไม่ลงมาข้างล่างเลย
ด้วยอายุและน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างเยอะ ผมเข้าใจว่าการขึ้นลงบันไดสามชั้นคงเป็นเรื่องลำบาก ถ้าไม่มีเสียงร้องของลูกเจ๊ออมดังมาจากห้องข้างๆ ผมคงคิดว่าเราอยู่โรงแรมเพราะมีคนเดินเต็มบ้านแต่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่พวกเขาต่างมีธุระส่วนตัวที่ต้องทำ เล่นอินเทอร์เน็ตบ้าง คุยโทรศัพท์บ้าง ทำงานจากแล็ปท็อปบ้าง แม้แต่พี่อู๋กับนายก้องเกียรติยังหากิจกรรมที่ตัวเองอยากทำแทนที่จะไปเล่นกับลูกพี่ลูกน้องเลย
“พ่อแม่พวกมันก็มา ไม่ต้องสนใจหรอก คงอยู่กันได้แหละ” พี่อู๋นอนบิดขี้เกียจบนเตียงหลังสวาปามมื้อเช้าชุดใหญ่ที่ป้าอ้อยเตรียมให้ “วันก่อนคุยกับสมาร์ทเยอะเลยนี่”
“ครับ”
“คุยเรื่องอะไรบ้างเหรอ?”
“ก็ทั่วๆไป” ผมเลี่ยงการพูดถึงกยศ. “สมาร์ทให้ผมดูพีเอสพีด้วย”
“พี่ซื้อให้ เอาหรือเปล่าล่ะ?”
ผมส่ายหน้า พอได้คำตอบเป็นการปฏิเสธ พี่อู๋ยิ้มดีใจใหญ่เลย คิดว่าผมจะขอล่ะสิ ไม่มีทางหรอก ของฟุ่มเฟือยแบบนั้นถ้าไม่มีเงินเก็บเองผมไม่เล่นดีกว่า
“ดีแล้ว พี่ไม่อยากให้ก้องติดเกมเหมือนพวกไอ้พวกสอเสือ”
“สามเสือติดเกมตั้งแต่เด็กเลยเหรอครับ?” ผมถาม นึกสงสัยจริงๆว่าติดเกมขนาดนี้ทำไมถึงเรียนได้ดิบได้ดีทุกคน
“เด็กมันหัวดีอ่ะ ยิ่งพ่อแม่สนับสนุนเต็มที่อีกก็ยิ่งไปไกล”
นั่นคือความจริง และเป็นความจริงที่น่าเจ็บใจชะมัด ต่อให้เรียนเก่งขนาดไหน ถ้าไม่มีคนสนับสนุนก็ไปได้ไม่ไกลหรอก ผมเห็นมานักต่อนักแล้ว เด็กบางคนอยากเรียนต่อแต่ที่บ้านส่งไม่ไหวก็ต้องยอมรับทุนคณะที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อให้ได้ปริญญา ถ้าเด็กเก่งๆพวกนั้นมีทุนเหมือนสามทหารเสือนะ ป่านนี้คงเป็นหมอ เป็นด็อกเตอร์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนายพลนายกไปแล้วก็ได้
“คุยอะไรกับสมาร์ทอีกบ้าง?”
“ไม่ค่อยคุยเยอะ ผมไม่รู้จะพูดอะไร”
“เหรอ?” พี่อู๋ทำเสียงเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “พี่เห็นก้องคุยกับมันตั้งนาน ก็เลยงงว่ามีเรื่องอะไรให้คุย”
“เราคุยกันเรื่องก๋งด้วย”
“เหรอ?”
“ครับ”
ผมตอบแค่นั้น ปิดบทสนทนา กอริลลาก้องขอเชิญคุณก๋งออกจากห้องก่อนที่ผู้ปกครองของผมจะเศร้าอีกนะครับ
☁
วันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม
บ้านพี่อู๋มีธรรมเนียมกินอาหารทะเลด้วยกันในวันสิ้นปี และปีนี้คือปีแรกที่นายก้องเกียรติได้นั่งร่วมโต๊ะฉลองปีใหม่กับคนแปลกหน้า พวกเขาแยกย้ายกันขับรถออกนอกตัวเมือง ผ่านสองข้างทางที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากทุ่งนาโล่งๆกับวัว
อ้อ -- ผ่านทัชมาฮาลสีทองหลังใหญ่ด้วย
แต่พี่อู๋บอกว่านั่นไม่ใช่ทัชมาฮาล นั่นคือมัสยิด เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของคนมุสลิมต่างหาก
“ใหญ่เหมือนวังเลยครับ”
ผมยังเหลียวหลังมองแม้ว่ารถจะขับผ่านมาไกลแล้ว ขับได้อีกซักระยะผมก็เจอมัสยิดอีก พี่อู๋บอกว่าแถวนี้เป็นชุมชนมุสลิม ที่ใส่หมวกกับสวมชุดคลุมยาวๆก็คือชาวมุสลิมทั้งนั้น ผมถามผู้ปกครองว่าคนที่นี่เขาไม่ตีกันเหมือนข่าวในทีวีเหรอ พี่อู๋หัวเราะใหญ่
“อยู่กันได้ปกตินะ คนไม่ดีก็คือคนไม่ดีอ่ะ นับถือศาสนาอะไรไม่น่าจะเกี่ยว เพราะขนาดพี่เป็นคริสเตียน พี่ยังเป็นคนเหี้ยได้เลย”
“ผมคิดว่าพี่เป็นพุทธ เมื่อวันเกิดพี่เพิ่งพาผมไปตักบาตรเองนะ”
“ก้องตักไง พี่ไม่ได้ตัก”
“แต่ผมเห็นพี่นั่งพนมมือในงานศพนักการเมืองด้วย”
“เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” พี่อู๋เปิดไฟเลี้ยวเตรียมกลับรถ “ก้องก็เหมือนกัน มาอยู่ครอบครัวพี่ ต้องทำตัวให้เนียนนะรู้ไหม”
“เนียนยังไงครับ?”
