20
พี่อู๋ขับรถพาผมมาที่บ้านเก่าตอนเช้า
บนที่ดินของผม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เศษซากปรักหักพังอยู่ยังไงก็อย่างนั้น ไม่มีการเคลื่อนย้าย ไม่มีการเคลียร์พื้นที่ มันถูกทิ้งร้างจนมีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อม รั้วบ้านมีไม้เลื้อยปกคลุมจนไม่เห็นข้างใน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเพื่อนบ้าน พวกเขาเคลียร์ซากเรียบร้อยและเริ่มทยอยสร้างใหม่
พี่ลีสร้างเสร็จก่อนใครเลยย้ายกลับมาคนแรก ข้าวฟ่างกับเจ๊หมิวเป็นกลุ่มที่สอง ผมได้ยินมาว่าลุงชื่นจะย้ายกลับมาหลังปีใหม่ เดาเอาว่าไอ้แดงก็น่าจะมาด้วย ลุงชัยน่าจะรออีกพักใหญ่ๆจนกว่าจะมีเงินก้อน ส่วนป้าเพ็ญหายไป ไม่มีใครรู้ว่าแกอยู่ไหน แต่บ้านของแกไม่ได้รกร้างเหมือนของผม แกคงจ้างคนมาเคลียร์ที่ดินแล้วแค่ยังไม่ได้ปลูกบ้าน
ผมยืนมองที่ดินตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด จะให้พูดว่าคิดถึงก็คงปฏิเสธไม่ได้ แต่บรรยากาศของบ้านไม่น่าอยู่เอาเสียเลย มีแต่ซากไม้โดนเผากับเศษเฟอร์นิเจอร์ที่ไหม้ไม่หมด นอกจากนั้นยังเหลือชานบันไดกับราวผุๆที่เคยมีอนุสรณ์ของแม่ ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปข้างในโดยมีพี่อู๋เดินตาม
ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่กลางบ้าน ยืนเฉยๆไม่ทำอะไรเลยนอกจากเก็บภาพความทรงจำเอาไว้ให้เต็มตา ลมหนาวพัดผ่านทำให้ใบไม้ปลิวหล่น ผมรู้สึกไปเองว่าแม่คงมารอผมกลับบ้าน ไม่แน่นะ แม่อาจจะยืนอยู่ข้างหน้า แม่อาจจะกำลังกอดผม หรือไม่ก็ทักทายผมจากที่ไหนซักแห่งในบ้านหลังนี้ก็ได้
“ก้อง”
พี่อู๋เรียก เขาเดินมาโอบไหล่ราวกับรู้ว่าผมไม่ไหว
“รอข้างหลังนะ”
เขาบอกแล้วปล่อยให้ผมใช้เวลาส่วนตัวเพื่อบอกลาแม่ ผมหยิบธูปและจดหมายที่เขียนด้วยตัวเองออกจากกระเป๋าผ้า ผมจุดธูปหนึ่งดอก ตรงหน้าคือจุดที่เป็นอนุสรณ์ของแม่ ครั้งหนึ่งผมเคยเดินผ่านมัน เคยสัมผัส เคยจ้องมองเพื่อระลึกถึงแม่ที่จากไป แต่ตอนนี้ถึงเวลาต้องบอกลาแล้ว ผมต้องบอกลาแม่ตามที่หมอและพี่อู๋แนะนำเสียที
“ไม่ต้องห่วงนะแม่”
ผมพูดลอยๆ ตั้งใจส่งสาส์นถึงแม่ที่อยู่ที่ไหนซักแห่ง
“ผมจะมีความสุข ผมจะดูแลตัวเองดีๆ ถึงเวลาของผมเมื่อไหร่ ผมจะไปหาแม่นะ”
ผมพูดแค่นั้นแล้วเงียบ ปล่อยให้น้ำตาไหลอีกพักใหญ่ก่อนจะวางจดหมายลายมือของตัวเองตรงชานบันได ถ้อยคำกล่าวลาของนายก้องเกียรติมีเพียงแค่สองประโยค หนึ่งคือผมรักแม่มากๆ และสองคือคำลงท้ายชื่อตัวเอง
ระหว่างที่กำลังร้องไห้เงียบๆ จู่ๆพี่อู๋ก็เดินมาจุดธูปหนึ่งดอกแล้วเริ่มแนะนำตัว
“ผมชื่ออู๋นะครับ ผมคือคนที่เจอก้องบนสะพาน”
คุณอิศรินทร์พูดหมดว่าตัวเองคือใคร เจอผมได้ยังไง และหลังจากนี้กำลังจะไปไหน ตอนแรกผมคิดว่าเขาแกล้งเพราะเห็นกอริลลาก้องยืนพูดคนเดียว แต่พอเขาเอ่ยคำว่าคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมถึงรู้ว่าเขาไม่ได้หยอกเล่น พี่อู๋กำลังให้สัญญากับแม่ต่างหาก
“แม่ครับ วันนี้ผมจะพาก้องไปอยู่บ้านผมที่ใต้” เขาพูดต่อ ปล่อยให้เด็กกำพร้ายืนเช็ดน้ำตาเงียบๆคนเดียว “หลังจากนี้ก้องเกียรติจะมีคนดูแลต่อ เขาจะไม่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวแน่นอนครับ ผมสัญญา”
ลมหนาวพัดอีกครั้งเมื่อพี่อู๋พูดจบ คราวนี้ผมมั่นใจแล้วว่าแม่มา แม่น่าจะอยู่แถวนี้และได้ยินคำพูดของเรา ผมจึงยืนยันกับแม่อีกครั้งว่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมไม่เป็นไร ผมอยู่ได้ ผมสบายดี
“ผมจะทำบุญให้แม่บ่อยๆ” ผมสัญญาอีกข้อ “ถ้าชาติหน้ามีจริง มาเกิดเป็นแม่ของผมอีกนะครับ”
เราปักธูปบนดินแข็งๆหน้าชานบันได จดหมายลายมือถูกวางทับด้วยก้อนหินที่อยู่แถวนั้น ผมมองบ้านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลัง ขึ้นรถพี่อู๋เพื่อมุ่งหน้าสู่ภาคใต้ตามที่วางแผนไว้
☁
ผมไม่ได้ถามพี่อู๋ว่าบ้านของเขาอยู่จังหวัดอะไร ไม่สนด้วยว่าเขาจะพาไปไหน ในเมื่อเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ต่อขับไปถึงขั้วโลกใต้ก็คงกลับตัวไม่ทัน
ผมเคยนั่งรถไปทัศนศึกษาที่ชลบุรี ยังจำได้ถึงความน่าเบื่อของการนั่งรถนานๆโดยไม่ได้ขยับแขนขา ผมสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมเดินทางไกลอีกเด็ดขาดเพราะไม่อยากเมารถ แต่สุดท้ายกอริลลาก้องก็อยู่ที่นี่ นั่งบนวีออสสีดำที่วิ่งมานานเกือบสี่ชั่วโมงแล้วโดยไม่จอดแวะที่ไหนเลย
“หิวยังก้อง?”
