เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
สาวน้อยชั้นสองlokasander2
ร่วมมือ 100
  • ขณะที่คุณหนูและพ่อบ้านของเธอใช้เวลายามบ่ายอย่างสงบสุข ในตึกร้างแห่งหนึ่งไม่ไกลจากร้านขายอุปกรณ์เอวี่ มีชายคนหนึ่งกำลังตัวสั่นงกๆ และลุกลี้ลุกลนเหมือนหนูติดจั่น ดวงตาลึกโบ๋และปูดโปน มือและเท้าถูกมัดไว้ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำรวมถึงรอยเลือดแห้งกรัง ส่งเสียงร้องทุนรนทุรายฟังไม่ได้ศัพท์ เป็นภาพที่ไม่น่าดูชมเอาเสียเลย รอบข้างเขามีชายฉกรรจ์สามคนล้อมหลังไว้

    ตรงข้ามกับชายหนุ่มดังกล่าวเป็นชายแก่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมหรูหราไม่เข้ากับสถานที่ ประมาณส่วนสูงได้ไม่น่าเกินหนึ่งร้อยห้าสิบห้า ตัวอ้วนกลม มือส่งขนมหวานหน้าเฮเซลนัทเข้าปากไม่หยุด ส่งเสียงเคี้ยวดังอย่างไร้มารยาท จัดการกับขนมหวานชิ้นนี้เสร็จก็ปัดมือและเช็ดขากางเกง ใช้ลิ้นดุนเศษขนมที่ติดฟันและถุยใส่ชายที่ถูกมัดไว้ ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่กองอยู่บนพื้น

    “ไหนแกลองบอกเหตุผลดีๆ สักข้อที่ทำให้ฉันเปลี่ยนใจไม่ฆ่าแกมาสิ” บอดี้การ์ดร่างยักษ์ตรงกลางกระชากผมชายหนุ่มให้แหงนหน้ามองนายของมัน “ทั้งๆ ที่แกทำฉันเสียทั้งเวลา ทั้งเงินทอง ไหนจะชีวิตลูกน้องของฉันอีก”

    ชายแก่เดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้นวมตามเดิม “ตอนนี้พวกพาทีเนียรู้ตัวแล้ว ลำพังยัยคุณหนูของมันน่ะไม่เท่าไหร่ พ่อบ้านกระจอกๆ ของมันฉันก็ยังไม่สน แต่นี่ แกบังอาจทำให้สุนัขรับใช้ของพวกมันรู้ตัว”

    ใบหน้าจุ๋มจิ๋มที่เต็มไปด้วยไขมัน และผมที่ขึ้นแค่ด้านข้าง ประกอบกับของหวานที่มีติดมืออยู่ตลอดเวลาทำให้ตาแก่คนนี้ดูเป็นมิตรกว่าความเป็นจริงมากโข ตาสองชั้นที่แทบลืมไม่ขึ้นเพราะชั้นไขมันหนาเกินไป พยายามถลึงตาใส่ลูกน้อง และสั่งออกมาคำหนึ่งก่อนจะออกไปจากตึกร้างแห่งนี้

    “เก็บมันไว้ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จัดการมันซะ วันนี้คุณหนูนั่นกลับไปทำงานวันแรก เลือกมาสักชิ้น ส่งไปรับขวัญคุณหนูของเราสักหน่อย ส่วนที่เหลือส่งไปให้สุนัขของพวกพาทีเนีย!”