“กินให้เยอะ เล่นให้เยอะ” เขาบอก “แล้วก็ต้องยิ้มเยอะๆด้วยนะ ยิ้มตลอดเวลาเหมือนเพิ่งพี้กัญชายิ่งดี”
ผมหัวเราะแล้วด่าพี่อู๋ว่าบ้า กัญชาไม่ได้หาง่ายๆเสียหน่อย พอกลับรถ เราก็เลี้ยวเข้าถนนแคบๆทางซ้ายมือ สองข้างทางไม่มีอะไรเลยนอกจากป่ามะพร้าวกับรถมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้าน ขับตรงไปอีกนิดก็ถึงร้านอาหารที่มีรอจอดไม่เป็นระเบียบ แทรกตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง มั่วไปหมด พี่อู๋บอกว่าที่จอดแบบนี้เพราะหลบต้นมะพร้าว ไม่งั้นรถบุบ ต้องเสียค่าเคาะทำสีใหม่กันหลายพันแน่ๆ
“ถึงแล้ว ไปกินข้าวกัน”
ผมมองผ่านหน้าต่างรถเห็นกระท่อมหลังคามุงจากวางเรียงเป็นแถว มีอาคารหลังใหญ่หนึ่งหลัง เป็นอาคารสี่เหลี่ยมหลังคาหน้าจั่วธรรมดาๆที่เปิดโล่งสามด้านให้ลมโกรก ข้างในมีเด็กเสิร์ฟใส่ชุดโปโลสีเหลืองเดินกันให้ทั่ว พวกเขากำลังง่วนกับการจัดสถานที่ ร้านอาหารช่วงปีใหม่นี่คึกคักดีจริงๆ
“ก้องอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
พี่อู๋ถามขณะล็อครถ เตรียมตัวเดินเข้าร้านโดยมีญาติคนอื่นๆตามมาสมทบ ผมนึกคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง แต่คิดอะไรไม่ออก เลยบอกเขาว่าอยากกินข้าวไข่เจียวหมูสับครับ
“มาถึงทะเลจะกินแค่ไข่เจียวได้ไง” พี่อู๋ดึงนายก้องเกียรติมากอดคอแล้วยีหัวจนเสียทรง “ทอดมันกุ้งไหม? ปูไข่นึ่งนมสดไหม? หรือปลาหมึกนึ่งมะนาว?”
“อะไรก็ได้ครับ”
“งั้นก็ลองกินมันทุกอย่างเลยเนอะ”
เราเดินจนถึงอาคารโปร่งที่มีโต๊ะยาวรออยู่ กติกาเดิมของครอบครัวนี้ก็คือใครจะนั่งตรงไหนก็ได้ ดังนั้นเราจึงเห็นสมาร์ทนั่งหัวโต๊ะเหมือนเป็นประธานในพิธี ญาติคนอื่นๆนั่งติดกับลูกๆของตัวเองแบ่งเป็นฝักฝ่าย ส่วนผมนั่งปลายโต๊ะ มีพี่อู๋ขนาบซ้าย ทางขวาคือหมาจรจัดที่มารอกินอาหาร มันนั่งยิ้มลิ้นห้อยราวกับรู้ว่าวันนี้จะได้กินของดี
“อย่าให้อาหารมันนะคะ เดี๋ยวมันเป็นโรคไต”
เด็กเสิร์ฟในร้านเตือน เธอบอกว่าไม่ต้องสงสารมัน ไอ้ตัวนี้อยู่ดีกินดีกว่าลูกจ้างอย่างเธอเสียอีก เราหัวเราะเล็กน้อยก่อนเริ่มฉลองวันส่งท้ายปี โชคดีที่พวกเขาสั่งไว้ล่วงหน้าแล้วเลยไม่ต้องรอนาน ผมมีโอกาสได้เห็นอาหารทะเลละลานตาครั้งแรกในชีวิตก็วันนี้
ปูไข่นึ่ง ปูผัดนมสด ปูผัดผงกะหรี่ ปลากะพงนึ่งมะนาว ต้มยำทะเล กุ้งชุบแป้งทอด หมึกนึ่งมะนาว แกงส้มกุ้งตัวเท่านิ้วกลาง ต้มปลากระบอก ยำไข่แมงดายกมาทั้งกระดอง หอยนางรมสด หอยแครงนึ่ง ทอดมันกุ้ง กั้งนึ่ง ทอดมันปลากราย ข้าวผัดทะเลชามเท่าควาย และอีกสารพัดเมนูที่ผมไม่รู้จัก
“เพิ่มไข่เจียวหมูสับอีกจานนึงครับ”
พี่อู๋บอกเด็กเสิร์ฟ ผมนึกเกรงใจที่ผู้ปกครองต้องสั่งอาหารเพิ่มให้กอริลลาที่ตอบแบบส่งเดชเพราะไม่รู้จะกินอะไร เสียงคุยกันจอแจตามประสาครอบครัวใหญ่ดังตลอดเวลานั่งทานอาหาร ผมเป็นคนนอกได้แต่เงียบกริบ กินข้าวในส่วนของตัวเองโดยไม่พูดไม่จาสลับกับมองวิวนอกชานระเบียง ร้านนี้อยู่ติดทะเลก็จริงแต่ไม่มีหาดทรายเลย มีแค่โขดหินเป็นแนวกั้นน้ำ มองเห็นแค่คลื่นกระฉอกซัดเข้าฝั่งเท่านั้น
“ตรงนี้ทะเลไม่ค่อยสวยเนอะ” คุณอิศรินทร์ชวนคุย “แต่เราเน้นกิน ไม่เน้นวิว”
ผมยิ้มแล้วตักทอดมันกุ้งกินอีกคำ วันนี้นายก้องเกียรติได้ลองกินอะไรหลายอย่าง ทั้งแกงส้มที่เป็นสีเหลือง ทั้งกั้งนึ่งเนื้อเด้งดึ๋ง ปิดท้ายด้วยหอยนางรมสดบีบมะนาวโรยด้วยกระเทียมเจียว พอท้องอิ่มเด็กๆก็เริ่มเรียกร้องหาไอศกรีม พวกเขางอแงเพราะในร้านไม่มียี่ห้อที่ตัวเองชอบ ดังนั้นพี่อู๋จึงบอกว่ากินเสร็จจะพาไปสเวนเซ่นส์ หยุดแหกปาก แล้วนั่งเงียบๆเสียที
“โกอู๋เลี้ยงหรือเปล่าล่ะ?”