พี่อู๋ถาม ตามองถนนแต่กลับใช้มือสะกิดนายก้องเกียรติที่นั่งเป็นผักเหี่ยวเบาๆ
“อีกนานไหมอ่ะพี่?”
“ก็ --” คุณอิศรินทร์มองนาฬิกาบนรถ “ใช้ได้แหละ เราเพิ่งถึงเพชรบุรีเอง”
ผมไม่รู้หรอกเพชรบุรีอยู่ไหน ไม่รู้ด้วยว่าหลังจากเพชรบุรีต้องผ่านจังหวัดอะไร ผมบอกพี่อู๋ว่าไม่หิวหรอก แค่เมื่อยก้นนิดหน่อย พอรู้ว่ามีกอริลลาตัวหนึ่งอยากยืดเส้นยืดสาย คุณอิศรินทร์ก็แวะจอดปั๊มน้ำมันใหญ่ที่อยู่ข้างทาง เขาปล่อยให้นายก้องเกียรติไปวิ่งเล่น ไปซื้อขนมในเซเว่น ก่อนจะเรียกขึ้นรถเมื่อเราใช้เวลาพักมากเกินไป
“พี่อยากถึงบ้านก่อนสามทุ่ม” พี่อู๋มุ่งมั่น “ไม่รู้ที่บ้านมีอะไรกินหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ค่อยออกไปกินโรตีเนอะ”
“คนแถวบ้านพี่กินโรตีตอนค่ำเหรอ?”
“ใช่ ทำไม?”
“เขาไม่กลัวอ้วนกันเหรอ?”
คุณอิศรินทร์หัวเราะ เขาบอกว่าจะขุนผมให้อ้วนเป็นหมูแล้วค่อยเชือดทิ้งทีหลัง กอริลลาก้องที่ได้ยินคำขู่จึงตอบสนองด้วยการยักไหล่ ผมบอกพี่อู๋ว่าเขาไม่มีวันทำสำเร็จหรอก ผมน่ะ -- กินจุมาทั้งชีวิตแต่น้ำหนักขึ้นยากมาก ไม่มีทางกลายเป็นหมูอย่างที่เขาว่าแน่ๆ
นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงสิบหกนาที พี่อู๋กับผมแวะกินเคเอฟซีในจุดพักรถของปั๊มน้ำมัน พอท้องอิ่มเราก็แยกกันไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ผมเดินตากแอร์ในเซเว่น ส่วนพี่อู๋ยืนเลือกเครื่องดื่มชูกำลังหน้าตู้แช่ ผมถามเขาว่าขับรถจำเป็นต้องกินเอ็มร้อยเลยเหรอ คุณอิศรินทร์บอกว่าถ้าไม่กินซักขวดมีหวังได้ถึงบ้านพรุ่งนี้เช้า
หลังเติมพลังงานและโด๊ปยา พี่อู๋ก็พร้อมพากอริลลาเข้าป่าภาคใต้ ผมจำไม่ได้ว่าวิวข้างทางเป็นยังไงเพราะดูๆไปก็เหมือนกันหมด ต้นไม้ ต้นไม้ ถนนยาวๆ ถนนสี่เลนยาวๆ ถนนสองเลนยาวๆ สี่แยกที่ไฟจราจรเสีย ถนนเป็นหลุมเพราะรถบรรทุกน้ำหนักเกิน เจอต้นไม้อีกรอบ เจอป้ายลูกนิมิต ป้ายไวนิลโฆษณาคอนเสิร์ตลูกทุ่ง เจอหลักกิโล เจอป้ายแนะนำของฝาก เจอร้านขายที่ปัดน้ำฝนราคาหนึ่งร้อยบาท ผมมองเห็นแค่นี้ วนไปวนมาเหมือนดูหนังเรื่องเดิม
พี่อู๋ขับต่อได้อีกสองชั่วโมงก็เริ่มง่วง ตาปรือเหมือนจะหลับอยู่หลายหน พอเห็นท่าไม่ดีก็เลยบอกเขาว่าพี่จะขับรถทั้งๆที่ง่วงชิบหายไม่ได้ ไม่งั้นพี่จะหลับใน แล้วเราจะตายกันหมดเพราะรถคว่ำ
“ฝีมือระดับพี่ ไม่มีคำว่าหลับใน”
“ขี้โม้เถอะ ผมเคยเห็นพี่หลับตอนรอไฟแดงที่แยกรัชดาด้วย”
“แยกนั้นไม่หลับก็บ้าแล้ว ติดตั้งสองชั่วโมง”
