เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SPORTLIGHTSALMONBOOKS
01 วันลำบากของคนเก่งที่สุดในโลก





  •  

    01

    วันลำบากของคนเก่ง
    ที่สุดในโลก



                  ลิโอเนล เมสซี่ คือหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดเท่าที่วงการฟุตบอลเคยมีมา ตั้งแต่ลงสนามให้
    บาร์เซโลน่าเมื่อปี 2004 จนถึงปี 2018 เขาทำลายสถิติต่างๆ มากมาย และคว้าแชมป์มาแล้วนับไม่ถ้วน
                 เมสซี่เป็นผู้เล่นที่ยิงประตูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปน ช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้ 9 สมัยแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกอีก 4 สมัย นอกนั้น ยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี หรือที่เรียกกันในชื่อบัลลงดอร์ถึง 5 สมัย
                 ด้วยความสามารถที่เก่งกาจ ส่งผลให้ชื่อเสียงของเมสซี่โด่งดัง และนำมาซึ่งความร่ำรวยมั่งคั่งในระดับที่เขาได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร ฟอร์บส์ ว่าเป็นนักฟุตบอลที่ทำรายได้มากที่สุดในโลกเมื่อปี 2018
                 เขาคือไอคอนคนสำคัญของฟุตบอลในยุคสมัยใหม่
                 อย่างไรก็ตาม กว่าจะมีวันนี้ เส้นทางของเมสซี่ไม่ได้โรยด้วยซ้ำกลีบกุหลาบ สมัยเป็นเยาวชน เขาเกือบไม่มีสโมสรลงเล่นด้วยำไม่มีใครอยากให้โอกาสเด็กน้อยที่ชื่อเมสซี่
                 ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่นี่คือเรื่องจริง

                 ย้อนกลับไปปี 2000 เวลานั้นเมสซี่อายุ 13 ขวบ เริ่มมีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลอาร์เจนตินาด้วยฐานะนักเตะเยาวชนที่ตัวเล็กแต่วิ่งได้รวดเร็ว เลี้ยงบอลเก่ง เล่นบอลฉลาด และที่สำคัญคือเขาถนัดเท้าซ้าย
                 เมสซี่ทำให้ผู้คนคิดถึงอดีตตำนานทีมชาติอาร์เจนตินาที่ชื่อดิเอโก้ มาราโดน่า เพราะมาราโดน่าก็ตัวเล็กและถนัดเท้าซ้าย จนเมสซี่ได้รับการยกย่องจากสื่อท้องถิ่นว่าเป็น ‘นิวมาราโดน่า’ ซึ่งการถูกยกมาเปรียบกับตำนานระดับนี้ ถือเป็นการสดุดีถึงความสามารถอันโดดเด่นของเจ้าหนูเมสซี่เป็นอย่างดี
                 แต่ในปี 2000 เมสซี่ก็โดนปล่อยตัวออกมาจากต้นสังกัด คือทีมเยาวชน นีเวลส์ โอลด์ บอยส์
    ถ้าเมสซี่เก่งอย่างที่สื่อร่ำลือจริงๆ ทำไมถึงโดนปล่อยตัว?ตามหลักแล้ว ควรจะมีสโมสรมากมายรุมแย่งตัวกันไม่ใช่เหรอ?แล้วถ้าคนไหนดูมีแวว สโมสรต้นสังกัดก็ยิ่งควรจับเซ็นสัญญาระยะยาวตั้งแต่ยังเป็นนักเตะเยาวชนเพื่อให้มีข้อผูกมัดกับทีมไว้ก่อนด้วยซ้ำ
                 แต่เมสซี่กลับถูกปล่อยทิ้ง แล้วยังไม่มีทีมไหนในอาร์เจนตินาอยากเซ็นสัญญากับเขาอีกต่างหาก

                 จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เกิดขึ้นเพราะมีการตรวจพบความผิดปกติบางอย่างในร่างกายของเมสซี                 คำวินิจฉัยของแพทย์จากสโมสรนีเวลส์ โอลด์ บอยส์ชี้ว่าต่อมใต้สมองส่วนหน้าของเมสซี่หลั่งฮอร์โมนน้อยกว่าเด็กคนอื่นๆซึ่งถือเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ โดยคาดการณ์ว่าถ้าปล่อยให้เจริญเติบโตตามธรรมชาติ เมสซี่จะสูงได้แค่ 150 เซนติเมตรเท่านั้น