สากลถาม เมื่อคุณอิศรินทร์พยักหน้า เขาก็ยกนิ้วโป้งให้
“หล่อ สปอร์ต ใจดี ลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด”
ญาติคนหนึ่งแซว แล้วบทสนทนาก็พุ่งมาหาพี่อู๋ทันที ในสายตาของญาติๆ พี่อู๋คือหลานที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่ง ผมได้รู้อะไรหลายๆอย่างบนโต๊ะอาหารเช่นพี่อู๋เคยได้โบนัสเกือบครึ่งล้าน เคยทำงานหนักยี่สิบชั่วโมงติดกันเป็นสัปดาห์ เคยบินตามนายไปญี่ปุ่น ไปอินโดนีเซีย ไปนั่นไปนี่เหมือนล่าสะสมแต้ม แถมเป็นล่ามฝีมือดีของบริษัทดัง เงินเดือนหลักแสน แล้วพวกเขาก็ถามถึงโบนัสปีนี้
“เท่าไหร่ล่ะ?”
คุณแม่ของเหมยยิ้มๆ พี่อู๋โกหกหน้าตาย
“ปีนี้กำไรไม่ดี เลยได้แค่สามแสนกว่าๆ”
ผมอึดอัดที่เห็นผู้ปกครองปั้นน้ำเป็นตัว ไม่มีใครในครอบครัวเขารู้เรื่องตกงานเลยซักคน ที่เห็นน่าจะมีแค่เจ๊ออมเท่านั้นที่รู้ว่าช่วงนี้น้องชายเป็นยังไงบ้าง พูดถึงเงิน คนอื่นๆก็สรรหาเรื่องมาคุยกันจนเหมือนเป็นการโอ้อวดกลายๆ ลูกสาวได้เงินเดือนเท่านี้ ได้โบนัสเท่านี้ ลูกชายเอาแต่ทำงานหาเงินมาเตรียมสร้างบ้าน แต่ขำสุดคือคุณลุงที่ชื่อโป้ย แกบอกว่าลูกชายติด xxx จนป่านนี้ยังไม่กลับบ้านเลย
“เราสามารถพูดคำว่า xxx ได้ในที่สาธารณะเหรอครับ?”
“ได้นะถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ข้างๆ” พี่อู๋ขำ ผมแอบมองรอบตัว ในอาคารโปร่งโล่งสบายนี้มีแค่ครอบครัวของคุณอิศรินทร์จริงๆ ลูกค้าอีกสองโต๊ะยาวยังมาไม่ถึง “บ้านพี่โผงผางกันแบบนี้แหละ ไม่ต้องตกใจ”
ตอนแรกการคุยไปกินไปก็สนุกดี แต่พอคุณแม่สร้อยเพชรถามว่าควรซื้ออะไรฝากแน บรรยากาศเริ่มกร่อยเสียอย่างนั้น มื้อนี้แนไม่ได้มากับเราด้วย พี่อู๋บอกว่าแนไม่อยากทิ้งก๋งไปไหน ต่อให้อดกินของดีก็ยอม แกอยากเฝ้าก๋งเพราะกลัวก๋งไป เดี๋ยวไม่มีโอกาสได้ลา
“แม่นะแม่” คุณป้าคนหนึ่งบ่นแล้วถอนหายใจ “ปล่อยก๋งไปแต่ทีแรกก็จบแล้ว ไม่รู้จะยื้อทำไม”
ประโยคนั้นเหมือนชนวนระเบิด เสียงความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย หนึ่งคือกลุ่มที่คิดว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องไม่ทิ้งกัน ต้องดูแลกันไปจนกว่าจะหมดลม ส่วนอีกกลุ่มคิดว่าอยู่ต่อก็มีแต่ทรมาน แถมไม่ใช่แค่ก๋งที่ทรมาน คนดูแลอย่างแนก็ทรมานเหมือนกัน ไหนจะค่าใช้จ่าย ค่าอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเพราะต้องเปิดแอร์ยี่สิบสี่ชั่วโมง ค่าจ้างพยาบาลดูแลพิเศษ ค่านมกระป๋อง ค่านั่นค่านี่ ไล่เป็นรายการเยอะยิ่งกว่าอาหารบนโต๊ะ ซึ่งคนพูดก็ไม่ใช่ใคร คุณแม่สร้อยเพชรที่ต้องอยู่บ้านเดียวกับแนและก๋งนั่นเอง ผมเดาเอาว่าแกคงเก็บกดมานานเพราะทุกอย่างลงที่แกกับป้าอ้อยทั้งนั้น พวกลูกชายไม่เห็นต้องรับรู้อะไร
“ใช่ว่ามึงจ่ายคนเดียวนี่ กูก็ช่วยหารทุกเดือน”
ขึ้นมึงกูแล้วด้วย --
“นั่นพ่อมึงนะสร้อย ใจคอมึงจะปล่อยให้พ่อตายเฉยๆเลยเหรอ?”