ผมพยายามหาวิธีให้ผู้ปกครองหายง่วงซึ่งดูเหมือนจะมีวิธีเดียวคือการชวนคุย พอคุยไปซักพักก็หลับกลางอากาศ แต่เป็นผมนะที่หลับ ส่วนพี่อู๋ต้องขับรถคนเดียวโดยไม่ต้องมีกอริลลาอยู่เป็นเพื่อนนานเกือบชั่วโมง ผมหลับๆตื่นๆ เดี๋ยวรู้เรื่องไม่รู้เรื่องจนบ่ายสาม ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าวิวข้างทางเปลี่ยนไปแล้ว จากถนนหนทางกลายเป็นภูเขา ภูเขาลูกใหญ่ ภูเขาที่มีศาลเจ้ากับรูปปั้นช่าง และร้ายขายของฝากวางเรียงรายเต็มไปหมด
“กินกล้วยอบไหมก้อง? อร่อยนะ”
พี่อู๋หันถามเมื่อเห็นกอริลลาก้องใช้หลังมือเช็ดน้ำลายบูด ผมที่กำลังอึนๆจึงพยักหน้าเออออโดยไม่รู้อะไร คุณอิศรินทร์แวะจอดร้านขายของฝากร้านหนึ่ง ผมเพิ่งสังเกตว่าทุกร้านที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้ล้วนขายของเหมือนกันหมด นั้นก็คือกล้วย และขนมแปรรูปจากกล้วย
กล้วย กล้วย กล้วยเต็มไปหมด กล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง กล้วยฉาบ กล้วยชุบแป้งทอด กล้วยเชื่อม กล้วยเคลือบช็อกโกแลต กล้วยกวน กล้วย กล้วย
ผมยืนข้างพี่อู๋ที่เหมากล้วยเล็บมือนางอบตั้งห้าร้อยบาท เขาวางของฝากทั้งหมดไว้เบาะหลังและแกะให้ชิมหนึ่งกล่อง ลองดู เขาว่า ผมจึงหยิบขึ้นมากัดคำเล็กๆ รสชาติไม่เหมือนกล้วยอบแข็งๆที่วางขายในห้างเลย กล้วยของพี่อู๋อร่อยกว่าตั้งเยอะ ทั้งสด ทั้งแน่น ทั้งหวานน้ำผึ้ง ไม่ใช่หวานน้ำตาลเหมือนที่เคยกิน
“อีกนานไหมครับกว่าจะถึงบ้านพี่?”
“ก็ใช้ได้”
“ใช้ได้ของพี่คือกี่ชั่วโมง?”
“หก”
ผมจะร้องไห้ นี่ผมต้องนั่งๆนอนๆกินๆบนวีออสอีกตั้งหกชั่วโมงเลยเหรอ
“ผ่านชุมพรก็สุราษฎร์ ใกล้แล้วแหละ ไม่นานหรอก”
ผมพยักหน้าเข้าใจแต่จริงๆไม่อยากเข้าใจ กว่าจะถึงสุราษฎร์ ลำไส้ของผมคงขดพันรวมกันเป็นก้อนไหมพรมแล้วมั้ง แต่ทำไงได้ในเมื่อพี่อู๋ให้ตัวเลือกแค่สองทาง หนึ่งคืออยู่กับเขา หรือสองคือแยกกันทางใครทางมัน นายก้องเกียรติที่ไม่เหลือครอบครัวให้คำตอบคุณอิศรินทร์ได้ในทันที
“ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร -- ผมอยากไปกับพี่”
ตอนแรกผมกังวลว่าพี่อู๋จะเซ็งที่พลาดโอกาสสลัดกอริลลาก้องทิ้ง ที่ไหนได้ เขากลับยิ้มกว้างและให้สัญญาต่างๆนานาว่าจะพาไปกินของอร่อยๆ พาไปเที่ยวที่สวยๆ พาไปใช้ชีวิตแบบคนต่างจังหวัด พาไปสอยมะพร้าว ไปเก็บมังคุด ไปนั่นไปนี่ พี่อู๋วางแผนเยอะจนอดคิดไม่ได้ว่าเขาจงใจชัดๆ คุณอิศรินทร์ไม่โน้มน้าวให้ตัวถ่วงอย่างผมอยู่กรุงเทพต่อเลย ไม่พูดด้วยซ้ำว่าผมควรรอสอบโอเน็ตปีถัดไปหรือติดต่อหาลุงชัยให้รับช่วงดูแลต่อ เขาแค่เก็บกระเป๋า เก็บเสื้อผ้า พากอริลลาก้องขึ้นรถ ง่ายๆเหมือนเก็บลูกหมาจรจัดมาเลี้ยง อยากได้ก็แค่หิ้วกลับบ้าน จบ แฮปปี้กันทั้งคนทั้งหมา ทั้งผู้ปกครองและกอริลลาต่างมีความสุขกับการย้ายที่อยู่ทั้งคู่
“พี่อู๋ ผมถามจริงๆเถอะนะ” ผมเกริ่นเมื่อกินกล้วยหมดไปสองชิ้น “พี่อยากให้ผมไปบ้านพี่จริงๆเหรอ?”
