ตู้รถไฟชั้นสามถูกกาลเวลากัดกร่อนจนซีดเซียว ข้างใต้ผนังสีเขียวหลุดลอกออกเป็นวงปรากฏร่างคุดคู้ของชายวัยทำงานนั่งขดตัวอยู่ ขดตัวงองุ้มดังลูกสุนัขเกิดใหม่ สวมใส่เครื่องแต่งกายยับยู่ยี่เหมือนเพิ่งคุ้ยเขี่ยขึ้นมาจากซอกลึกซอกหนึ่งในตู้เสื้อผ้า องคาพยพแสนธรรมดาทั้งห้าโอบอุ้มความเหนื่อยล้าสิ้นหวังเอาไว้จนบิดเบี้ยว “ขอโทษนะครับ” ท่ามกลางการสลับกันของแสงสว่างและเงามืดจากหมู่ตึกอาคารสูง ผู้มาเยือนคนหนึ่งเกาะพนักเก้าอี้พยุงตัวเองเอาไว้ ก่อนจะสอดแทรกกายผ่านช่องแคบระหว่างเข่า นั่งลงบนเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้าม
ชายโชคร้ายถูกรอยยิ้มสว่างเจิดจ้าตรงหน้าแยงตาจนพร่าเลือน จึงสาดกระจายความสนใจกลับออกไปด้านนอก ปลิวว่อนในอากาศ จมอยู่ตามพุ่มไม้ข้างทาง พลางเท้าแขนขวาลงบนขอบหน้าต่างเหล็ก ดุดันนิ้วชี้ที่ยังคงมีกลิ่นบุหรี่ติดฉุนจัดข้างใต้ปลายจมูก สูดดมคาบนิโคตินเพื่อปลอบประโลมจิตวิญญาณสั่นสะท้าน “จะไปไหนเหรอครับ” ผู้มาเยือนเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ชัดถ้อยชัดคำชวนให้นึกถึงพวกลูกผู้ดีมีสตางค์
ดวงตาชืดชามองเงาสะท้อนจืดจางของตนเองซ้อนทับอยู่บนวิวทิวทัศน์ที่ถูกความเร็วรถดูดกลืนจนพร่าเลือน เลนส์แว่นสะท้อนแสงวาววับ “ราชบุรีครับ” ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งสั่นเล็กน้อยเหมือนโดนเขย่า เล็กน้อยทว่าไม่อาจควบคุม และยาวนานเสียจนต้องถดมันกลับเข้าไปในแขนเสื้อ กลบซ่อนความรวดร้าวเอาไว้ในเงามืด “คิดว่าคราวนี้คงต้องลงที่อำเภอเมือง” ถึงตรงนี้ ชายโชคร้ายนึกก่นด่าโชคชะตาอีกหลายต่อหลายครั้ง ต่อว่าพฤติกรรมเตลิดเปิดเปิงเมื่อเช้าอีกหลายต่อหลายหน สติกระเจิงหายราวคนบ้าขวัญเสียห้อตะบึงมาจนถึงสถานีรถไฟโดยปราศจากสัมภาระแม้สักชิ้น มีเพียงกระเป๋าสตางค์ในมือสั่นเทิ้ม
อันที่จริง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงเป็นสถานีรถไฟ เหตุใดจึงต้องนั่งรถไฟ
“เหมือนกันเลยครับ! แต่คราวนี้ผมต้องลงที่ปากท่อ” ผู้มาเยือนยังคงต่อบทสนทนาให้ยืดยาวออกไปราวกับว่าความเงียบงันบนตู้รถไฟสามารถฆ่าเขาได้ “ไปเที่ยวหรือเปล่าครับ” ราวกับว่าความเงียบงันสามารถบีบคั้นลำคอของเขาจนตีบตัน สกัดกั้นทั้งอากาศและเสียงกรีดร้องโวยวายให้อัดอั้นอยู่ในอก “ผมไม่ใช่คนราชบุรีหรอก แต่เคยไปอยู่หลายครั้งเลยน่าจะแนะนำคุณได้บ้าง” เร่งเร้าให้ทุบทำลายตนเองจนแตกสลาย