ครอบครัวพี่อู๋เริ่มเถียงบนโต๊ะอาหาร โชคดีที่ไม่มีใครกินเหล้า เพราะขนาดไม่มีเหล้ายังใส่อารมณ์กันน่ากลัว พวกเขาเริ่มพูดห้วนๆ เริ่มทวงบุญคุณ เริ่มสาดคำพูดไม่น่ารักใส่กัน เจ๊ออมรำคาญจนต้องให้สามีอุ้มลูกไปเดินเล่นไกลๆ ส่วนหลานคนอื่นๆได้แต่มองหน้ากันอึกอัก มีแค่เจ๊ออมและพี่อู๋เท่านั้นที่ดูปล่อยวาง ไม่ได้ร่วมเถียงกับคนอื่น
“พวกมึงยื้อก๋งมาสามรอบแล้ว กูว่ามึงพอซักทีดีไหม? ปล่อยก๋งไปสบายๆไม่ได้เหรอ?”
คุณแม่สร้อยเพชรระบาย ตามด้วยป้าอ้อย และคนอื่นที่เห็นด้วยว่าเราไม่ควรทรมานก๋งไปมากกว่านี้ ส่วนฝ่ายค้านก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่เหมือนกัน ลุงโป้ยบอกว่าที่ให้ก๋งตายไม่ได้เพราะเป็นห่วงแน แกทำใจไม่ได้หรอก เอมก็เพิ่งตาย ถ้าก๋งตายอีกคนจะทำยังไง แนรับไม่ไหว แนต้องตายตามก๋งไปแน่ๆ
“จะให้มีงานศพสามงานติดๆกันเลยหรือไง”
เจ๊ออมลุกจากโต๊ะเมื่อพวกเขาพูดถึงเอม เธอเดินออกไปเลยโดยไม่บอกลาใครซักคน ตามด้วยคุณพ่อของพี่อู๋ ส่วนคุณแม่สร้อยเพชรนั่งตาแดงเถียงกับพี่น้องต่อ หลานๆถูกไล่ไปวิ่งเล่นนอกอาคาร ปล่อยให้ผู้ใหญ่ปรึกษาหารือกันก่อน นายก้องเกียรติจะหนีไปไหนก็ไม่ได้เพราะพี่อู๋ยังนั่งอยู่ในที่ประชุม เขาเอาแต่ฟัง เงียบ ฟัง และเงียบอยู่หลายนาที
วาทกรรมเราคือลูกถูกยกขึ้นมาพูดอีกครั้งและอีกครั้ง ความกตัญญูในฉบับของพวกเขาถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนกรอเทป ก๋งกับแนเลี้ยงเรามายากลำบาก ต้องขับสองแถว ต้องเชื่อมเหล็ก ต้องทำสารพัดงานช่างให้ลูกๆได้เรียน มาวันนี้มีฐานะจะทิ้งก๋งได้ไง เราเป็นลูก เราต้องกตัญญู เราต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ปล่อยให้พ่อตาย
“แต่ตอนนี้ก๋งก็เหมือนตายแล้วหรือเปล่า”
พี่อู๋ปากหมา
“อู๋ไม่ได้บอกให้ถอดปลั๊กตอนนี้ แค่บอกว่าถ้าคราวหน้าต้องเรียกรถพยาบาลอีกก็พอเถอะ ปล่อยให้ก๋งตายที่บ้านยังดีกว่า”
“มีข่าวเจ้าชายนินทราฟื้นเยอะแยะ ต้องมีความหวังสิ จะหมดหวังได้ไง” ลูกสะใภ้คนหนึ่งร่วมวงสนทนา “คนที่โบสถ์ก็ช่วยอธิษฐานกันทุกอาทิตย์ รอเวลาหน่อยไม่ได้เหรออู๋?”
“อธิษฐานมากี่ปีแล้ว ตอนนี้ก๋งลุกขึ้นนั่งได้หรือยัง?”
แล้วก็ -- ยาว
ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมพี่อู๋ถึงโดนยำ เขามีเหตุผลแต่พูดไปก็ไม่มีใครฟัง ทุกคนยึดถือคำว่ากตัญญูจนมองข้ามอะไรหลายๆอย่าง ผมเองก็มีชุดความคิดที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถ้าแม่เป็นเหมือนก๋งและผมพอมีฐานะ มีเงินซัพพอร์ตเหมือนครอบครัวพี่อู๋ ผมก็จะดูแลแม่จนกว่าจะตายกันไปข้างนึง
“ทำไมต้องเถียงกันเรื่องนี้ด้วยวะ” พี่อู๋หงุดหงิดรำคาญ “ให้ก๋งนอนแช่ขี้แช่เยี่ยวตัวเองนี่เรียกว่ากตัญญูเหรอ?”
“อู๋ มึงไม่ใช่ผู้ชาย มึงไม่มีวันได้เป็นพ่อคน มึงไม่เข้าใจความรู้สึกของพ่อที่ถูกลูกฆ่าตายหรอก”
ญาติคนหนึ่งพูดขึ้น คราวนี้คุณอิศรินทร์เงียบเลย เขาโกรธ แต่ไม่ชักสีหน้า เขาไม่พอใจ แต่ไม่แสดงอาการออกมาให้เห็น กอริลลาก้องที่นั่งเขี่ยข้าวในจานเริ่มรู้ว่าสถานะของผู้ปกครองในครอบครัวเป็นยังไง พวกเขามองว่าพี่อู๋เก่ง มองว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่าใครๆ แต่ก็ไม่น่าเอาเป็นแบบอย่างแค่เพราะเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง
“ก้องไปเดินเล่นก่อนไหม?”
