เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รถเก่าเล่าใหม่ชานชาลาที่ 32
Saab...จากฟากฟ้าสู่ผืนดิน
  • หากกล่าวถึงบริษัทรถยนตร์สัญชาติสวีเดนคนประมาณร้อยล่ะ 90 จะนึกถึงบริษัทวอลโว่เป็นอันดับแรก น้อยคนนักที่จะนึกถึงบริษัทรถยนต์อีกบริษัทหนึ่งซึ่งต้องปิดตัวไปตามสภาพของการตลาด  บริษัทที่ครั้งหนึ่งเป็นผู้นำวงการรถยนตร์ และนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้าสู่วงการยานยนตร์ของโลก

    "SAAB"

    โดย P_Pulitzer

        จุดเริ่มต้นของตำนานเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อบริษัท SvenskaAeroplan AB ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยุทโธปกรณ์ให้แก่กองทัพสวีเดน มาตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้ตัดสินใจจะเข้าร่วมแข่งขันในตลาดรถยนตร์บ้าง ทว่ามีอุปสรรคสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง คือทั้งบริษัทไม่มีวิศวกรยานยนตร์เลยแม้แต่คนเดียว เนื่องด้วยบริษัทนั้นเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตอากาศยานมาตลอดเมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องเดินหน้าลุยกันต่อไป เครื่องบินก็ออกแบบมาแล้วออกแบบรถยนตร์มันจะยากสักแค่ไหนเชียว 

    .

    .

       รถยนต์ Saab ในยุคแรกๆนั้นไม่ได้มีความทันสมัยอะไรมากนัก ส่วนใหญ่ใช้เครื่องยนต์สองจังหวะ (เหมือนเครื่องมอเตอร์ไซค์ยุคก่อน) มีลูกสูบเพียงสองสูบเท่านั้น แต่กระนั้นด้วยการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากเหล่าวิศวกรอากาศยานรถยนตร์ Saab จึงมีรูปทรงปราดเปรียวและลู่ลมมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำมาก พูดอย่างง่ายๆคือรถมีแรงต้านอากาศน้อยกว่ารถคันอื่นในยุคเดียวกัน เมื่อแรงต้านน้อยก็ทำให้เครื่องยนต์ใช้กำลังน้อยกว่าในการแหวกอากาศเพื่อพาตัวเองไปด้านหน้า 


    "Saab92"  รถยนตร์รุ่นแรกของบริษัท


    ทำให้ตลาดโลกและชาวสวีเดนให้การตอบรับรถยนต์Saab เป็นอย่างดี ในช่วงเปิดตัว Saab สามารถทำยอดขายในระดับที่พอรับได้ จนนำมาสู่การพัฒนารถยนตร์รุ่นต่อๆมาได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งสำหรับส่วนบุคคล รถสปอร์ตสองประตู นอกจากนี้บริษัท Saab เองได้นำเสนอสิ่งใหม่ๆที่เป็นนวัตกรรมให้แก่วงการยานยนตร์อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งฮีทเตอร์ไว้ในเบาะนั่ง รวมถึง Saab ยังมีจุดเด่นในเรื่องของโครงสร้างตัวถังที่มีความแข็งแรงมาก 

    .

    .

    จนมีการกล่าวกันว่ารถยนต์ของ Saab นั้นสามารถนำลงแข่งในรายการแรลลี่ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องทำการค้ำโครงสร้างตัวถังเหมือนยี่ห้ออื่นๆ (ซึ่งสุดท้ายก็ต้องนำไปติดโรบาร์ค้ำยันอยู่ดีให้ถูกต้องตามกติกาการแข่งขัน) หรือแม้กระทั่งการนำระบบอัดอากาศอย่างเทอร์โบชาร์จเจอร์เข้ามาติดตั้งในรถยนตร์ณ์ขนาดเล็ก เพื่อทำให้เครื่องยนต์ความจุกระบอกสูบน้อยนั้น สามารถสร้างกำลังได้เท่ากับเครื่องยนตร์ที่มีความจุกระบอกสูบมากกว่า รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีหัวฉีดน้ำมันช้าแทนที่คาร์บูเรเตอร์ ซึ่งช่วยการฉีดน้ำมันให้เป็นละอองฝอยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้มากกว่าเดิม ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้านั้นทำให้ Saab เป็นที่นิยมในหมู่ของผู้ใช้ในชั่วเวลาหนึ่งรถยนต์ขนาดเล็กรูปทรงสวยงาม เครื่องซีซีน้อยแต่ให้กำลังขับมหาศาลท้าชนกับรถใหญ่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

    .

    อธิบายเพิ่มเติม :เครื่องยนต์นั้นไม่สามารถอัดอากาศเข้าไปเต็มกระบอกสูบได้ตามหลักการไหลของอากาศเครื่องยนตร์ปกติสามารถอัดอากาศเข้ากระบอกสูบได้ประมาณ80%เท่านั้น หลักการทำงานของเทอร์โบคือการนำไอเสียไปหมุนกังหันเพื่อทำหน้าที่อัดอากาศเข้าสู่กระบอกสูบให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งขึ้นรีดพลังจากเครื่องความจุน้อยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

    .