ดวงตาของเขากู่ร้องเช่นนั้น ดวงตาคู่งามสะท้อนเลือนรางบนกระจกหน้าต่างเก็บซ่อนความทุกข์ตรมแสนสาหัสที่ข้นคลั่กเกินกว่าจะระบายออกมาเป็นภาษาใดๆ ฉาบทับด้วยสีดำสนิทของรัตติกาลอย่างแนบเนียนและละเอียดลออจนแทบแยกออกจากกันไม่ได้ “ถ้าคุณไม่รังเกียจ” แต่ไม่ใช่กับชายโชคร้าย ชายโชคร้ายผู้ลิ้มรสความขมขื่นคล้ายกันนี้มานานหลายปี
“งานศพน่ะครับ” คงเรียกว่างานศพได้ไม่เต็มปากนัก เขาเพียงแค่ต้องเดินทางไปจัดการเรื่องราวแต่หนหลังของหญิงชราอารมณ์ร้ายจนไร้ญาติขาดมิตรคนหนึ่ง หล่อนหมดลมหายใจลงกะทันหัน อย่างกะทันหันมากเสียจนเสียงเรียกเข้าเมื่อเช้าตรู่ฟังดูเลื่อนลอย ลวงตาราวกับกำลังจมอยู่ท่ามกลางม่านหมอกแห่งฝันร้าย รอเวลาแสงอาทิตย์แยงตาตื่น
สีหน้าของเขาพลันสลดลงจนน่าขัน ดูเสียใจจากใจจริงเสียยิ่งกว่าดวงหน้าชืดชาที่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด “เสียใจด้วยนะครับ” ชายโชคร้ายแค่นหัวเราะ ก่อนจะหันกลับมามองเพื่อพบกับสัจธรรมอีกข้อหนึ่งของชีวิต ผู้มาเยือนดูดีมากทีเดียวเชียว เครื่องหน้าสอดประสานรับกันอย่างดีราวกับงานศิลปะที่บรรจงสรรค์สร้างขึ้นด้วยความวิจิตรบรรจง ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีสิ่งใดเลยขาดเกิน คนเรานั้นเกิดมาสูงต่ำต่างกัน รูปลักษณ์ของลูกรักโชคชะตาคงเป็นเช่นนี้เอง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ชายโชคร้ายบอกปัด “ความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” หยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อคำพูดรั่วไหลออกมามากกว่าที่คาดคิดเอาไว้
“งั้นก็เป็นศาลาคนเศร้าแล้วซีครับ” เขาแย้มยิ้มฝืดเคืองด้วยท่าทีของสัตว์กินพืช “ถึงคุณจะบอกว่า ‘มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเท่าไร’ แต่คุณก็ยังไปร่วมงานศพเขานี่ครับ” ลูกรักโชคชะตาเองก็มีจังหวะติดขัดอยู่บ้างเหมือนกัน ดวงตาแสนเศร้าหลุบลงต่ำ รับรู้ถึงบทสนทนาที่ถูกสานต่อมาจนสุดปลายสะพาน “คุณ อ่า..ขอโทษนะครับ คงเก็บเนื้อเก็บตัวน่าดู แต่คุณก็ยังอุตส่าห์เดินทางไปส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย” และข้างหน้าเป็นเขตแดนหวงห้ามไม่อาจละเมิด