พี่อู๋พูดขึ้น เขาแตะไหล่ผมเบาๆเป็นเชิงขอร้องให้ออกไปก่อน กอริลลาก้องจึงไม่ขัดคำสั่ง ผมรีบลุกจากโต๊ะอาหารแต่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ผมไม่สนิทกับใครนอกจากพี่อู๋ ไม่รู้ด้วยว่าที่นี่คือที่ไหน ไม่รู้ว่าควรฆ่าเวลาระหว่างรอผู้ปกครองยังไง ดังนั้นที่พึ่งสุดท้ายคงไม่พ้นสมาร์ทที่นั่งกดเกมอยู่บนม้านั่งริมโขดหิน
“นั่งด้วยได้หรือเปล่า?”
“นั่งดิ”
สมาร์ทตอบโดยไม่มองหน้าเหมือนเช่นทุกที ผมหลับตา ปล่อยให้ลมทะเลปะทะใบหน้าเรื่อยๆจนเริ่มเหนียว กลิ่นคาวทะเลลอยคลุ้งแปลกๆ กลิ่นเหมือนบ่อเลี้ยงปลามากกว่า พอลืมตาท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม คลื่นซัดกระทบหินแรงขึ้น ยุงกัด แต่สมาร์ทยังไม่ไปไหน
“ไอ้เหี้ย กัดอะไรนักหนา”
จู่ๆสมาร์ทโพล่งขึ้นมา ผมงงว่ามันด่าใคร ซักพักนึกได้ อ๋อ ด่ายุง
“เอายากันยุงไหม?”
“เอา ขอพนักงานให้หน่อย”
ผมเป็นธุระหยิบยากันยุงให้สมาร์ท แถมจุดไฟและวางใกล้ๆเท้าด้วยเพื่อไม่ให้จังหวะการเล่นเกมสะดุด พวกสามทหารเสือยังบ้าเกมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือลากลูกพี่ลูกน้องคนอื่นให้มามุงดูด้วย ผมเห็นสไปก์กับสากลนั่งห่างจากเราค่อนข้างไกล รอบตัวเขาคือน้องๆ ถัดไปคือเจ๊ออมกับแฟนคอยดูแลเด็กๆ ผมแอบเห็นป๊าพี่อู๋ยืนสูบบุหรี่อยู่ไกลลิบ เขาคงอึดอัดน่าดู
“ทำไมมานั่งตรงนี้? ไม่อยู่กับโกอู๋แล้วเหรอ?”
สมาร์ทถาม ผมจึงตอบว่าผู้ปกครองสั่งให้ออกมาเดินเล่น แต่ไม่รู้จะเดินไปไหนก็เลยมาขอนั่งด้วย
“ไม่เคยเห็นครอบครัวใหญ่ทะเลาะกันล่ะสิ”
“อือ ปกติเราอยู่กับแม่แค่สองคน”
“ตอนนี้แม่ไปไหน”
“แม่เสียแล้ว”
“ขอโทษนะ แต่ -- เป็นอะไรถึงเสีย?”
“ผูกคอตาย”
ผมเงียบ สมาร์ทเงียบ เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังอีกสามสี่ครั้งเราถึงเริ่มคุยกันใหม่
“ทะเลาะกันบ่อยเหรอ?”
ผมเปิดบทสนทนา สมาร์ทยักไหล่ เขาดูสบายๆไม่เครียดกับการเห็นครอบครัวโต้เถียงขึ้นมึงกูกันซักนิด
“ประจำ เดี๋ยวก็ดีกัน ไม่ต้องตกใจ”
“เมื่อกี๊มีลุงคนนึงพูดว่าพี่อู๋ไม่ใช่ผู้ชาย”
“ที่นี่ไม่มีเกย์หรอก ชายรักชายคือตุ๊ด เขาคิดแค่นั้น” นายสมาร์ทพูดเซ็งๆ
“เราคิดว่าทุกคนรับได้ที่พี่อู๋ไม่ได้ชอบผู้หญิงเสียอีก”
“รับได้สิ เพราะไม่ใช่ลูกของตัวเองไง” สมาร์ทเงยหน้าจากพีเอสพี
“แนรู้เรื่องนี้ไหม?”
“ไม่รู้ และห้ามบอกให้แนรู้ด้วย”
“ไม่บอกหรอก” ผมยิ้มเจื่อน “แต่เป็นเกย์นี่ผิดมากเหรอ?”
“ถ้าเป็นครอบครัวคนจีนก็นะ --”
ไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาว พูดแค่นั้นกอริลลาก้องก็เข้าใจทั้งหมด
“คุยเรื่องมหาลัยกับโกอู๋ยัง”
สมาร์ทเปลี่ยนเรื่อง ผมส่ายหน้า บอกเขาว่ายังไม่ได้คุย ไม่กล้าคุยเรื่องนี้เลย เกรงใจ
“บอกให้ขอไง”
“ไม่เอา ไม่อยากรบกวนพี่อู๋”
“โกอู๋รวยจะตาย เดือนเดียวโกยเป็นแสน แถมลูกเมียก็ไม่มี วันๆทำแต่งานไม่ได้ใช้เงิน ไม่รวยก็ไม่รู้จะว่าไง”
สมาร์ทเล่าให้ฟังเป็นเชิงบ่นมากกว่า ผมไม่กล้าบอกเขาว่าพี่อู๋ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือนแล้ว ตอนนี้เขาตกงานและเคว้งคว้างยิ่งกว่ากล่องโฟมที่ลอยกลางทะเลเสียอีก แถมรายจ่ายมีเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายรับที่ไม่เข้าเลย ในเมื่อพี่อู๋ลำบากขนาดนี้จะให้ผมแบมือขอเงินเหมือนเป็นลูกเป็นหลานคงดูน่าเกลียดเกินไป
“มอปลายได้เกรดอะไร?” สมาร์ทถาม เมื่อผมบอกว่าสามกลางๆ เขาก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และบอกต่อว่า “บ้านนี้บ้าคนเก่งนะ ถ้ามั่นใจว่าเรียนพิเศษแล้วสอบติดมอรัฐก็ขอเลย บ้านเราให้ทุนนักเรียนทุกปี ให้ก้องอีกคนคงไม่เป็นไรมั้ง”
“โห ใจดีจัง”
“แนกับก๋งเชื่อว่าการศึกษาเปลี่ยนชนชั้นได้ จากที่เคยจนไม่มีจะกิน ถ้าสอบติดราชการก็จะกลายเป็นชนชั้นกลาง ใครมีหัวธุรกิจหน่อยก็ค่อยๆหาลู่ทางหารายได้เสริม ขยับขยายดิ้นรนเรื่อยๆจนเป็นชนชั้นกลางขอบชีส --”
“ชนชั้นกลางขอบชีส?”