“ถ้าไม่จริงจะขับมาถึงชุมพรไหม?” เขาตอบกวนๆ
“ทำไมพี่ไม่บอกให้ผมอยู่กรุงเทพซักคำ ทั้งๆที่พี่มีโอกาสทิ้งผมแล้ว”
“ก้องจะอยู่กรุงเทพกับใคร? ลุงชัยเหรอ?”
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ”
“คิดว่าพี่จะยอมปล่อยเราไปอยู่ใกล้พวกเด็กส่งยาเหรอ?” พี่อู๋ยกมือขึ้น ตั้งท่าเตรียมเขกหัวกอริลลาก้องแต่ไม่ได้ทำ “บางทีต่างจังหวัดน่าจะดีกว่านะ ชีวิตสโลว์ไลฟ์อาจเข้ากับเราสองคนก็ได้”
คุณอิศรินทร์ดูมั่นอกมั่นใจในขณะที่นายก้องเกียรติเริ่มคิดหนัก การเดินทางครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกที่ย้ายไปอยู่ลาดพร้าวกับเขา ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้ากลับบ้านจริงๆของพี่อู๋ บ้านที่ไม่ได้มีแค่เราสองคน แต่มีคุณพ่อคุณแม่และญาติของเขาอาศัยอยู่ด้วย
“พี่จะบอกครอบครัวพี่ยังไงถ้าเขาถามว่าผมเป็นใคร?”
“ไม่บอก”
“ได้เหรอ?”
“ได้สิ” พี่อู๋ยักไหล่ “พี่อายุสามสิบกว่าแล้วนะก้อง พี่ไม่ใช่เด็กที่ต้องบอกพ่อแม่ทุกครั้งเวลาพาใครกลับบ้าน”
“พี่พูดเหมือนเมื่อก่อนพาสาวเข้าบ้านบ่อย”
“บ่อยอะไรล่ะ มีแค่ไอ้ตั้มกับหมูพีมั้งที่เคยมา”
แล้วบทสนทนาก็เงียบเมื่อชื่อของบุคคลที่สามถูกกล่าวถึง ผมเข้าใจว่าคงมีแต่คนที่สนิทด้วยมากๆเท่านั้นถึงมีโอกาสเที่ยวบ้านของเขา หนึ่งคือพี่ตั้ม เพื่อนเป็นเพื่อนตาย เพื่อนรักที่เก็บศพพี่อู๋จากข้าวสารมาส่งลาดพร้าว สองคือคุณหมูพีที่เพิ่งเลิกไปไม่นาน และสาม --
นายก้องเกียรติ
ก้องเกียรติเนี่ยนะ? กอริลลาก้องที่เอาแต่ผลาญเงินของพี่อู๋เนี่ยนะ?
คุณอิศรินทร์คิดอะไรอยู่ ผมไม่เข้าใจเขาเลย
ผมกำจัดความกังวลด้วยกล้วยเล็บมือนางอบน้ำผึ้ง กินไปดูดนิ้วจุ๊บจั๊บเสียงดังจนพี่อู๋หันมอง ผมเครียดจริงๆนะ เครียดมากว่าจะบอกครอบครัวของเขายังไง พ่อแม่พี่อู๋จะว่าไหมถ้าจู่ๆมีตัวแถมไปอาศัยอยู่ในบ้าน เขาจะยอมให้ผมอยู่ด้วยไหม จะต้อนรับผมเหมือนคุณหมูพีหรือเปล่า ยิ่งคิดก็รู้สึกแย่ พอรู้สึกแย่ก็เริ่มหยิบขนมใส่ปาก พี่อู๋คงเห็นอาการประหลาดๆของกอริลลาก้องจึงเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันเพื่อพูดคุยและให้สัญญาว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม ผมและเขา -- เราจะใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนเดิม
“ถ้ามันไม่โอเคล่ะ?”
“ก็กลับลาดพร้าว” พี่อู๋ยักไหล่
“ถ้าเปลี่ยนใจง่ายขนาดนั้นพี่จะหลอกผมว่านี่คือตั๋วเที่ยวเดียวทำไม?”
“จริงๆไม่ได้อยากกลับ แต่พี่มีเรื่องต้องทำ”
“งั้นทิ้งผมไว้ที่ลาดพร้าวก็ได้ ไม่เห็นต้องพาลงมาด้วยเลย”
“ถ้าพี่กลับไปไม่เจอก้อง ใครจะรับผิดชอบ?”