แต่เขาก็ยังโยนหินหยั่งเชิง “นี่ไม่เท่ากับว่า เขาเองก็สำคัญกับคุณอยู่เหมือนกันเหรอครับ” ก้าวข้ามมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ชายโชคร้ายเลิกคิ้ว ปฏิกิริยาโต้ตอบเรียบนิ่งเสียจนใจลูกรักโชคชะตาเต้นระส่ำระสาย จ้องมองก้อนหินอุกอาจหลุดออกจากมือ จมลึกลงไปในทะเลสาบ แต่เนิ่นนานเท่าก็ไม่อาจดำดิ่งถึงก้นห้วงนที “แล้วคุณล่ะครับ” เอ่ยถามเสียงพร่า เนื้อเสียงแห้งเหี่ยวราวต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายกลางมหานครป่าคอนกรีต “แล้วคุณล่ะครับ ไปราชบุรีทำไม” สากกระด้างและเปี่ยมล้นด้วยกลิ่นอายมุ่งร้าย ผิดที่ผิดทางโดยสิ้นเชิง
หลังจากการจู่โจมกลับอย่างกะทันหันของชายผู้ง้ำงอ เนิ่นนานทีเดียวกว่าลูกรักโชคชะตาจะควานหาเสียงตนเองเจอ “เปล่าหรอกครับ” สาลิกาลิ้นทองเองก็มีวันพลาดพลั้ง เผลอจาบจ้วงทำลายน้ำใจคนอื่นอยู่เหมือนกัน “ไปงานแต่งน่ะ” ความกระอักกระอ่วนที่เคยจัดการได้ดียิ่งกดดันเรียวลิ้นจนคับปาก “งานแต่งของแฟนเก่า” ต้อนกลับเสียจนจนมุม
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีเข้มหยีโค้ง ทวีความทึมทึบลงบนเรือนร่างยับยู่ยี่ “โอ้” เขาอุทาน “คงจบกันด้วยดีสินะครับ”
ลูกรักโชคชะตาตอบ “ไม่ครับ ไม่ดีเลย” ไหล่ที่เคยเชิดขึ้นและผายออกจนถึงเมื่อครู่คลายตัวลง กลิ่นอายความกระตือรือร้นแผ่ซ่านถูกโรมรันกลับอย่างรุนแรง กระทั่งแตกกระเซ็นย่อยยับ กระจายหายไปกับสายลมกระชากนอกหน้าต่าง ไม่อาจกู้คืนกลับมาได้อีก “ก็เหมือนกับคุณนั่นแหละครับ เป็นการเดินทางไปพบเพื่อจากลา” รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงประดับอยู่บนใบหน้าสมบูรณ์แบบ ทว่าประกายระยิบระยับในดวงตากลับมลายหายไป ดังลมพัดดับเปลวเทียน
ชายโชคร้ายถอนหายใจ ริมฝีปากที่หยักยิ้มอยู่ค่อยๆ เหยียดตรง ขดกายยับย่นฝังกลับเข้าไปในมุมเก้าอี้ตามเดิม ‘แกเองก็ไม่มีหัวใจ’ ชั่วขณะหนึ่ง ปลายนิ้วเผลอไผลลูบไล้รอยแผลนูนเก่าข้างใต้สันกราม ‘สักวันหนึ่ง แกก็จะทิ้งฉันไปเหมือนกับพ่อของแก’ แก้วกระเบื้องถูกปามาด้วยแรงโทสะของหญิงสติวิปลาส เลือดอุ่นร้อนหลั่งรินจากผิวหนังปริแตก ภายใต้การอาละวาดสามัญประจำวันนั้นเงียบงันจนแทบไม่ได้ยินเสียงหัวใจในอก
“แฟนผมเขาเป็นลูกชายคนเดียว” ประโยคนี้เป็นดังขวากหนามทิ่มแทงใจ เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทั้งยังกลั้วหัวเราะอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังเย้ยหยันโชคชะตา ร้าวรานเสียจนเรียกให้ชายโชคร้ายหันกลับมามองอีกครั้งหนึ่ง มองหยาดน้ำตาปริ่มล้น แพขนตาเปียกชุ่มกะพริบถี่ระรัว “ขอโทษนะครับ” แม้การปาดฝ่ามือลวกๆ ก็ไม่อาจหยุดยั้งความเศร้าโศกที่ไหลทะลักออกมา “ขอโทษนะครับ” เขาก้มหน้าลงต่ำ “ผมขอโทษนะครับ” ซุกซ่อนใบหน้าจากสายตา