“ก็คือกลุ่มคนที่มีฐานะระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐีไง”
โอโห สมาร์ทมันแบ่งชนชั้นในสังคมเป็นพิซซ่าเลยอ่ะ
“บ้านพี่อู๋นี่ไม่ใช่เศรษฐีเมืองคอนเหรอ?”
“หึ เราคือชนชั้นกลางขอบชีส”
“นี่ขนาดชนชั้นกลางนะ” ผมอ้าปากเหวอ “เศรษฐีเมืองคอนจะขนาดไหน”
ผมเก็บคำพูดของสมาร์ทมาคิด ชนชั้นกลางขอบชีสเป็นนิยามที่เข้าใจง่ายดี เขากำลังบอกว่าฐานะทางบ้านค่อนข้างดีนะ แต่ก็ไม่ได้ดีถึงขั้นเป็นเศรษฐีที่สามารถใช้ปืนยิงแบงค์โปรยเล่นได้อย่างที่กอริลลาก้องคิด พอนึกทบทวนคำพูดของสมาร์ท ผมเริ่มเห็นแสงสว่างนิดหน่อย สมาร์ทบอกว่าบ้านพี่อู๋บ้าคนเก่ง ซึ่งฟังจากบทสนทนาส่วนใหญ่แล้วท่าทางน่าจะจริง
ถ้าสมมติผมใช้คำว่าขอยืมล่ะ? ขอยืมเงินไปเรียนต่อได้ไหมครับ?
คงดูน่าเกลียดน้อยกว่า “ส่งผมเรียนหน่อยสิ” ใช่ไหม?
“ทุนที่บ้านสมาร์ทให้นักเรียนเป็นทุนเปล่าเหรอ?”
“อืม”
“ให้ฟรีๆเลยอ่ะนะ?”
“เออ” สมาร์ทยืนยัน “โบ่สร้อยไปมอบทุนหน้าเสาธงทุกเทอม”
“แล้ว -- แล้วเด็กที่ได้ทุนต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างเหรอ?”
“ไม่รู้อ่ะ ต้องลองถามโบ่ดู”
ผมถอนหายใจ ใครจะกล้าเข้าไปถามคุณแม่สร้อยเพชรในเวลาแบบนี้วะ เขาเถียงกันจนจะฟาดกระดองแมงดาใส่หน้ากันแล้ว ขืนกอริลลาก้องคลานเข้าไปกระซิบ โบ่สร้อยครับ ก้องขอยืมเงินเรียนพิเศษหน่อยได้ไหม มีหวังโดนถีบลงทะเลแน่
“แต่จริงๆไม่ต้องขอโบ่สร้อยหรอก ขอโกอู๋สิ”
“สมาร์ทไม่รู้สึกว่ามันน่าเกลียดเหรอที่เราแบมือขอเงินญาติสมาร์ทแบบนี้?”
“ไม่อ่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะการศึกษาสำคัญ” เขายืนยันความคิดตัวเอง “ก๋งกับแนพูดตลอดว่าถ้าส่งเด็กขาดโอกาสให้ได้เรียนที่ดีๆ เท่ากับว่าเราช่วยคนให้หลุดพ้นจากพิซซ่าแป้งกรอบได้อีกหนึ่งครอบครัว”
มาอีกแล้ว -- เปรียบชนชั้นของคนเป็นพิซซ่า ผมเดาเอาว่าบางกรอบคือคนฐานะปานกลางค่อนข้างลำบาก ไม่ได้อดอยากแต่ก็ไม่ค่อยมีเหลือไว้เพื่อของฟุ่มเฟือยราคาแพง สั้นๆก็คือครอบครัวผมเองนั่นแหละ
“หรือจะกู้เราก็ได้นะ แต่ไม่ให้ยืมฟรีหรอก”
“สมาร์ทมีให้เรายืมเท่าไหร่ล่ะ?”
ผมแกล้งถาม อยากวัดใจเพื่อนรุ่นเดียวกันว่าเขาจะให้มากแค่ไหน
“หมื่นนึงพอหรือเปล่า?”
“ห้าหมื่นไม่ได้เหรอ?”
ผมต่อรอง สมาร์ทเงยหน้าจากพีเอสพีมองกอริลลาก้องตาขวาง
“ถ้าจะขนาดนั้นก็ทำเรื่องกู้ธนาคารไปเลยดีไหม?”