“ทำไมจะไม่เจอ?” ผมเถียง “หรือต่อให้ผมหายไปจริงๆก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ ผมไม่ได้สำคัญขนาดนั้น พี่ไม่ต้องสนใจหรอก”
พี่อู๋เงียบ เขาไม่พูดอะไรอีกนอกจากขับออกจากปั๊มน้ำมันและมุ่งหน้าสู่ภาคใต้ตอนบน
☁
บรรยากาศอึดอัดเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองวิวข้างทางและฟังเพลงเรื่อยเปื่อย พี่อู๋ไม่คุยกับผมเลย เขาขับรถอย่างเดียว ตามองถนนเขม็ง ไม่คอยเหลือบมองเด็กเอาแต่ใจเป็นระยะๆเหมือนเมื่อก่อน พอรู้ตัวว่าโดนโกรธก็รู้สึกแย่ ผมเสียใจนะที่ทำให้พี่อู๋โมโห แต่เขาควรรู้ว่าทุกอย่างที่ผมพูดคือความจริง ถึงเวลาเมื่อไหร่ผมคงต้องไป พี่อู๋ก็รู้ เขารู้ดีว่าเราไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันตลอดหรอก ผมอยากให้เขายอมรับได้ว่าถ้าผมอยากไปจริงๆ มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย พี่อู๋ทำดีที่สุดแล้ว ดีกว่าใครในโลกที่เคยเมตตานายก้องเกียรติแล้ว
ผมหลับๆตื่นๆ นั่งสัปปะหงกสลับกับตื่นมาดูสีท้องฟ้าเป็นระยะๆ จากสีส้มแสบตาของตอนบ่ายค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีทอง เป็นสีชมพู เริ่มมืดเหมือนมีเมฆครึ้ม ก่อนจะเข้ากลางคืนอย่างสมบูรณ์ ผมไม่ได้คุยกับพี่อู๋ก็เลยไม่รู้ว่าเราถึงไหน แต่ลืมตาอีกทีรถก็วิ่งผ่านป้ายทางหลวงที่เขียนว่า
ยินดีต้อนรับสู่จังหวัดน --
ผมอ่านทันแค่นั้นแหละเพราะพี่อู๋ตีนผีมาก เขาขับเลนซ้ายบ้างขวาบ้างเพื่อแซงรถข้างหน้า จริงอยู่ที่ผู้ปกครองของผมเป็นคนใจเย็น แต่คนใจเย็นนี่แหละน่ากลัวที่สุด เวลาเขาโมโห เขาจะหาทางระบายออกด้วยวิธีน่าหวาดเสียวเช่นขับรถเหี้ยเป็นต้น
“อย่าขับเร็วสิครับ”
ผมง้อเขาด้วยการชวนคุย แต่พี่อู๋ไม่สนใจ เขาจ้องถนนเขม็งและเร่งความเร็วขึ้นอีกจนผมตัวปลิวติดเบาะรถ
“พี่อู๋!”
“อะไร?”
“ผมบอกว่าอย่าขับเร็วไง!” ผมโวยวาย “พี่ขับรถแบบนี้รู้ไหมมันอันตรายนะ!”
“ก้องจะให้พี่ทนต่อไปเหรอ?”
นั่นไง -- ละครฉากแรกมาแล้ว
“พี่ก็รู้ว่าผมปากเสีย พี่จะเก็บคำพูดผมมาคิดให้รกสมองทำไม?”
“มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวของพี่ ไม่เกี่ยวกับก้องหรอก”
“พี่อย่าประชดสิ”
“ไม่ได้ประชด” พี่อู๋ปาดเข้าเลนซ้ายอย่างรวดเร็ว “แม่งเอ๊ย --”
“พี่ใจเย็นๆดิ! ผมรู้ว่าพี่โกรธ รู้ว่าพี่โมโหที่ผมพูดแบบนั้น แต่ผมแค่อยาก --”
คุณอิศรินทร์ไม่ฟังนายก้องเกียรติพูดจบประโยค เขาเลี้ยวซ้ายเข้าปั๊มน้ำมันก่อนจะจอดรถเหมือนคนรีบร้อน แน่นอนว่ากอริลลาที่เคยปากเก่งไม่กล้าพูดมาก ผมนั่งตัวแข็งทื่อ ตาเหลือบมองผู้ปกครองอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่เขากลับลงจากรถแล้ววิ่งพุ่งเข้าห้องน้ำชาย สับเท้ายิ่งกว่านักฟุตบอลในรายการกีฬาที่เคยดูด้วยกัน ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าใจว่าเขาไม่ได้โกรธหรอก
พี่อู๋ก็แค่ปวดอึเท่านั้นเอง
☁
“สบายไหมครับ?”
“อือ สุดๆ”
พี่อู๋ตอบหน้าระรื่นหลังทำธุระเสร็จ เขาทำเหมือนก่อนหน้าเราไม่ได้ทะเลาะ ทำเหมือนเรื่องที่คุยบนรถไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นผมจึงแกล้งลืมมันไปแล้วชวนเขาเข้าเซเว่นเพื่อหาขนมกินรองท้อง พอเห็นผู้ปกครองกลับมาอารมณ์ดีก็เริ่มรู้สึกหมั่นไส้ ทำเป็นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาตั้งนาน ที่แท้ก็แค่ปวดห้องน้ำ ถ้าปวดมากขนาดนั้นบอกดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องตีนผีให้ตกใจเลย
“สามทุ่มครึ่งแล้วแต่ยังไม่ถึงบ้านพี่ซักที”
“เอาน่า อีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว”
พี่อู๋หยิบกระเป๋าเงินจ่ายค่าขนม ผมยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าการเดินทางอันยาวนานโคตรๆของเรากำลังจะจบลง ซักพักกอริลลาก้องก็เริ่มนึกสงสัยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ในเมื่อผู้ปกครองของมันบอกว่าใกล้แล้ว แต่มันกลับไม่รู้เลย
นาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มยี่สิบเจ็ดนาที พี่อู๋ขับรถออกจากปั๊มน้ำมันโดยมีขนมจีบกุ้งยัดอยู่เต็มปาก เราผ่านเทสโก้โลตัส ผ่านมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผ่านถนนคดโค้งยิ่งกว่าเครื่องเล่นในสวนสนุก หลังจากนั้นก็วิ่งต่อยาวๆบนถนนสี่เลนจนถึงสี่แยกที่เขียนป้ายว่าบางปู พี่อู๋เปิดไฟเลี้ยวขวา ขับเข้าสู่ถนนใหญ่ที่ไม่มีไฟข้างทางเลย
“ทำไมมันมืดจัง?”
ผมสงสัย พี่อู๋บอกว่าต่างจังหวัดก็แบบนี้แหละ ทางที่เราวิ่งคือเส้นอ้อมเมือง ถนนหนทางมืดจนต้องเปิดไฟสูงเพราะมองอะไรแทบไม่เห็น แต่พอเข้าเขตสนามบินถึงจะเริ่มมีไฟข้างทางให้พอเห็นลางๆ แล้วก็หายไปอีกสิบกว่ากิโล แล้วก็กลับมาใหม่เมื่อเข้าใกล้เขตอำเภอเมืองมากขึ้น
“นี่โรงเรียนเก่าพี่”
“ไหนครับ?”