    ประกาศกร้าวเสร็จ ลูกน้องอีกสองคนที่เฝ้าประตูไว้ก็เข้ามาช่วยพยุงร่างอ้วนท้วมไปขึ้นรถยนต์สีดำ เครื่องยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด กระจกทั้งสองฝั่งของที่นั่งผู้โดยสารมืดทึบด้วยม่านพิเศษ เนื่องจากตัวรถค่อนข้างสูง ภาพชายรูปร่างแข็งแรงสองคนกำลังช่วยกันกึ่งดันกึ่งผลักร่างกลมท้วมของชายแก่ให้ขึ้นรถไปได้สำเร็จดูน่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดายนักที่ที่แห่งนี้ร้างผู้คน


    *


    หลังเสียงเครื่องยนต์ค่อยๆ หายไป ความเงียบกลับเข้ามาแทนที่ ทำให้ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนเป็นครั้งสุดท้ายจากชายที่ถูกจับมา ปลายแท่งเหล็กที่ถูกหล่อขึ้นเป็นรูปสัญลักษณ์งูที่พันตัวรอบวงกลม และอักขระที่แปลความหมายได้ว่า ‘ความตาย’ ถูกนำไปสุมไฟและตีตราลงบนหน้าผากของร่างไร้วิญญาณ นิ้วนางข้างขวาถูกตัดออกไป ส่วนทั้งร่างที่เหลือหายไปไหนนั้น อีกไม่นานคงได้รู้กัน

    ภายในตึกร้างตอนนี้เหลือเพียงคราบเลือดและร่องรอยแห่งความไม่น่าดู ท้องฟ้าหม่นแสง ถูกปกคลุมไปด้วยควันไฟ เอเวอรีนที่กำลังยุ่งอยู่กับธุระที่เพื่อนสาวไหว้วาน ได้กลิ่นเหมือนขี้เถ้าลอยมาตามลมจึงออกไปดู พบว่าตึกร้างใกล้กับร้านเธอมีควันลอยออกมา ชั่วครู่ที่กำลังจะไปแจ้งทางการ ฝนก็เทสาดกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงฟ้าร้องคำรามเสียงดัง ผู้คนจอแจกลางเมืองตอนนี้วิ่งหลบฝนกันให้วุ่น ไฟที่ลุกไหม้เมื่อครู่ก็เริ่มดับลง

    เอเวอรีนรู้ดียิ่งกว่าใครว่าแถวนี้ไม่มีใครอยู่ เพราะอย่างนั้นเธอจึงเลือกมาเปิดร้านที่นี่ ลางสังหรณ์ของสาวขี้งกคนนี้แม่นมาก แม้แต่วิกเตอร์ที่ไม่ชอบหน้ายังยอมรับ อะไรบางอย่างสั่งให้เธอเข้าไปตรวจสอบตึกแห่งนั้น สาวร่างสูงเพรียวไร้ซึ่งความลังเล ท่ามกลางฝนที่ยังเทลงมาไม่หยุด หญิงสาวผมสั้นในชุดเดรสสีฟ้าวิ่งฝ่าฝนออกไปพร้อมกล่องอุปกรณ์คู่ใจ


    ------------------------------------------------------------------------------------------


    พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว แต่คุณหนูบ้านพาทีเนียยังนอนอยู่อย่างสบาย เสียงฝนฟ้าเมื่อตอนบ่ายก็ทำอะไรเธอไม่ได้ ในห้องทำงานของหัวหน้าหน่วยพิเศษตอนนี้มีเจ้าหน้าที่คนใหม่นั่งอยู่ ท่าทางไม่ทุกร้อนกับเรื่องที่เจ้าตัวเพิ่งพูดไปทำให้วิกเตอร์อึดอัดอยากจะทำตามที่อลิซแนะนำ ดวงตาสีฟ้าเข้มของคนมาใหม่เหล่มองหญิงสาวที่ยังนอนอยู่ ไม่แปลกใจเท่าไหร่กับภาพที่เห็น

    “นายกำลังจะบอกว่า นายท่านจ้างนายให้มาตามสืบเรื่องนี้งั้นเหรอ” วิกเตอร์เปิดปากถามออกไปก่อนหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดของชายตรงหน้า

