เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
พิฬารลมnimon
ตอนที่ ๓ ชมเดือนเหนือโพยมแลวิฬาร์


  • “ขโณ โว มา อุปจฺจคา

    - อย่าปล่อยให้กาลเวลา

    ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์ -”


         “มีสองสิ่งที่ผ่านกันไปแล้ว

    คงไม่แคล้วเรียกกลับมาได้

    นั้นคือเวลาและจิตใจ

    ที่ไม่เรียกย้อนคืนกลับมา”


         วันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นนอนตามปกติ และฉันค่อยๆลงจากเตียง เพื่อจะระวังไม่ไปรบกวนเจ้าแมวที่นอนอยู่ แต่เมื่อฉันลงมาจากเตียงแล้ว ฉันกลับพบว่า เจ้าแมวหายไปพร้อมกับตุ๊กตาหมี ซึ่งฉันพยายามเรียกหามันเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ และฉันพยายามค้นหาทั้งแมวและตุ๊กตาหมีทั่วๆห้องก็ไม่เจอ


    “แปลกจัง หายไปไหนนะ”ฉันพึมพำกับตัวเอง และฉันได้ยินเสียงเคาะกระจกระเบียง ฉันจึงรีบใส่เสื้อคลุม และหวีผม ก่อนจะออกไปดู และฉันได้พบกับศศิตอนเช้า ก่อนที่เขายื่นตุ๊กตาหมีให้กับฉัน


    “ไปอยู่กับคุณได้ไง”ฉันถามด้วยความสงสัย


    “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”ศศิตอบ


    “ฉันให้ตุ๊กตาหมีกับแมวดำกอดนี้นะ คุณว่า แมวตัวเล็กนี้ มันจะลากตุ๊กตาไปหาคุณได้ด้วยหรือ แล้วตุ๊กตาหมี ก็ไม่เห็นมีรอยถูกเขี้ยวแมวกัดและลากไปเลย”ฉันถามด้วยความสงสัย ในขณะที่กำลังตรวจสอบดูตุ๊กตาหมีอย่างละเอียด


    “ผมจะไปรู้คุณหรือ แต่ตุ๊กตานั้นก็มาอยู่ที่ห้องผมเอง ผมก็แปลกใจเหมือนกับคุณนั้นล่ะ”ศศิพูด และพูดต่อเพื่อตัดบทว่า


    “ก่อนคุณจะสงสัยอะไรไปมากกว่านี้ คุณรีบไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวก็สาย”


    “จริงด้วย ฉันลืมไป ฉันไปอาบน้ำก่อน”ฉันพูดอย่างนึกขึ้นมาได้ และฉันไม่ลืมที่จะขอบคุณศศิ ที่ศศิเอาตุ๊กตามาคืน

  •      เมื่อฉันอาบน้ำเสร็จ ฉันก็ต้องเตรียมตัวไปทำงาน และไม่ลืมที่จะหยิบปิ่นโตสองปิ่นโตติดตัวมาด้วย และฉันเดินไปที่หน้าห้องของศศิ เพื่อจะเคาะประตูเรียกเขา แต่ยังไม่ทันได้เคาะ เขาก็เดินออกมาพอดี


    “นี่ ปิ่นโตของคุณ ฉันอุ่นให้แล้วนะ”ฉันพูด


    “ขอบคุณ ผมถือของให้”ศศิพูดและขันอาสา


    “ไม่เป็นไรๆ ฉันชอบถือเองมากกว่า”ฉันพูด แล้วประตูของห้องวายุก็เปิดขึ้นมา


    “คุณเมย์ คุณศศิ ไปทำงานด้วยกันหรือครับ”วายุพูด และส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ฉัน ส่วนฉันส่งสายตาตอบกลับไปว่า 


    ‘ไม่ใช่อย่างที่คิดแน่นอน’ แต่วายุยังส่งสายตามาอีกว่า 


    ‘ไม่แน่’ และฉันลืมตัวขึ้นมา พร้อมพูดว่า


    “ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณวายุคิดเลยคะ พวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันค่ะ”ฉันพูดออกไป


    “ครับ ผมรู้แล้วครับ ยังไง วันนี้ ทั้งสองไปทำงานให้สนุกนะครับ”วายุพูดและยิ้มให้แบบมีเสศนัยอยู่ดี และฉันกำลังจะตอบรับคำพูดของวายุ อยู่ดีๆ ศศิก็จับมือฉันเดินผ่านหน้าวายุไปอย่างไม่สนใจวายุเลยแม้แต่น้อย จนฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย


    “คุณทำแบบนี้ทำไม คุณวายุ เขามอบมิตรไมตรีที่ดีให้กับคุณนะ”ฉันถามด้วยความไม่เข้าใจ ในขณะที่พวกเราทั้งสองอยู่ที่ลิฟต์ด้วยกัน


    “ผมไม่ชอบให้คุณคุยกับคุณวายุ”ศศิตอบ


    “คุณวายุไม่ได้ทำอะไรให้คุณไม่ชอบใจเลยนะ”ฉันถาม


    “เขาคุยเก่งเกินไป”ศศิพูด


    “เรียกว่า เขามีมิตรไมตรีจิตที่ดีให้กันต่างหาก”ฉันพูด


    “ผมไม่ชอบ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ คุยได้ตลอด แต่ผมยิ่งไม่ชอบคำพูดคุณเท่าไหร่ ที่คุณบอกว่า เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน”ศศิพูด


    “อ้าว ก็มันเป็นความจริง”ฉันพูดด้วยความงงงวย


    “เพราะมันไม่ใช่ไงล่ะ คุณไม่รู้ไงว่า ผมรอคุณมานานขนาดไหนแล้ว”ศศิพูด


    “คุณ รอมานานอะไรหรือ ฉันฟังคุณไม่เห็นเข้าใจเลย”ฉันถาม แต่อยู่ดีๆ สายตาของเขาก็พลันกลายเป็นสายตาเศร้าขึ้นมา แล้วพูดกับฉันว่า


    “สักวัน คุณคงเข้าใจ”ศศิพูด และฉันเข้าไปนั่งรถที่เขาขับ ก่อนที่เราทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก จนถึงที่ทำงาน


    “วันนี้ มาด้วยกันหรือคะ”น้องนิดถามด้วยความกังขา และกระซิบถามฉันว่า


    “พี่เมย์ หายโกรธพี่ศศิแล้วหรือคะ”


    “อืมใช่ พอดี พวกเราคุยกันด้วยดีแล้ว และบังเอิญ พวกเราอยู่ห้องใกล้กันจ้ะ”ฉันพูดแบบรวบรัด


    “บังเอิญมากเลยคะ”น้องนิดกระซิบ และพูดกระซิบเสียงเบากว่าเดิมกับฉันว่า


    “เมื่อวานตอนก่อนกลับบ้านค่ะ นิดเห็นพี่ศศิเข้าห้องน้ำแล้วอยู่ดีๆ ก็มีแมวดำตัวหนึ่งออกมาจากห้องน้ำ ดวงตาเหมือนพี่ศศิมากเลยค่ะ นิดตกใจมากเลย แล้วพี่เมย์รู้ไหมค่ะว่า นิดไม่เห็นมีพี่ศศิเดินออกมาจากห้องน้ำชายเลย นิดเจอวุฒิ ก็เลยถามดูว่า มีใครอยู่ในห้องน้ำไหม วุฒิตอบนิดว่า ไม่มี”น้องนิดพูดกระซิบด้วยน้ำเสียงที่ดูเครียด ไม่เข้ากับน้องนิด และน้องนิดพูดถึงวุฒิที่ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกัน แต่คนละแผนก


    “อืมก็จริงนะ เมื่อคืน พี่เจอแมวดำ ที่ดวงตาเหมือนศศิเลยเหมือนกัน”ฉันกระซิบเสียงเบาตอบ


    “หรือว่า พี่ศศิจะเป็นแมวคะ”น้องนิดพูดด้วยเสียกลัวและกังวลอย่างบอกไม่ถูก และฉันตบมือ ทำให้น้องนิดสะดุ้งอย่างสุดตัว


    “พี่เมย์ตบมือทำไม นิดตกใจหมด”น้องนิดพูดและลูบใจตัวเอง


    “พี่ต้องตบมือให้เราตื่นไงล่ะ จะเป็นไปได้ยังไง”ฉันพูด


    “อืม ก็จริงค่ะ นิดไปทำงานของนิดก่อนดีกว่า”น้องนิดพูด และฉันได้ยินเสียงของศศิเรียกฉัน และยื่นเอกสารมาให้ฉัน พร้อมกับบอกว่า