“ทางซ้ายมือ” พี่อู๋ชี้ให้ดู “พี่จบจากโรงเรียนนี้แหละ”
“อ๋อ --” ผมลากเสียง “เมื่อไหร่จะถึงซักทีครับ?”
“ใกล้แล้วก้อง” พี่อู๋ตอบ “เวลคั่มทูประเทศคอน”
คุณอิศรินทร์หัวเราะหึหึในขณะที่นายก้องเกียรติได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น รถของเราเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกอีกหนก่อนจะค่อยๆชะลอความเร็วเมื่อขับผ่านห้างแม็คโคร ผมว่าเราใกล้ถึงบ้านแล้วเพราะพี่อู๋แตะเบรคนานขึ้น ในที่สุดวีออสจากประเทศลาดพร้าวก็จอดหน้าบ้านหลังใหญ่ติดถนน บ้านรูปร่างประหลาดขัดกับหลังอื่นๆที่ตั้งอยู่รอบข้าง มันคือบ้านสี่เหลี่ยมเหมือนตึกแถวให้เช่า แต่ไม่ใช่บ้านเช่า นี่คือบ้านของพี่อู๋จริงๆ
“บ้านพี่ใหญ่จัง”
ผมชมเมื่อเห็นบ้านของผู้ปกครอง บ้านพี่อู๋ไม่ได้มุงกระเบื้องหลังคาด้วยซ้ำ มันเป็นตึกสี่เหลี่ยมสูงสี่ชั้น ภายนอกทาสีขาวเกลี้ยงไม่มีสีอื่นแต่งแต้ม รั้วบ้านทำจากอะลูมิเนียมอย่างดี มันแข็งแรงทนทานและออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัวโดยเฉพาะเพราะผมมองอะไรไม่เห็นเลย
“รอในรถนะ เดี๋ยวพี่เปิดประตูก่อน”
พี่อู๋บอกก่อนจะเดินลงไปไขกุญแจแล้วเข็นประตูจนสุดทาง หลังจากนั้นวีออสก็เข้าสู่รั้วบ้านซึ่งมีรถจอดอยู่หลายคัน พอเห็นจำนวนรถที่จอดใต้ชายคาผมก็เริ่มกังวล สมาชิกบ้านพี่อู๋ต้องมีหลายคนแน่ๆ ไม่งั้นพวกเขาจะมีรถสามสี่คันจอดอยู่ในบ้านหลังเดียวเพื่ออะไร
“ไป ไปอาบน้ำกินข้าว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรจึงช่วยพี่อู๋ขนสัมภาระลงจากรถ ไม่ว่าเขาไปไหนผมก็ไปด้วย กอริลลาก้องเดินตามผู้ปกครองติดๆไม่ยอมทิ้งระยะห่างจนถึงประตูข้างบ้าน พี่อู๋เปิดไฟห้องครัว ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าห้องครัวอยู่ใกล้ลานจอดรถขนาดนี้
“ห้องพี่อยู่ชั้นสามเลย ขึ้นบันไดเหนื่อยหน่อย แต่รับรองว่าส่วนตัวสุดๆ”
ผมพยักหน้าและช่วยขนของจนถึงห้องนอนของผู้ปกครอง มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆสีขาวสะอาดกับเตียงไม้สีน้ำตาลเตี้ยๆวางชิดติดผนัง พี่อู๋ถามว่าอยากนอนข้างในหรือข้างนอก ผมตอบว่ายังไงก็ได้ เขาจึงให้นอนด้านในด้วยเหตุผลที่ว่าเผื่อปวดฉี่ตอนกลางคืน จะได้ไม่ต้องปีนข้ามตัวนายก้องเกียรติเพื่อไปเข้าห้องน้ำ
“พ่อกับแม่ของพี่ล่ะ?”
“นอนแล้วมั้ง” พี่อู๋ตอบแบบไม่ใส่ใจ
“ผมควรไปสวัสดีพ่อกับแม่ของพี่ก่อนไหม?”
“ไม่ต้องหรอก ปล่อยคนแก่นอนเถอะ ไปกวนกลางดึกแบบนี้เดี๋ยวก็ความดันขึ้นยกบ้าน”
คุณอิศรินทร์พูดติดตลกก่อนจะชวนผมไปหาอะไรกินในครัว ตอนแรกเขาจะไปร้านโรตี ตามที่พูดนั่นแหละ แต่เปลี่ยนใจเพราะเห็นผมอ้าปากหาว ทำหน้าง่วงพร้อมหลับตลอดเวลา พี่อู๋บอกว่าแม่น่าจะเตรียมข้าวเอาไว้ให้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร คงไม่พ้นข้าวแกง
“อ้าว โจ๊กว่ะ”
พี่อู๋เปิดฝาชีแล้วหยิบโจ๊กออกมา สงสัยคุณแม่ของเขาคงจะรู้ว่าลูกชายไม่ได้กลับบ้านคนเดียว ไม่อย่างนั้นคงไม่ซื้อโจ๊กมาเตรียมไว้สองถุง
“พี่บอกแม่เหรอว่าผมจะมา?”
“บอก”
“พี่หลอกผมเหรอ?”
“เปล่า พี่บอกแค่ว่าจะพาคนมาด้วย”
“แค่นั้น?”