     แต่สัจธรรมของโลกนั้นเมื่อมีขึ้นก็ย่อมต้องมีลง แม้ Saab จะนำเสนอรถที่มีเทคโนโลยีสูงรถยนต์ที่มีโครงสร้างแข็งแรงมาตลอด แต่เมื่อตลาดโลกหมุนไป และ Saab ที่แม้จะอัดเทคโนโลยีเข้าไปแต่รูปลักษณ์ภายนอกนั้นกลับไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงรวมถึงการผลิตรถยนตร์ที่ทนทายาดชนิดที่ว่าบางทีเจ้าของตายก่อนรถจะพัง ทำให้บริษัทขาดกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ ส่วนลูกค้าเก่าในเมื่อรถมันไม่เสียเขาก็ไม่ได้อยากเปลี่ยนรถ จึงทำให้ยอดขายเริ่มตื้อตันและต้องเริ่มลดรายจ่าย แต่วิศวกร Saab นั้นเขาไม่ยอมทิ้งในสิ่งที่เขาเชื่อ

    .

    .

    ปี 1984 Saab ทำการเปิดตัวรถยนตร์รุ่น 9000 สู่ตลาดโลก ซึ่งตอนแรกนั้นผู้บริหารนั้นต้องการลดรายจ่าย โดยการไปพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับ Lancia thema.... วิศวกรของบริษัท Lancia นั้นได้ทดสอบโครงสร้างพื้นฐานรถยนตร์รุ่นนี้แล้วพวกเขาบอกว่า “โอเคดีเยี่ยม” เหล่าวิศวกร Saab นั้นได้ทดลองขับแล้วก็บอกว่าอื้มอะไรๆมันก็โอเคนะแต่เดี๋ยวขอลองไปทดสอบการชน (crash-test) สิ.....หลังจากนั้นเหล่าวิศวกร Saab ก็ได้มีอันต้องปรับโครงสร้างกันใหม่อีกครั้งไม่ว่าจะเป็นล้อ ความหนาของเหล็ก หรือแม้กระทั่งเพลาขับ.... ใช่แล้วครับจากแผนจะประหยัดเงินทำไปทำมาดันต้องจ่ายแพงกว่าเดิมเสียอีก


    "Saab 9000"

    แม้ยอดขาย Saab9000 จะดีเพียงใด และได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากผู้คนในตลาดโลกที่พากันชื่นชมในด้านความแข็งแรงความแรงและความสบายทนทานเพียงใด แต่ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงจากการพัฒนาก็ทำให้บริษัทจำใจจะต้องขายหุ้นบริษัทให้แก่บริษัทในเครือ GM (general motors) ซึ่งหมายมั่นปั้นมือจะเข้ามาตักตวง..เอ้ยกอบกู้กิจการของSaabให้ได้ด้วยวิธีที่พวกเขาถนัดนั่นก็คือ...

    GM : เอาล่ะ Saab นี่คือ OpelVectra A รถจากในเครือเราสิ่งที่พวกนายต้องทำคือเอารถคันนี้ไปแต่งหน้าทาปากนิดๆหน่อยๆแล้วก็แปะตราของพวกนายขายนะ

    วิศวกร Saab : ครับ (คิดในใจ : ไอ้นี่มันขยะชัดๆเราเอามาแปะตราขายมีหวังกลุ่มลูกค้าเราหายหมดแน่ บริษัทเราไม่ทำรถเซ็งเคร็งแบบนี้ขายหรอก)


    "OpelVectra A"


    สุดท้าย Saab เอา Opel เอาไปรื้อทั้งคันออกแล้วก็ปรับปรุงนั่นโน่นนี่ตามสไตล์ของ Saab จนในที่สุดก็ออกมาเป็น Saab900 ที่นักเลงรถในเมืองไทยต่างก็รู้จักกันดี  และใช่ครับ...จากแผนลดต้นทุนกลายเป็นเพิ่มรายจ่ายอีกแล้ว


    "Saab 900"


    ผู้บริหาร GM เหนดังนั้นก็กุมขมับกัดฟันกรอด แล้วได้แต่บอกว่าช่างมัน กาลเวลาผันผ่านไปและแล้วก็ถึงคราวที่ Saab จะต้องออกรถรุ่นใหม่ที่จะมาแทน 900 เดิมผู้บริหาร GM ก็เดินมาหาเหล่าวิศวกร Saab แล้วพูดด้วยประโยคที่เกือบจะเหมือนเดิมว่าจะต้องออกรถรุ่นใหม่ที่จะมาแทน900 เดิม

    GM : เอาล่ะSaab นี่คือ Opel Vectra คราวนี้ห้ามทำแบบครั้งที่แล้วนะ เปลี่ยนตราแล้วเอาไปขาย พออย่าทำอะไรนอกเหนือคำสั่งนะ!