    “ถ้าได้ฟังที่ผมพูดไปตั้งแต่แรก ก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ ว่าผมไม่ได้ถูกส่งมาสืบอะไรที่นี่ แต่โดนว่าจ้างให้ติดตาม ‘ผู้หญิงคนนี้’ อย่างใกล้ชิด” ไคลด์พูดขึ้น ไม่พอยังยื่นจดหมายที่มือลายมือผู้ว่าจ้างพร้อมลายเซ็นอย่างชัดเจนให้วิกเตอร์ ยืนยันคำพูดตัวเอง

    วิกเตอร์รับจดหมายไปอ่าน นิ้วดันแว่นขึ้นให้เข้าที่ มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือลายมือของ ‘นายท่าน’ จริง สีหน้าเคร่งเครียด ด้วยรับรู้ว่าเรื่องนี้ใหญ่กว่าที่เขาและอลิซคาดไว้มากโข นายท่านเองก็รู้เรื่องนี้ ถึงขั้นส่งนักสืบเอกชนให้มาคอยตามทายาทตน แต่เขาดันเลินเล่อจนรู้เรื่องเป็นคนสุดท้าย

    ขณะที่วิกเตอร์กำลังนั่งไว้อาลัยให้กับตัวเองเมื่อนึกถึงคราวที่ต้องไปเข้าพบนายท่าน ไคลด์ที่นั่งไขว่ห้าง เอามือประสานไว้บนตัก ผงะไปข้างหลังเล็กน้อย เมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามากระชากกระดาษในมือวิกเตอร์อย่างรวดเร็ว ผมมันกระเซอะกระเซิงจนมองไม่เห็นหน้าที่แท้จริง

    “เป็นลายมือของท่านพ่อจริงๆ ด้วย!!!” เงาร่างที่ไคลด์เห็นแท้จริงเป็นอลิซที่อยู่ดีๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องหันขวับไปมองร่างสูงที่ยังไม่ค่อยแน่ใจว่านี่คือคุณหนูบ้านพาทีเนีย สภาพเธอไม่เหมือนที่เจอตอนเช้า ตอนนี้ผมหญิงสาวชี้ฟูไม่เป็นทรง ริมฝีปากแห้งผากเพราะนอนนานไป รวมถึงตาที่ปกติกลมโตอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้จ้องถลนมาที่เขาและยังมีรอยคล้ำรอบดวงตาทำให้ดูน่าสยองไม่หยอก

    “อย่ามาแย่งของจากมือคนอื่นแบบนี้สิ ตกใจหมด แล้วนี่ตื่นตั้งแต่ตอนไหนน่ะ” วิกเตอร์โวยวายเล็กๆ เพราะเขาก็แอบสะดุ้งเหมือนกันตอนที่อลิซพุ่งเข้ามา

    “ก็ตั้งแต่ที่นายนี่เดินเข้ามา ฉันแค่หลับไม่ได้ตาย หูยังใช้การได้ดีมาก” อลิซลากเสียงคำว่ามากให้ดูเกินจริง ทันใดนั้นก็อะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ตวัดกระดาษขึ้นมาไล่ดูอีกรอบหนึ่ง เมื่อเจอสิ่งต้องการก็อึ้งไปสักพัก แต่ยังต้องการความชัดเจน จึงหันไปถามไคลด์

    “นี่ ชั้นสาม ท่านพ่อฉันจ้างนายตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “วันที่ก็เขียนชัดเจนอยู่ในใบสัญญานะ ดูเอาสิ” เอามือกอดอก พยักเพยิดไปที่กระดาษในมือหญิงสาว

    “ฉันเห็นแล้ว ตายังไม่บอด แต่อยากได้ยินกับหู เข้าใจ?”

    หนุ่มชั้นสามถอนหายใจ

    “14 ธันวาคม ตอนวันเกิดครบรอบ22ปีของเธอ”

    วิกเตอร์เลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ แต่ก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงได้รับคำสั่งว่าไม่ต้องคอยติดตามดูแลทายาทพาทีเนีย ส่วนอลิซอยากจะหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก อยากจะร้องไห้แต่น้ำตาก็ไม่ไหล เสียงในหัวดังขึ้น

    ให้ตายเถอะพระเจ้า! นั่นมันตั้งแต่สามปีที่แล้ว หรือก็คือ ตั้งแต่ที่เธอย้ายเข้าไปอยู่ที่เพนท์เฮ้าส์นั่นละ

    นี่เธอโดนตามมาตลอดเลยเหรอ!?