ผมขมวดคิ้ว พี่อู๋พยักหน้าพลางแกะโจ๊กใส่ชาม
“รีบกินเถอะเราอ่ะ เดี๋ยวต้องกินยาแล้วนอนอีก”
ผมทำตามคำสั่งผู้ปกครอง เรานั่งกินโจ๊กกันเงียบๆในห้องครัว เป็นบรรยากาศอึดอัดพิลึกเพราะต้องทำเหมือนไม่มีตัวตนเพื่อไม่ให้รบกวนคนในบ้าน แหงสิผมยังไม่ได้เจอพวกเขาเลย ไม่ได้สวัสดีคุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้แนะนำตัวกับครอบครัวเขา คืนทำเสียงดังกระโตกกระตาก ความประทับใจแรกพบคงเหลือศูนย์ โดนแม่พี่อู๋เตะไปนอนในสวนยางแน่ๆ ไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันหรอก
“อ้าว -- อู๋”
เสียงผู้หญิงทำผมตกใจจนช้อนหล่นกระทบถ้วยดังเคร้ง ผมรีบลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้คุณแม่พี่อู๋ในชุดนอนเหลืองสด แกก็รับไหว้แบบงงๆก่อนจะมองหน้าลูกชายตัวดีที่นั่งขัดสมาธิกินโจ๊กบนเก้าอี้เพื่อรอฟังคำอธิบาย
“แม่หวัดดีครับ”
พี่อู๋ยกมือไหว้แล้วกินต่อ เขาใช้นิ้วชี้สั่งให้นายก้องเกียรตินั่งลงเพราะตอนนี้ผมดูโคตรเด๋อในสายตาของผู้ใหญ่
“คนนี้ไง ที่บอกว่าจะพามาอ่ะ”
“อ๋อ” แม่พี่อู๋ยิ้มแล้วถามกอริลลาพลัดถิ่น “ดูเด็กจัง อายุเท่าไหร่เหรอเราน่ะ?”
“สิบแปดครับ”
“คุกนะไอ้อู๋”
พี่อู๋สำลักข้าวต้ม ผมไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องคุกมาอยู่ในบทสนทนาได้ยังไง
“ป๊าอ่ะ นอนแล้วเหรอ?”
“อืม” คุณแม่เปลี่ยนเรื่อง “เราล่ะชื่ออะไร?”
“ก้องครับ ก้องเกียรติ”
ผมยิ้มแหะๆพร้อมกับทำหน้าใสซื่อให้ผู้ใหญ่เอ็นดูไว้ก่อน น่าแปลกที่การซักประวัติอย่างเป็นลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่อยู่ไหน ทำงานอะไร นึกยังไงถึงตามลูกชายคนอื่นมาถึงใต้กลับไม่อยู่ในคำถามชวนคุยเลย ส่วนใหญ่พวกเราจะนั่งเงียบเหมือนต่างคนต่างมีเรื่องให้คิด พี่อู๋กินโจ๊กจนหมด ส่วนผมกินแค่ครึ่งเดียว พอกินเสร็จคุณแม่ก็มองหน้าพี่อู๋แล้วถอนหายใจ แกบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกันว่าจะเอายังไง แต่ผมไม่รู้ว่าพวกเขาหมายถึงเรื่องอะไร
“เจ๊ออมอ่ะ พูดอะไรหรือเปล่า?”
“ก็พูดเหมือนอู๋นั่นแหละ”
“แล้วแม่โอเคไหม?”
คุณแม่ไม่ตอบ เธอเสหน้ามองทางอื่นราวกับหนักใจก่อนจะเดินตบไหล่พี่อู๋แล้วเดินขึ้นห้อง ก่อนไปเธอบอกกอริลลาก้องว่าทำตัวตามสบายเลยนะ ถ้าขาดเหลืออะไรแต่ไม่กล้าบอกแก ก็ให้บอกพี่อู๋ เดี๋ยวพี่อู๋คงแจ้นมาบอกเอง
“ล้างจานด้วยอู๋”
“ครับ”
จบ บทสนทนาของแม่ลูกตัดฉับ ผมอาสาล้างจานให้คุณอิศรินทร์แล้วเดินกลับห้องที่ชั้นสาม บ้านของพี่อู๋เหมือนฐานทัพลับในหนังที่เคยดู ทุกอย่างดูแปลกตาและมีปริศนามากมายเต็มไปหมด น่าเสียดายที่ผู้ปกครองของผมไม่ได้พาทัวร์ เขาตรงดิ่งไปชั้นสาม ปิดไฟตรงหัวบันไดก่อนจะเปิดประตูเข้าห้อง
“ห้องน้ำอยู่ชั้นสองนะก้อง ชั้นสามอาบไม่ได้ ปั๊มน้ำไม่ขึ้น”
“ห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอครับ?”
กอริลลาก้องหยิบผ้าเช็ดตัวหนึ่งผืน มันถือแปรงสีฟันและสบู่เอาไว้ในมือ เตรียมพร้อมทำความสะอาดตัวเอง
“มาสิ เดี๋ยวพี่พาไป”
คุณอิศรินทร์เดินนำไปที่ชั้นสอง แน่นอนว่าบ้านทั้งหลังเปิดไฟแค่บางบริเวณเท่านั้น และดวงที่เปิดอยู่มีแค่ดวงเดียวคือไฟหน้าห้องน้ำ นอกนั้นดับสนิทจนมองเห็นลางๆว่าชั้นสองมีห้องขนาดใหญ่อีกสี่ห้อง ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นห้องนอนของครอบครัวเขาเพราะบริเวณรอบๆดูโล่งผิดจากชั้นสามที่มีข้าวของเด็กผู้ชายเต็มไปหมด
“อาบน้ำเสร็จแล้วเปลี่ยนเสื้อห้องนี้นะ” พี่อู๋ชี้ไปที่ห้องริมสุดทางขวามือ “เป็นห้องเก็บเสื้อผ้า ชอบตัวไหนก็หยิบมาใส่เลย บ้านนี้ใส่เสื้อปนกันทุกคน”
“พี่รอผมหน้าห้องน้ำได้ไหม?” ผมขอ
“กลัวผีเหรอ?”