    “ผมเก็บข้อมูลและทำตามที่คุณบอกครบหมดแล้ว”ศศิพูด


    “ขอบคุณมาก”ฉันพูด แล้วฉันก็ดูข้อมูล พบว่า สิ่งที่เขาหามาให้นั้นครบถ้วนหมดเลย แถมตอบโจทย์ลูกค้าทั้งหมด และข้อมูลที่ฉันเรียกให้ศศิทำ ศศิทำออกมาได้ดีด้วย ซึ่งถ้ารวมกับข้อมูลของฉันที่มีตอนนี้ ก็ถือว่า ผ่านไปครึ่งทางแบบเร็วมากเลย และฉันตั้งใจมอบงานให้ศศิอีก ก่อนที่ตัวเองจะทำงานของตัวเองต่อไป


    “เมย์”พี่บุ๋มเรียก


    “คะ”ฉันถาม


    “มาหาพี่หน่อย”พี่บุ๋มเรียก


    “ค่ะ”ฉันตอบรับ และเดินไปหาพี่บุ๋ม ก่อนที่พี่บุ๋มจะกระซิบเสียงเบากับฉันว่า


    “ศศิเป็นไงบ้าง ทำงานดีไหม”


    “ดีมากค่ะ ดีกว่าที่เมย์คิดอีก นี่งานผ่านไปครึ่งทางแบบเมย์ก็ยังงงอยู่เลยค่ะ เพราะแค่วันเดียวเอง”ฉันพูดและยิ้มงงๆให้กับพี่บุ๋ม


    “งั้นก็ค่อยยังชั่ว พี่ก็กลัวว่า พี่จะเอาศศิไปโหลดงานเมย์ล่ะสิ”พี่บุ๋มบอกเสียงเบา


    “ไม่เลยค่ะ ศศิช่วยเมย์ได้เยอะเลยค่ะ”เมย์ตอบ


    “และมีเรื่องอะไรแปลกๆเกี่ยวกับศศิไหม”พี่บุ๋มพูดด้วยเสียงเบา


    “อย่างเช่น”ฉันถาม


    “เขาเป็นแมว”พี่บุ๋มพูดกดเสียงเบากว่าเดิม


    “ใช่ไหมคะ พี่บุ๋ม”น้องเนตรตะโกนขึ้นมา จนทำให้เราทั้งสองตกใจหมด


    “โอ้ย พี่ตกใจหมดเลย”พี่บุ๋มพูด


    “ก็เนตรเผลอได้ยินนี่คะ”น้องเนตรพูดเสร็จ ก็เดินเข้ามาใกล้พวกเราทั้งสอง ก่อนจะเดินเข้ามาสมทบ และพูดว่า


    “เนตรก็คิดเหมือนกันคะ”


    “เรื่องศศิเป็นแมวหรือคะ”ฉันถาม


    “ใช่ค่ะ”น้องเนตรตอบรับเสียงเบา และมองหน้ากับพี่บุ๋ม ก่อนน้องนิดเข้ามาใกล้ๆด้วย


    “นี่ๆ คุยเรื่องพี่ศศิอยู่ใช่ไหม”นิดพูดเสียงเบา


    “อืมใช่”พี่บุ๋มบอก


    “เมย์ว่า มันเป็นไปไม่ได้ค่ะ”ฉันพูด


    “แต่วันนั้น พี่กับคนอื่นเห็นจริงๆนะว่า อยู่ดีๆ ก็มีแมวดำ ดวงตาสีเดียวกับศศิ มานั่งอยู่ที่โต๊ะของศศิ ตอนพี่ขอให้เขากลับเย็น เพื่อประชุมกัน แล้วเขาก็หายไป เหลือแต่แมวดำ และพี่ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปด้วย แถมมันก็เข้ามาประชุม และพอพี่ถามศศิว่า หายไปไหน ศศิก็บอกพี่ว่า ก็อยู่ในห้องประชุมล่ะครับ แถมพูดเรื่องประชุมได้หมดเลยด้วย”พี่บุ๋มพูด


    “เห็นไหมคะ เห็นไหม ที่นิดบอก”น้องนิดพูด และอยู่ๆดีเสียงของผู้ชายหนึ่งเดียวที่ทุกคนกำลังกล่าวถึงอยู่ก็โพล่งขึ้นมาว่า