ชายโชคร้ายคว้าฝ่ามือของชายโชคร้ายอีกคนเอาไว้ ไม่ปล่อยให้ข้อนิ้วเรียวสวยบดขยี้เปลือกตาซ้ำๆ จนแดงก่ำ “เพราะว่าเขาเองก็สำคัญใช่ไหมล่ะครับ” ดึงผ้าเช็ดหน้าที่ถูกยัดลวกๆ ลงกระเป๋าเสื้อเมื่อเช้าออกมาไล่เช็ดรอบโหนกแก้ม “ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ไปส่งเขาเป็นครั้งสุดท้ายหรอก”
รถไฟชะลอความเร็วลงจนนิ่งสนิท จอดเทียบชานชาลาเล็กๆ ข้างตัวเมือง ทิ้งเวลาเล็กน้อยให้ผู้โดยสารจัดการธุระส่วนตัว พนักงานทำความสะอาดหิ้วอุปกรณ์ออกมาเก็บกวาดที่นั่งว่างเปล่า ชายโชคร้ายมองฝ่ามือที่กำลังกำผ้าเช็ดหน้าของตนด้วยสีหน้าแปลกประหลาด กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “ผมต้องลงแล้ว” ลุกขึ้นเดินตัวงุ้มงอไปยังเพิงขายของชำด้านล่าง คว้าธนบัตรใบใหญ่ขึ้นมาแตกเป็นซองบุหรี่ดับกระหาย ก่อนจะตัดสินใจซื้อข้าวกล่องกับน้ำเปล่า ลังเลเล็กน้อยขณะหยิบห่อทิชชูติดมาด้วย
เขาเดินกลับมายังตู้รถไฟแต่ไม่ได้ปีนขึ้นไป เรียบเรื่อยอยู่ตามขอบหน้าต่างเพื่อพบกับดวงตาบวมแดงเล็กน้อยคู่หนึ่งยังคงจ้องมองมา “ผมให้” ชูถุงพลาสติกขึ้นสูง ควันสีเทาแล่นริ้วเอื่อยเฉื่อยกลางอากาศ “ระครับ ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้” ชายโชคร้ายด้านในหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นมือออกมารับ
“ขอบคุณครับ” พลางเสตามองมวลบุหรี่ที่กำลังมอดไหม้อยู่ระหว่างปลายนิ้วชี้และกลางของอีกฝ่าย “คุณระสูบบุหรี่จัดน่าดู”
“อ้อ ผมชื่อจี๋ครับ”
------
นายระมีชื่อจริงว่าวร (อ่านว่า วอ-ระ หรือ วะ-ระ) แปลว่า พร,ประเสริฐ ในเรื่องอ่าน วะ-ระ นะคะ
ส่วนจี๋เองก็คล้ายๆ กันค่ะ แปลว่า สิริมงคล,ลัคกี้ทำนองนี้
อายุค่อนข้างห่างกันพอสมควรเลย คุณจี๋สามสิบกลางๆ แล้ว
ปกตินายระเป็นคนเนี้ยบมาก! เสื้อผ้าเรียบกริบตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย
ปกตินายระต้องลงที่ปากท่อ แต่คราวนี้เปลี่ยนเป็นอำเภอเมืองเพราะต้องไปรับศพที่โรงพยาบาลก่อนค่ะ
ส่วนคุณแฟนเก่าคุณจี๋เป็นอำเภอเมือง แต่เจ้าสาวเป็นคนปากท่อ งานแต่งจัดที่บ้านเจ้าสาวค่ะ
เรื่องนี้เขียนไว้นานมากๆ แล้ว ประมาณสามปีได้มั้งคะ แต่เห็นว่าเส้นเรื่องน่าสนใจดีเลยลองเอามาแก้ดูค่ะ แก้ไปแก้มากลายเป็นเขียนใหม่อีกรอบซะอย่างนั้น ;-;
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in