    “เกินไปแล้ว ครั้งนี้ท่านพ่อทำเกินไปแล้ว แล้วอย่างนี้ที่ฉันย้ายออกมาอยู่คนเดียวมันจะได้อะไรขึ้นมา! ถ้าเขายังมาคอยตามติดกันอยู่แบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ฉันถึงจะโตพอที่เขาต้องการกัน ว่าอย่างไร! มันเมื่อไหร่!?!” หันไปตวาดใส่ไคลด์ ไม่พอยังเข้าไปคว้าคอเสื้อพ่อหนุ่มชั้นสามไว้ด้วย วิกเตอร์กำลังจะเข้ามาห้ามแต่คุณนักสืบส่ายหน้าเป็นเชิงว่าเขาจะจัดการเอง

    ไคลด์ตกใจกับปฏิกิริยานี้ของอลิซไม่น้อย มือสองข้างจับมือคนตัวเล็กกว่าเอาไว้แน่น ค่อยๆ แงะมืออลิซที่บีบคอเขาอยู่ออกอย่างใจเย็น ครั้งนี้อลิซโกรธจัดจริงๆ เขารับรู้ได้จากดวงตาแดงก่ำของอีกฝ่ายที่มีน้ำตารื้นขึ้นมาแล้ว เห็นเธอกัดปากตัวเองแน่น พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะไม่ร้องออกมา แม้จะโกรธมากแต่สีหน้าเธอที่มองเขาตอนนี้มันคือคนที่เสียใจอย่างสุดซึ้ง เสียใจที่พ่อที่เธอเคารพรักมาก ทำร้ายความเชื่อใจที่เธอมีให้

    เขาเป็นคนคอยตามเธอมาตลอดสามปีทำไมถึงจะไม่รู้ สิ่งที่เธอคนนี้ต้องการมาตลอด ไม่ใช่การทะนุถนอมดุจไข่ในหิน แต่เป็นความไว้วางใจและอยากให้พ่อเธอเห็นว่าเธอสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ว่าเธอเหมาะสมที่สุดที่จะรับภาระที่เรียกว่าพาทีเนีย

    คุณนักสืบใช้มือข้างหนึ่งรวบมืออลิซเอาไว้ มืออีกข้างดึงคนที่กำลังสะอื้นอย่างรุนแรงเข้ามากอดหลวมๆ ลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ ไม่สนสายตาของคุณพ่อบ้านที่จ้องมาเขม็งและทำไม้ทำมือให้ไคลด์ปล่อยคุณหนูของเขาออก

    ไคลด์ปลอบอลิซอยู่พักใหญ่ จนอีกฝ่ายหยุดร้องเรียบร้อยและเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าท่าทางตอนนี้มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ อลิซดันตัวเองออกมาก่อน ตอนทำก็ไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้สติกลับมาครบแล้ว อลิซท่าทางอึกอักไม่กล้าเงยหน้าเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ส่วนคุณนักสืบก็กระแอมออกมาทีหนึ่ง เอามือเกาท้ายทอย เงยหน้ามองสำรวจเพดานเหมือนว่ามันน่าสนใจมาก

    วิกเตอร์สลับมองสองคนที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อเหตุการณ์เมื่อครู่ ในใจอยากจะไปกระชากร่างเล็กออกมาตั้งนานแล้วแต่ติดที่ว่าคุณหนูของเขาดันกอดเจ้านักสืบน่าตายนั่นเสียแน่น มันน่าตายนัก ทั้งคู่เลย!


    ------------------------------------------------------------------------------


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in