    “คิดว่า ผมเป็นแมวหรือครับ”ศศิพูด แต่เล่นเอาทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ตกใจหมด และทุกคนก็รีบเดินแยกย้ายกลับเข้าโต๊ะของตัวเองทันที


    “เปล่าเลย พี่คุยเรื่องงานกับเมย์อยู่ ใช่ไหม”พี่บุ๋มพูด และทำหน้าตาขอความช่วยเหลือ


    “ใช่ พอดีเราคุยกันว่า ศศิทำงานดี”ฉันพูด


    “ผมก็คิดว่า คุยเรื่องผมเป็นแมวซะอีก”ศศิพูด


    “ใครจะไปคิดเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ ใช่ไหม เมย์”พี่บุ๋มพูดเสียงหลง


    “ใช่ค่ะ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”ฉันพูดตอบกลับอย่างมึนๆเช่นกัน


    “แต่อะไรที่เราไม่เห็น หรือที่เราไม่รู้ หรือที่เราคิดว่าไม่มี มันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้นะครับ”ศศิพูด


    “แค่อาจจะนะ ศศิรีบไปทำงานของตัวเองเถิด ฉันก็จะไปทำงานของฉันเหมือนกัน”ฉันพูด และรีบเดินไปที่โต๊ะของตัวเองทำงานต่อไป


    “คุณคิดว่า ผมเป็นแมวหรือเปล่า”ศศิพูด


    “ไม่คิด”ฉันพูด


    “แล้วถ้าผมเป็นแมวจริงล่ะ”ศศิพูดและยิ้มๆมาให้


    “เป็นไปไม่ได้หรอก คุณ ฉันไม่เชื่อ”ฉันพูดเบาๆกับศศิ


    “พี่บุ๋ม น้องเนตร และน้องนิดคงคิดว่า ผมเป็นแมว”ศศิหยั่งเชิงถาม


    “เลิกพูดเถอะ ทำงาน เดี๋ยวงานก็ไม่เสร็จ”ฉันพูด และหันไปสนใจงานของตัวเองแทน แต่ในใจลึกๆของฉันก็ไม่ปฏิเสธเท่าที่ควรว่า 


    ‘เขาเป็นแมว’ฉันคิดในใจอย่างหมายมั่นเช่นกัน และฉันก็ทำงานของฉันอย่างเงียบๆ จนถึงช่วงพักกลางวัน


    “ทานข้าวกัน”พี่บุ๋มชวน


    “เมย์ทำอาหารมา”ฉันพูด


    “งั้นนิด เนตร ศศิไปกัน”พี่บุ๋มชวน


    “ผมมีปิ่นโตมาแล้วครับ”ศศิพูด


    “งั้นก็ไม่เป็นไร นิด เนตร ไปกัน”พี่บุ๋มบอก ก่อนจะพูดกำชับว่า


    “วันพรุ่งนี้ ทุกคนห้ามเอาอาหารมานะ พี่จะพาไปเลี้ยงบุฟเฟ่ต์”พี่บุ๋มพูดแล้วยิ้มๆ


    “ที่ไหนคะ”น้องเนตรถาม


    “Wisdom International Buffet ก็แถวๆที่ทำงานพวกเรานี้ล่ะ พี่ไปขอนายมาแล้วนะว่า จะขอไปพักสักสามชั่วโมง”พี่บุ๋มบอก


    “แล้วนายยอมหรือพี่”ฉันถาม


    “ยอม เพราะแผนกพวกเราทำกำไรให้ตั้งเยอะ แถมทำงานโอที ก็ไม่มีใครรับเงินอีก นายเลยบอกว่า ให้ลาครึ่งวันได้เลย”พี่บุ๋มบอก


    “ไม่อยากจะเชื่อ ไม่ใช่ เขาจะไล่พวกเราออกนะ พี่”น้องนิดถามด้วยความกังวล


    “เพิ่งเห็นว่า เธอก็มองโลกในแง่ร้ายเป็น”น้องเนตรพูดและมองน้องนิดอย่างคาดไม่ถึง


    “ก็มันน่าคิดไหมละ”น้องนิดพูด


    “น่าคิดจริงๆนะ พี่”ฉันพูด


    “เป็นไปไม่ได้ แถมนายออกเงินให้ด้วยนะ และยังกล่าวชมอีกด้วย”พี่บุ๋มพูด และเว้นวรรคก่อนพูดต่อว่า