“ล้อเล่นหรอก” ผมหัวเราะ “แต่ถึงจะมีคนให้ยืมเงิน เราก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะสอบติดมหาวิทยาลัย”
“บอกให้ลงเรียนพิเศษไง ตึกวรรณสรณ์ไงที่พญาไทอ่ะ ไปสิ มีครบ จบในตึกเดียว”
สมาร์ทเริ่มหงุดหงิดเพราะเล่นเกมแพ้ เขาปิดเกม เก็บใส่กระเป๋าและหันมาคุยกับผมจริงจัง
“หรือจะเอาชีทเรียนพิเศษเราไหม? มันมีรอยขีดเต็มแล้วนะ แต่ยังพออ่านได้อยู่”
“สมาร์ทให้เราจริงเหรอ?”
“อืม”
“ไม่ส่งต่อให้สไปก์เหรอ?”
“เดี๋ยวสไปก์มันก็ลงเรียนใหม่ ไม่อ่านของเก่าจากเราหรอก” เด็กลาดกระบังกลอกตา “จะเอาไม่เอา? ถ้าเอาก็บอกให้โกอู๋ขับรถไปเอาที่บ้านเราละกัน”
“เอาๆๆ! ขอบคุณมากนะ” ผมดีใจ “แต่บ้านสมาร์ทอยู่ไหนเหรอ?”
“ท่าวัง”
“ท่าวังอยู่ตรงไหนอ่ะ?”
“อยู่ข้างบิ๊กซีไง”
สมาร์ทมุมปากกระตุกราวกับรู้ว่านายก้องเกียรติต้องถามต่อแน่ๆ
“บิ๊กซีอยู่ไหนอ่ะ?”
“ท่าวัง”
“ท่าวังคือตรงไหน?”
“ตรงที่มีร้านทองเยอะๆ” สมาร์ทเซ็ง “ตรงที่น้ำท่วมบ่อยๆ”
“น้ำท่วมด้วยเหรอ? ท่วมประมาณไหน?”
“เลยเข่าขึ้นไปนิดหน่อย”
“ท่วมหนักกว่ากรุงเทพไหม?”
“ยังอยากได้หนังสืออยู่หรือเปล่า?”
“อยากสิ”
“งั้นเลิกถามซักที เดี๋ยวโกอู๋พาไปเองแหละ”
“โอเค”
ผมตื่นเต้นเมื่อคิดเรื่องเรียนหนังสือ แต่พอคิดดูดีๆอีกทีก็เริ่มกลัวเพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบอะไร ผมไม่มีความฝันหรือแรงบันดาลใจเหมือนพี่อู๋ ผมไม่มีของแบบนั้นเลย ยิ่งพยายามนึกว่าก่อนสอบโอเน็ตเคยอยากทำอาชีพอะไรยิ่งนึกไม่ออก ผมไม่ฉลาดพอจะเป็นหมอ ไม่ถนัดภาษาจนเป็นล่ามได้เหมือนพี่อู๋ รู้สึกเคว้งคว้างเป็นบ้า พอโอกาสอยู่ตรงหน้าก็ดันเจอทางตันอีก
ผมกับสมาร์ทนั่งตากยุงอีกพักใหญ่ก่อนพี่อู๋จะเดินมาเรียกให้ขึ้นรถกลับบ้าน เขาบอกว่าวันนี้คงไม่ไปสเวนเซ่นส์แล้วแต่จะสั่งมาให้กินที่บ้านแทน ผมเดาว่าคงเพราะทะเลาะกันค่อนข้างแรงเลยไม่มีอารมณ์ไปไหน ปกติพี่อู๋ชอบพานายก้องเกียรติไปกินไปเที่ยวจะตาย ไม่น่าพลาดโอกาสพาผมทัวร์ห้างหรอก
“กลับบ้านกันเถอะ”
พี่อู๋บอก กอริลลาก้องจึงเดินตามผู้ปกครองที่กำลังหงุดหงิดไปที่รถโดยไม่พูดถึงแผนในอนาคตของตัวเองซักคำ
☁
เราถึงบ้านตอนสองทุ่มหกนาที
ทุกคนต่างแยกย้ายเข้าห้องนอนตัวเองโดยไม่รวมกลุ่มพูดคุยกันเหมือนวันก่อน พี่อู๋ที่ดูอารมณ์ไม่ดีรักษาสัญญาด้วยการสั่งสเวนเซ่นส์หลายรสให้มาส่งถึงบ้าน พวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อยและเล่นกันเรียบร้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ว่าก่อนหน้าพ่อแม่ของเด็กๆจะทะเลาะกันจนแทบยกหม้อต้มยำทุ่มใส่หัวก็ตาม
พอกินไอศกรีมเสร็จ พี่อู๋ก็กลับห้องตัวเองโดยหนีบกอริลลาก้องไปด้วย เราสองคนอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มสามสิบแปดนาที นายก้องเกียรติกับคุณอิศรินทร์ยังคงนอนไม่หลับ ดังนั้นพี่อู๋จึงลุกขึ้นเปิดไฟแล้วบอกว่าลงไปเคานท์ดาวน์กันเถอะ
“พอห้าทุ่มห้าสิบ เราจะเขียนเป้าหมายที่อยากทำให้ได้ในปีหน้ากัน”
เขาพูดพลางส่งกระดาษเอสี่ให้กอริลลา
“ปีหน้าก้องมีเป้าหมายอะไร เขียนลงในนี้เลยนะ”
ผมมองกระดาษและปากกาเมจิกสีน้ำเงินในมือ ปีหน้า? สิ่งที่ผมอยากทำในปีหน้างั้นเหรอ? นายก้องเกียรติคิดหนักระหว่างลงบันไดไปห้องนั่งเล่นใหญ่ ในนั้นมีแค่สมาร์ทกับสไปก์นอนเล่นเกมบนโซฟา พอถามว่าน้องๆคนอื่นอยู่ไหน คำตอบก็คือโดนไล่ไปนอนหมดแล้ว
“เคานท์ดาวน์หรือเปล่าเราอ่ะ?”