“เปล๊า --”
พี่อู๋ยิ้มมุมปาก “อ่ะ รอก็รอ ไปอาบน้ำสิ พี่จะได้อาบต่อ”
ผมปิดประตูห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าของวันนี้ออกแล้วรีบเปิดฝักบัว ล้างหน้าถูตัวและแปรงฟันเร็วยิ่งกว่าความไวของแสงที่เดินทางมาถึงโลก ผมถูสบู่จนเกลี้ยงเพราะกลัวทำเตียงพี่อู๋เหม็น ถูตั้งแต่หน้าถึงข้อเท้า ล้างแล้วล้างอีก ขยี้ๆให้ขี้ไคลหลุดจนมั่นใจว่าสะอาดถึงออกจากห้องน้ำ แต่พอออกมา พี่อู๋ก็ไม่อยู่แล้ว
ไอ้พี่อู๋ -- จำไว้เลยนะ
ผมกัดฟันกรอดขณะเปิดประตูเข้าห้องแต่งตัว ห้องนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆที่มีตู้เสื้อผ้าวางเต็มผนังทั้งสามด้าน อีกด้านมีราวแขวนเสื้อที่ดูแล้วน่าจะเป็นชุดนอน ผมล็อคประตู เช็ดเนื้อเช็ดตัวจนแห้งแล้วเลือกเสื้อสีขาวกับกางเกงผ้ายืดมาใส่ พอมองตัวเองในกระจกผมก็เริ่มเอะใจว่านี่คงไม่ใช่เสื้อผ้าพี่อู๋หรอก น่าจะเป็นของเอม เพราะไซส์เล็กกว่าและสไตล์วัยรุ่นเกินกว่าคุณลุงวัยสามสิบสองจะเลือกใส่
ปิ๊บ!
ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงปิ๊บเบาๆจากที่ไหนซักแห่ง ห้องเก็บเสื้อผ้าไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่นเลยนอกจากพัดลมกับหลอดไฟ จึงเป็นไปไม่ได้ว่าเสียงเล็กแหลมนั่นจะอยู่ในห้องนี้
ปิ๊บ!
มันดังอีก คราวนี้ผมเริ่มระแวง รู้สึกเหมือนเสียงอยู่ใกล้มากแต่ไม่รู้มาจากไหน ผมเดินตามหาต้นตอของเสียงจากทุกที่ ทั้งมุมนั้นมุมนี้ เดินเอาหูแนบบานประตูตู้เสื้อผ้าจนกระทั่งมั่นใจว่ามันดังจากผนังทางซ้ายซึ่งติดกับห้องใหญ่ที่อยู่ถัดไป
ปิ๊บ! ปิ๊บ!
ผมปิดไฟในห้องแต่งตัวก่อนจะค่อยๆย่องออกมา พอไม่มีรถวิ่งผ่านหน้าบ้าน เสียงปิ๊บ!ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งชัดมากขึ้นเมื่อลองเอาหูแนบบานประตูห้องนั้น
คงมีใครลืมปิดสวิตช์อะไรซักอย่าง
ผมเดา เพราะเสียงปิ๊บ!นั้นเหมือนเสียงเตือนจากเครื่องใช้ไฟฟ้า จริงๆจะไม่ยุ่งก็ได้ แต่พอคิดว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ ไฟอาจลัดวงจรทำให้บ้านพี่อู๋ไหม้เหมือนบ้านตัวเองผมก็เปิดประตูเข้าไป ห้องนี้ไม่ได้ล็อก แอร์เย็นฉ่ำ ทุกอย่างมืดสนิทจนกระทั่งผมเดินเข้าไปซักพักถึงรู้ว่าเสียงปิ๊บ!มาจากไหน
มาจากมอนิเตอร์เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
มีชายชราคนหนึ่งนอนบนเตียงผู้ป่วย สายระโยงระยางเชื่อมต่อตัวเขากับอุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มไปหมด เสียงเครื่องวัดชีพจรยังคงร้องปิ๊บ ปิ๊บเป็นจังหวะ กอริลลาก้องได้แต่ยืนชะงักอยู่กับที่ รู้สึกว่าครั้งนี้ตัวเองทำเกินไป นี่คือบ้านของพี่อู๋ คือที่ส่วนตัวของครอบครัวเขาไม่ใช่ลาดพร้าวยี่สิบเจ็ด ผมไม่สมควรเปิดประตูบานนี้เข้ามาด้วยซ้ำ แต่พอนึกถึงสภาพชายชราที่นอนเป็นผัก ผมก็ก้าวขาไม่ออก ใจหนึ่งอยากรู้ว่าเขาป่วยเป็นอะไร อีกใจก็คิดว่ามันจะดูเสือกเกินไปหรือเปล่า ผมที่ไม่รู้จะไปไหนตัดสินใจกลับไปหาผู้ปกครอง จังหวะกำลังหมุนตัวเตรียมหนี หญิงชราคนหนึ่งก็ยืนขวางบานประตู เธอดูตกใจไม่แพ้นายก้องเกียรติเพียงแค่มีสติมากพอจะถามผมด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจว่า
“เธอเป็นใคร มาทำอะไรในบ้านของฉัน!”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in