    “ชมเรื่องที่พวกเราไม่ขอเบิกโอที ทำงานล่วงเวลาตลอด และยังมาทำงานเสาร์-อาทิตย์อีก นายเลยออกให้ทั้งหมดเลย”พี่บุ๋มพูด


    “แล้วกินแบบถูกสุดหรือแพงสุดละ พี่”น้องเนตรถาม

    “มีหลายราคาหรือ”น้องนิดถาม


    “อืม ใช่”น้องเนตรตอบสั้น


    “นายให้กินแบบแพงสุดเลย”พี่บุ๋มบอก


    “หา”พวเราทั้งสามคน คือ น้องเนตร น้องนิด และฉันตะโกนพร้อมกัน


    “ผมคิดว่า เขาควรทำเเบบนี้มานานแล้วนะ เขาเอาเปรียบพวกคุณมาก เขาควรคิดได้นานแล้ว”ผู้ชายคนเดียวในแผนกพูดขึ้นมา


    “เขา นี่คือนาย ใช่ไหม อย่าให้นายได้ยินว่า คุณเรียกเขาแบบนี้ เขาไม่ชอบ”ฉันเตือนด้วยความหวังดี


    “ผมก็แค่พูดในความรู้สึกของผม”ศศิพูด


    “แต่ระวังไว้หน่อย ก็ดีนะ คุณ นายไม่ได้ใจดีอย่างที่คุณคิดนะ”ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง


    “ผมรู้ และขอบคุณที่คุณเป็นห่วง”ศศิพูด ก่อนที่พี่บุ๋มจะพูดขึ้นมาว่า


    “ขอบใจมาก ศศิ”พี่บุ๋มพูดที่ศศิเข้าข้างพวกเราทุกคน เพราะพี่บุ๋มก็คงคิดว่า


    ‘เป็นเรื่องจริง’ก่อนที่ทุกคนแยกย้ายกันไปทานอาหารของตัวเอง


    “นายเอาเปรียบพวกคุณมาก”ศศิพูดขึ้นมาอีกครั้ง

    “ก็ตอนนี้จะออกไปทำงานที่ไหนได้”ฉันพูด


    “หมายความว่า คุณเคยคิดจะลาออกหรือ”ศศิถาม


    “ใช่ ฉันเหนื่อยจะตาย แล้วเวลาไม่ทำโอทีวันไหน ก็ต้องมีเหตุและผลไปอ้างนายเสมอ เหมือนวันนี้ ฉันก็ต้องทำโอที”ฉันพูด


    “ผมเข้าใจเลย เวลาแบบนี้ มีแต่คนตกงานมากกว่าได้งาน เป็นคนก็ลำบากเหมือนกันนะ”ศศิพูด


    “เป็นอะไร มันก็ลำบากไปหมดล่ะ”ฉันพูด


    “แต่เป็นแมว อาจจะสบายก็ได้นะ”ศศิพูด


    “คงงั้นมั่ง”ฉันตอบ และกินข้าวในส่วนของตัวเอง พร้อมกับดูเขาตักข้าวกินด้วย แล้วพอเราทั้งสองกินเสร็จ ฉันจึงถามว่า


    “อร่อยไหม ตอบเอาใจฉันหน่อยนะ”ฉันพูดและทำท่าเอาจริงเอาจัง จนเขาขำ ก่อนจะบอกว่า


    “อร่อย ไม่ได้เอาใจ แต่ตอบจริง”ศศิตอบและพูดเพิ่มเติมว่า 


    “ผมเห็นด้วยกับนายวายุข้อหนึ่งนะ”


    “ข้อไหน”ฉันถามด้วยความสงสัย


    “คุณไม่เหมือนผู้หญิงคนไหน”ศศิพูด


    “ไม่ต้องมาพูดเอาใจเลย รู้ทันนะ”ฉันพูดและยิ้มให้ในที


    “เอาใจอะไร ผมพูดจริงๆ และผมก็เห็นด้วยกับนายวายุอีกข้อหนึ่ง”ศศิพูด และมองสบตาฉันอย่างซึ้งกินใจ ก่อนพูดว่า


    “คุณสวยในแบบของคุณ”


    “นี่ไง เอาใจชัดๆ ฉันไม่หลงคารมคุณหรอก”ฉันพูด แต่หน้าระเรื่อด้วยสีแดงแห่งความเขินอายขึ้นมาทันที