    วิศวกรSaab : ครับ(คิดในใจ : ไม่มีทางโว้ย)

    .

    .

    คราวนี้วิศวกร Saab แสดงให้เห็นถึงขั้นสุดของการดื้อแพ่ง Saab เอารถ Opel Vectra B ออกมารื้อทั้งคันแล้วปรับปรุงขนานใหญ่ให้ได้มาตรฐานของชาวสวีเดน Saab เปลี่ยนไปทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ความยาวของฐานล้อเปลี่ยนไปจนถึงระบบปฎิบัติการของระบบนำทาง(GPS Navigatorก็ยังใช้คนล่ะระบบเหล่าผู้บริหาร GM ถึงกับกุมขมับอีกหนถึงกับต้องบินมาสวีเดนเพื่อมาถามเหล่าวิศวกร

    GM : พวกแกทำบ้าอะไรโว้ยยยบอกให้เอารถไปแปะตราขาย จะได้ประหยัดเงิน นี่พวกแกทำไรลงไปเปลี่ยนนั่น เปลี่ยนนี่เปลี่ยนกระทั่งฐานล้อ เปลี่ยนยันระบบนำทางเนี่ย พวกแกทำบ้าอะไร!

    วิศวกรSaab : ก็ของๆแกมันดีไม่พอที่จะแปะตราSaabขายยังไงล่ะ!


    "Opel Vectra B"

    จากนั้นก็มีการดื้อแพ่งชิงเหลี่ยมกันตลอดระหว่างกลุ่มวิศวกรชาวสวีเดนกับกลุ่มบริหารชาวอเมริกันหลังจากยื้อกันมาเนิ่นนานในที่สุดหลังประสบปัญหาเศรษฐกิจในปี 2008 ตัวบริษัท GM ขาดทุนจากวิกฤตทางการเงินของบริษัทตัวเองอยู่แล้ว ต้องมาเจอกับปัญหาความดื้อแพ่งผลาญเงินราวกับเบี้ยของ Saab แล้วก็ตัดสินใจจะขายมันพ้นๆไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

    .

    .

     Saab ต้องระหกระเหินเร่ร่อนเปลี่ยนมือไปสู่บริษัท Spyker ที่หวังจะกอบกู้แต่ก็ไม่มีความหวัง Saab นั้นไม่อาจแข่งขันในตลาดโลกที่มีความแข่งขันสูงได้อีกแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าความพยายามล้วงลูกของบริษัท GM นั้นส่งผลต่อโครงสร้างต่างๆของบรัท Saab พอสมควร 

    .

    .

    จนในที่สุดในปี 2011 มันก็ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่ใต้ร่มธงของพญามังกรจีน ทว่าชะตาของ Saab นั้นอาจจะนับว่าโชคดีที่ไม่ต้องถูกทำลายจนป่นปี้ด้วยน้ำมือของชาวจีนเหมือนกับบริษัทรถยนต์ชื่อดังจากอังกฤษบางยี่ห้อหาก แต่มันคือจุดจบ เพราะ Saab ยุติการพัฒนารถยนตร์รุ่นใหม่ๆไปแล้วอย่างสิ้นเชิงคงเหลือแต่องค์ความรู้ที่ถูกส่งต่อให้บริษัทสัญชาติจีนนำไปพัฒนาต่อตามแนวทางของตัวเองเท่านั้น......และปิดตำนานของรถยนต์สัญชาติสวีเดนลงแต่เพียงเท่านี้

    .

    .

    รถยนต์ Saab คือผลผลิตของเหล่าวิศวกรและผู้บริหารของที่ล้วนแต่มีความสามารถ และความทุ่มเทไม่น้อยในการปลุกปั้น และประคับประคองรถยนตร์ที่สร้างบนมาตรฐาน และความเชื่อของพวกเขาจากองค์ความรู้ที่แทบจะเป็นศูนย์ สู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและการนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใส่รถยนต์ขับเคลื่อนวงการรถยนต์ให้ก้าวหน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องปิดตัวลงก็เกิดมาจากความเชื่อของพวกเขาเองโลกหมุนเร็วเกินไปเกินกว่าที่ Saab จะก้าวตามทันความทนทานและเอกลักษณ์ที่พวกเขาสร้างกลับกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำลายพวกเขาเมื่อกาลเวลาผันผ่าน

    .

    .

    และเมื่อพวกเขาต้องจากไปจากโลกยานยนตร์ ทุกคนก็จดจำแบรนด์นี้ในฐานะของบริษัทที่ปิดตัวลงเพราะทำในสิ่งที่พวกเขาเชื่อ เพราะสิ่งที่จะถูกผลิตออกขายต้องดีพอที่จะสามารถติดตราของยี่ห้อได้อย่างภาคภูมิเท่านั้นเหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งบริษัทเคยประกาศกร้าวว่า

    "SAAB will surrender its ownlife to save yours"

    "ซ้าบยอมที่จะสละชีวิตของมันเพื่อปกป้องคุณ"


                

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in