พี่อู๋ถามสองทหารเสือ สไปก์พยักหน้า ส่วนสมาร์ทไม่ตอบ
“ปีนี้เหงาเนอะโก”
สไปก์ชวนคุยเมื่อผมนั่งลงบนพื้น วางกระดาษและปากกาเมจิกบนโต๊ะเล็กหน้าทีวี
“คงไม่มีอารมณ์มาเคานท์ดาวน์กัน” สมาร์ทออกความเห็น “โกไม่ไปดูก๋งบ้างเหรอ?”
“ดูแล้ว”
“เป็นไง?”
“ไม่เป็นไง”
ผู้ปกครองของนายก้องเกียรติตอบ เขานั่งลงข้างผมแล้วใช้เวลาด้วยกันจนเกือบเที่ยงคืน มันเป็นการนั่งเคานท์ดาวน์ที่เงียบไม่ต่างอะไรจากผมกับแม่เลย เราแยกกันทำสิ่งที่ตัวเองสนใจอยู่ในโลกของตัวเอง พอใกล้เวลานับถอยหลัง พี่อู๋ สมาร์ท และสไปก์ถึงหยิบปากกาออกมาเขียนเป้าหมายสำหรับปีถัดไป
ผมเหลือบมองพวกเขา มองพี่อู๋ที่นั่งปั้นหน้านึกไม่ออกว่าชีวิตนี้เป้าหมายอะไรที่อยากทำอีก คิดๆดูแล้วเราสองคนนี่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ คนนึงตกงานไม่ยอมเริ่มใหม่ ส่วนอีกคนกลัวสอบไม่ผ่านจนนั่งเป็นใบ้ ไม่กล้าคุยเรื่องทุนตามที่สมาร์ทแนะนำ
“ปีหน้าอยากทำอะไรวะสไปก์?”
พี่อู๋ถามน้องชาย ซึ่งคำตอบของเด็กหน้ากลมเหมือนซาลาเปาก็คือ
ได้เกรดสี่ทุกตัวและไม่หลับตอนเรียนเคมีอุ๊
“มึงทำไม่ได้หรอก” สมาร์ทหัวเราะก๊าก “โกอ่ะ?”
“เอาของสมาร์ทมาดูก่อนดิ”
พี่อู๋ยื่นหมูยื่นแมว เสือตัวแรกแห่งพี่น้องสามสอส่งกระดาษให้พี่ชายดูด้วยความภาคภูมิใจ พวกเขาต่างมีเป้าหมายที่อยากทำ สวนทางกับเราสองคนที่ไม่ได้วางแผนไว้เลย
เรียนจบพร้อมเพื่อนและได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
ก็ -- สมกับเป็นสมาร์ทดี
“โกอู๋อ่ะ?”
สไปก์ถามบ้าง คุณอิศรินทร์นึกแล้วนึกอีกอยู่นานหลายนาที นานจนทั้งสองคนก้มหน้าเล่นเกมต่อไม่รอคำตอบ แต่สุดท้ายพี่อู๋ก็คิดออก เขาเขียนลงไปว่า --
รวย
อยากรวยแต่ไม่ทำงาน ชาตินี้จะเป็นไปได้เหรอวะพี่
ผมไม่ได้พูด แค่คิดในใจ เสียงพิธีกรในโทรทัศน์เริ่มให้สัญญาณว่าใกล้ถึงเวลานับถอยหลังแล้ว ผู้คนที่อยู่ในคอนเสิร์ตต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นตัวเลขหนึ่งนาทีสุดท้ายบนจอภาพขนาดใหญ่
“ก้องล่ะ?” พี่อู๋ถามเพราะเห็นผมเงียบไม่พูดไม่จา “ก้องมีเป้าหมายที่อยากทำให้ได้บ้างไหม?”
ผมลังเลว่าควรเขียนดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็เขียนความในใจของตัวเองลงไป สิ่งที่ผมคิดว่าอยากทำในปีหน้า และตั้งใจจะทำให้ได้ก็คือ --
“อู๋!”
เจ๊ออมเปิดประตูมาขัดจังหวะขณะที่สมาร์ทกับสไปก์ร่วมนับถอยหลังกับพิธีกร คุณอิศรินทร์กับกอริลลาก้องได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กเพราะสีหน้าของเจ๊ออมดูไม่ค่อยดีเลย
“แปด! เจ็ด!”
สไปก์นับ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“ลุกขึ้น --”
“ลุกไปไหน?”
พี่อู๋ถามเจ๊ออมที่ยืนหอบอยู่ตรงประตู สมาร์ทปิดเกมและเริ่มเคานท์ดาวน์เสียงดังพร้อมกับน้องชาย
“หก! ห้า!”
“โรงพยาบาล”
เจ๊ออมพูดต่อ
“สี่! สาม!”
สองเสือยังคงร่าเริงต่อไปในขณะที่เราเริ่มใจไม่ดี
“ก๋งความดันตก”
เจ๊ออมเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้
“สอง! หนึ่ง! แฮปปี้นิวเยียร์!”
“ก๋งไม่ไหวแล้วอู๋”
ทั้งห้องเงียบสนิท มีแค่เสียงโห่ร้องยินดีของผู้คนในโทรทัศน์เท่านั้น ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตสองสามวินาที มันเบลอๆ มึนๆประมวลผลไม่ถูก แต่พอเห็นผู้ปกครองตกใจจนลนลาน วิ่งไปสวมรองเท้าโดยมีสองเสือและเจ๊ออมวิ่งตามติดๆ ผมถึงรู้ว่าพี่อู๋ที่เคยพูดว่า “ปล่อยให้ก๋งตายเถอะ” ก็ยังทำใจยอมรับความสูญเสียไม่ได้เหมือนกัน
TBC
___________________________
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in