    “ถ้าคุณไม่หลงคารมผม แล้วคุณหน้าแดงทำไม”ศศิถาม


    “อากาศร้อน”ฉันพูด ก่อนจะไปหยิบปิ่นโตในมือของเขาออกมา และฉันพูดกับเขาว่า


    “ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว ฉันไปล้างปิ่นโตดีกว่า”


    “ไม่ต้อง ผมล้างให้ คุณนั่งเฉยๆดีกว่า”ศศิพูด และแย่งปิ่นโตไปจากมือฉัน ก่อนเขาจะเอาไปล้างให้


    “อยู่ดีๆก็มาชมเรา เล่นเขินเลย”ฉันพึมพำกับตัวเอง และฉันก็เห็นเขาเดินออกมา พร้อมกับปิ่นโตที่สะอาดและแห้งเรียบร้อย


    “วันนี้ ฉันต้องอยู่โอที คุณกลับก่อนได้เลยนะ”ฉันพูด

    “ผมรอ”ศศิพูด


    “นานดิ คุณ”ฉันพูด


    “ผมต้องทำตามงานที่คุณสั่งเหมือนกันล่ะ”ศศิพูด


    “พูดถึงงาน ทำไม คุณถึงรู้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าขนาดนี้ล่ะ ถึงคุณโทรไป เขาก็ไม่น่าจะยอมบอก”ฉันถามด้วยความสงสัย


    “ผมเป็นนินจา”ศศิพูดแล้วก็ขำ


    “จริงหรือเปล่าเนี่ย ขอบอกนะว่า ฉันเชื่อคนง่าย”ฉันพูดแล้วก็ขำในคำพูดของเขา


    “ผมรู้ว่า คุณไม่เชื่อ แต่ผมบอกคุณไม่ได้จริงๆ ว่า ผมไปเอาข้อมูลนี้มาจากไหน แต่คุณเชื่อผมได้ว่า ข้อมูลนี้จริงแท้แน่นอน”ศศิพูด


    “อืม ฉันเชื่อคุณอยู่แล้ว”ฉันพูด และก็เริ่มนั่งพักผ่อน คุยกับศศิเรื่องอื่น และศศิชวนฉันไปเดินตลาดข้างๆบริษัทกัน


    “ดีเหมือนกันนะ ไม่ได้เดินตั้งนาน เงินในกระเป๋าสั่นเลย”ฉันพูดหยอกเล่น


    “ไม่ใช่เงินในกระเป๋าแห้งหรือ”ศศิพูดหยอกกลับ


    “แหม รู้ทัน ระวังเถิด ฉันจะขอยืมเงินคุณ”ฉันพูด


    “ผมไม่มีให้หรอก สักบาทก็ไม่ให้”ศศิพูดกลับแบบยิ้มๆในที


    “งก”ฉันตอกกลับ


    “ผมพูดเล่นนะ”ศศิพูด แล้วก็ชวนลงไปกัน เพราะอีกตั้งสี่สิบนาที กว่าจะบ่ายโมง แล้วเมื่อฉันเดินดูของตลาด ก็ต้องมาหยุดอยู่ที่ร้านประจำ ที่ขายอุปกรณ์เครื่องเขียนน่ารักทั้งนั้นเลย


    “ฉันแพ้ของพวกนี้ ฉันขอดูก่อน คุณดูอย่างอื่นไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเราไปเจอกันตรงทางเข้าตลาด”ฉันพูด


    “อืม ได้เลย คุณดูเวลาดีๆด้วยล่ะ ผมจะรอก่อนสิบนาทีนะ”ศศิพูด


    “รับทราบ”ฉันตอบยิ้มๆให้ และตัดสินใจดูของในร้านนี้ ก่อนได้ซื้อมา และสายตาฉันก็พลันไปเห็นเสื้อผ้าเจ้าประจำอีก ก็เลยได้จัดมาอีก รองเท้าด้วย วันนี้เลยซื้อหลายอย่างเลย และระหว่างทางกำลังจะเดินไปหาศศิ ฉันเจอคนในแผนกเดียวกันทุกคน และพวกเราเดินไปหาศศิพร้อมกัน ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปด้วยกันทั้งหมด


    “วันนี้ พี่เมย์จัดเยอะมาก”น้องเนตรมองถุงในมือฉัน และพูดขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ


    “แหม ร้านที่พี่ชอบทั้งนั้นเลย เดี๋ยวนี้ พี่เลิกซื้อเสื้อ กางเกง และรองเท้าตามตลาดนัดมานานแล้ว”ฉันพูดแบบเล่าให้ฟัง


    “ทำไมอะ พี่”น้องเนตรถาม


    “ก็ซื้อกับห้าง มันใช้ได้นานดี”ฉันบอก


    “ก็จริง แต่วันนี้พี่ก็จัด”น้องเนตรบอกอย่างยิ้มๆ


    “ก็เพราะว่า เป็นร้านที่พี่ชอบล่ะสิ ร้านนี้ คุณภาพของเขาทุกอย่างดีมาก”ฉันพูด


    “หนูว่าแพงไปหน่อย”น้องนิดบอก


    “แต่พี่ว่า ราคาสมเหตุสมผลนะ”พี่บุ๋มพูดขึ้นมา ตรงกับความคิดที่ฉันก็คิดเหมือนกัน


    “พี่เห็นด้วย”ฉันพูด


    “งั้นหนูคงต้องไปลองแล้วล่ะ”น้องนิดบอก


    “หนูก็ชอบซื้อกับเขาประจำเหมือนกัน พี่รู้ไหม เขามาทุกวันพฤหัส”น้องเนตรบอก


    “จริงดิ พี่จะได้เเวะทุกวันพฤหัส”ฉันบอก


    “เธอก็ซื้อประจำหรือ เนตร”น้องนิดถาม


    “ใช่ เนตรก็ชอบทุกอย่างของร้านนี้ เครื่องประดับ เนตรก็ชอบ ดูสิ เนตรสวยไหม”น้องเนตรบอก พร้อมโชว์จี้ให้ดู


    “สวยมากเลย แต่นี้โบว์ของชาแนล”ฉันพูด


    “ถูกค่ะ พี่ เนตรไปซื้อโฟมล้างหน้าเขา แล้วขอให้เขาผูกโบว์มากับกล่องของชาแนลค่ะ”น้องเนตรบอก


    “เคาเตอร์ไหนที่เขายอมผูกโบว์ให้”ฉันถาม


    “ไอคอนสยามค่ะ”น้องเนตรบอก


    “ไปไกลเลยนะ”ฉันพูด


    “ก็ที่นั้น เขาให้นี่ค่ะ ที่อื่นไม่ให้เลย”น้องเนตรบอก


    “เรื่องจริง งั้นพี่ก็ต้องไปจัดบ้างแล้ว”ฉันพูด


    “วันไหนจะไป ชวนเนตรไปได้นะ เนตรว่าง”น้องเนตรพูด


    “อ้าว แล้วแฟนเธอล่ะ”น้องนิดถามถึงตั้ม แฟนของน้องเนตร


    “เพิ่งเลิกกันเมื่อวาน รำคาญสุดๆเลย”น้องเนตรพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความรำคาญอย่างยิ่ง


    “หา เธอคบกับเขาแค่สามเดือนเองนะ”น้องนิดถาม


    “รำคาญ เลยเลิก”น้องเนตรบอก


    “คนสวย ทำอะไรก็ดูดีไปหมด”ฉันบอก


    “พี่เมย์ก็สวยคะ”น้องเนตรบอก


    “วันนี้ พี่ได้รับแต่คำชม สงสัยพี่ลอยขึ้นสวรรค์ แล้วพี่ๆขอให้น้องเนตรพาพี่ลงมาด้วยนะ”ฉันพูดแบบขำๆ ซึ่งน้องเนตรก็ขำ และตอบรับว่า 


    “ค่ะ เนตรจะเป็นคนพาพี่เมย์ลงมาเองค่ะ”


    “ถึงชั้นที่ทำงานแล้วจ้า”พี่บุ๋มพูด ก่อนจะผลักพวกเราออกจากลิฟต์ และพวกเราก็แยกย้ายกันไปทำงานต่อ จนถึงช่วงตอนเย็น ที่วันนี้ ในแผนก เหลือเพียงแค่ฉันกับศศิเท่านั้น เพราะว่า ทุกคนขอกลับบ้านกันก่อน เนื่องจากติดธุระกันทั้งหมด


    “คุณกลับก่อนได้นะ”ฉันบอกด้วยความเกรงใจ


    “ไม่ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ”ศศิพูด และยิ้มให้ ฉันจึงยิ้มตอบ ก่อนที่ฉันจะบอกกับศศิว่า


    “ขอบคุณมาก มีคุณอยู่ แล้วฉันสบายใจขึ้นเลย”ฉันพูดจากใจจริง


    “งั้นต้องให้รางวัลผมนะ”ศศิพูด


    “รางวัลอะไรหรือ คุณ”ฉันถามด้วยความอยากรู้


    “รางวัลเป็นแฟนกันไง”ศศิพูดอย่างจริงใจ พร้อมส่งรอยยิ้มอย่างซึ้งกินใจมาให้กับฉัน 


    “ไม่ได้หรอก เพิ่งเจอกันเอง จะเป็นแฟนกันได้ไง”ฉันคิดจากใจจริง ถึงแม้จะรู้สึกเขินจนหน้าแดงก็ตาม


    “ความเป็นจริงแล้ว ผมกับคุณอาจจะรักกันมานานแล้วก็ได้นะ”ศศิพูดด้วยท่าทางจริงจัง


    “ถ้ารักกันมานาน ฉันคงจำอะไรได้บ้างล่ะ”ฉันพูด


    “เพราะบางอย่าง มันคงยากที่จะมีความทรงจำ”ศศิพูด และยิ่งทำให้ฉันสงสัยคำพูดของเขามากขึ้น


    “ถ้าไม่มีความทรงจำ ก็แปลว่า เราไม่เคยรักกัน”ฉันพูดในสิ่งที่ฉันเข้าใจ


    “ไม่ใช่หรอก แต่เพราะว่า คุณถูกลบความทรงจำต่างหาก เพื่อไม่ให้เจ็บปวด เหมือนที่ผมเจ็บปวด”ศศิพูดด้วยสายตาเศร้า


    “ทำไม ฉันต้องถูกลบความทรงจำด้วย”ฉันถาม


    “อย่างที่ผมบอก เพื่อไม่ให้คุณเจ็บปวด”ศศิพูดด้วยสายตาเศร้ากว่าเดิม


    “ถ้าฉันกับคุณรักกันจริง ถึงแม้เราต้องห่างกัน ฉันจะไม่มีวันเจ็บปวดเพราะรักคุณ อย่างแน่นอน”ฉันพูดด้วยความมั่นใจ


    “ผมก็หวังเป็นแบบนั้น”ศศิพูดแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอาบแก้ม ก่อนที่ฉันจะรีบไปซับน้ำตาเขา แล้วเขาก็จับมือฉันข้างที่ซับน้ำตามากุมอยู่นาน  ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุย


    “ทำงานกันดีกว่า”


    “อืม”ฉันตอบรับด้วยสายตาเศร้าๆที่เห็นเขาน้ำตาไหล

  •      และพวกเราทั้งสองก็ทำงานกันเงียบๆไป จนกระทั่ง ศศิขอเปิดเพลง และฉันฟังเพลงไปด้วย ทำงานไปด้วย ก่อนที่ฉันกับเขาเราจะคุยเรื่องงานกันว่า 


    “งานนี้เสร็จเร็วมากเลย ตั้งแต่ฉันทำงานมา ฉันไม่เคยเสร็จงานเร็วขนาดนี้เลยนะ”ฉันพูดด้วยความดีใจ


    “ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ จะได้กลับบ้านกันแล้ว”ศศิพูด


    “จริงด้วย ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน แล้วพวกเราก็กลับกัน”ฉันพูด แล้วเก็บงานทุกอย่างลงใต้ลิ้นชัก ก่อนจะล็อกกุญเเจเอาไว้ และเอาลูกกุญแกของโต๊ะทำงานคล้องไว้กับลูกกุญแจห้องที่ทางหอเขาทำเผื่อไว้ถึงกรณีที่ใช้การ์ดไม่ได้ขึ้นมา 


         ระหว่างทางที่ฉันเดินไปเข้าห้องนำ้ ฉันพบว่า ฝนกำลังตกหนัก ดังนั้นฉันจะรีบไปเข้าห้องน้ำ เพื่อจะได้รีบกลับ และเมื่อฉันเดินออกมาจากห้องน้ำ ฉันก็ตกใจกับภาพที่ฉันเห็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อฉันเดินมาถึงที่โต๊ะทำงาน ฉันเห็นภาพที่ศศิกลายร่างเป็นแมวดำ และฉันก็กรี๊ดจนเผลอสลบไป

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in