                  ในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล นักเตะอาชีพที่มีส่วนสูงน้อยที่สุด ได้แก่ เอลตัน โกเมส
    ดาวเตะบราซิลที่เคยค้าแข้งกับสโมสรสเตอัว บูคาเรสต์ในปี 2007 โดยโกเมสมีส่วนสูง 154เซนติเมตร
                  นั่นหมายความว่าต่อให้เมสซี่ฝีเท้าดีแค่ไหน ถ้าสูงแค่นี้ ก็แทบจะ 100 เปอร์เซนต์แล้วว่าไม่มีสิทธิเล่นในฟุตบอลระดับอาชีพ
                  สูง 150 เซนติเมตร แย่งโหม่งกับใครก็ไม่ได้ ถ้าต้องเจอกับนักเตะในยุโรปที่ร่างกายใหญ่โต
    นึกไม่ออกเลยว่าเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร คืออาจทำได้ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครทำแบบนั้นมาก่อนเพราะไม่มีสโมสรไหนกล้าเสี่ยงกับนักเตะที่เตี้ยเกินไป
                 แม้นีเวลส์ โอลด์ บอยส์จะเสียดายพรสวรรค์ แต่ก็ต้องยอมปล่อยตัวเมสซี่ออกมา ด้วยเหตุผลเรียบง่ายคือ ‘ร่างกายไม่โต’
                 เมสซี่และครอบครัวไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลในเมืองโรซาริโอ ได้รับคำแนะนำว่าวิธีเดียวที่จะแก้ไขเรื่องนี้ได้ คือฉีดฮอร์โมนช่วยการเจริญเติบโตเข้าไปที่ร่างกายทุกวัน ติดต่อกัน
    เป็นเวลาอย่างน้อยสองปี
                 ค่าใช้จ่ายของการฉีดฮอร์โมนอยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (ราว 33,000 บาท) เท่ากับว่า ถ้าจะฉีดฮอร์โมนสองปีก็ต้องจ่ายเงิน 24,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 800,000 บาท ขาดอีกนิดเดียวก็จะถึงล้านแล้ว
                ไม่มีสโมสรไหนกล้าลงทุนจ่ายเงินเกือบล้านกับเด็กอายุ 13ที่ไม่รู้ว่าโตขึ้นจะเก่งหรือเปล่า?
                ลองคิดดูว่าถ้าลงทุนไป แล้วบทสรุปออกมาว่านักเตะคนนี้กลายเป็นของปลอม โตขึ้นแล้วฝีเท้าไม่เก่งจริง เท่ากับว่าเงินที่จ่ายไปทั้งหมดก็เสียเปล่า



  •              ขณะที่ครอบครัวของเมสซี่ก็มีฐานะปานกลาง คุณพ่อทำงานโรงงานเหล็ก คุณแม่เป็นแม่บ้าน
    ไม่สามารถหาเงินจำนวน1,000ดอลลาร์สหรัฐมาใช้จ่ายทุกเดือนได้ ความหวังเดียวในตอนนั้นคือต้องมีสโมสรฟุตบอลเป็นสปอนเซอร์ คอยซัพพอร์ตเงินทุนตรงนี้แต่ก็ไม่ง่ายที่จะมีทีมไหนเข้ามาช่วยแบกรับค่าใช้จ่ายให้
                 ความฝันของเด็กน้อยที่ชื่อเมสซี่ดูเหมือนจะหมดหวัง เขาอายุ13 ปีแล้ว ถ้าหากไม่มีสโมสรให้สังกัด เขาก็ต้องกลับไปเรียนหนังสือล้มเลิกความหวังที่จะได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ

                 หลังโดนปล่อยตัวจากนีเวลส์ โอลด์ บอยส์ คุณพ่อของเมสซี่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกชายได้มีสังกัด ทั้งพาไปคัดตัวกับหลายๆสโมสรในอาร์เจนตินา ทั้งส่งจดหมายไปหาทีมฟุตบอลในยุโรปเพื่อขอให้พิจารณาลูกชายของเขาด้วย
                คุณพ่อหวังว่า จะมีสักทีมที่พร้อมสนับสนุนเงินทุนให้ลูกชายของเขาได้สานฝันต่อ แต่ก็ยังไม่มีใครตอบรับแม้จะไม่มีทีมใดติดต่อกลับ แต่ความพยายามของคุณพ่อดันไปเข้าหู โจเซป มาเรีย มินเกลล่า
    เอเยนต์ฟุตบอลชื่อดังชาวสเปน
                อาชีพของมินเกลล่าคือเป็นคนกลางคอยเฟ้นหาดาวรุ่งฝีเท้าดีเอาไปแนะนำสโมสรฟุตบอลต่างๆ และถ้าสโมสรตัดสินใจซื้อนักเตะตามคำแนะนำ เขาจะได้เงินส่วนแบ่งก้อนหนึ่ง เมื่อมินเกลล่าได้ยินข่าวเรื่องเมสซี่ เขาเกิดสนใจขึ้นมาว่าเด็กคนนี้จะมีพรสวรรค์ขนาดไหนเชียว เขาไปหาดูเทปการเล่นก็พอ
    จะเห็นแววนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะตัดสินได้ว่า เมสซี่คือของจริงหรือเปล่า
                มินเกลล่าจึงติดต่อไปที่ โฮราซิโอ กัจจอลี่ เอเยนต์อีกคนที่เขารู้จักเป็นการส่วนตัวซึ่งประจำอยู่ที่อาร์เจนตินา ให้ไปดูฟอร์มของเมสซี่ ว่าคุ้มค่าพอที่จะเดินเรื่องจัดหาสโมสรให้ลงเล่นหรือไม่

                กัจจอลี่ตามไปดูฟอร์มเมสซี่จากสนามที่เขาไปขอคัดตัวกับสโมสรต่างๆ กัจจอลี่รู้สึกทึ่งในความสามารถ และคอนเฟิร์มกับมินเกลล่าว่าเด็กคนนี้เป็นของจริง คุ้มค่าที่สโมสรดังๆ จะจ่ายเงินเพื่อลงทุนให้ เมื่อได้ยินดังนั้น มินเกลล่าจึงตัดสินใจส่งตั๋วเครื่องบินไปกลับอาร์เจนตินา-สเปนให้เมสซี่กับคุณพ่อเดินทางมาทดสอบฝีเท้ากับบาร์เซโลน่า ซึ่งเขามีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่ทันที ถ้าหากเมสซี่ทำให้สตาฟฟ์โค้ชประทับใจ เขาอาจได้รับสัญญา คือมินเกลล่าไม่อาจตัดสินใจขั้นสุดท้ายได้ แต่เขาสามารถสร้างโอกาสให้เมสซี่โชว์ผลงานให้ทุกคนเห็นได้
                17 กันยายน 2000 เมสซี่เดินทางมาถึงสเปน มินเกลล่าไปรับที่สนามบิน และคิดในใจตอนเจอครั้งแรกว่า “เด็กคนนี้ทั้งเตี้ยและผอมบางมาก เขาจะทดสอบฝีเท้าไหวเหรอ” แต่ก็เอาน่ะ เมื่อกัจจอลี่มั่นใจว่าเมสซี่เก่งจริง ก็ต้องเชื่อตามนั้น
                ระยะเวลาในการทดสอบฝีเท้าคือสองสัปดาห์ ผ่านไปสัปดาห์แรก ความเห็นของทีมสตาฟฟ์โค้ชแบ่งออกเป็นสองฝ่ายฝ่ายสนับสนุนชี้ว่า เมสซี่เป็นนักเตะที่เก่งจริงๆ เป็นดาวรุ่งที่ควรได้รับโอกาส ส่วนฝ่ายคัดค้านก็มองว่าการลงทุนเป็นล้านจะคุ้มเหรอ และในอดีตบาร์เซโลน่าก็ไม่เคยทุ่มงบประมาณให้กับ
    เยาวชนต่างชาติมากขนาดนี้
                แนวโน้มในตอนนั้น ดูจะเทไปทาง ‘ไม่เอา’ มากกว่าอย่างไรก็ตาม มินเกลล่าที่ตามดูเมสซี่มาตลอดหนึ่งสัปดาห์ก็เห็นด้วยตาตัวเองเช่นกันว่า เมสซี่เป็นนักเตะพรสวรรค์ เขาจึงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และติดต่อหา การ์เลส ‘ชาร์ลี’ เรซัค อดีตนักเตะ
                บาร์เซโลน่าซึ่งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ โจน กาสปาร์ต ประธานสโมสรบาร์เซโลน่าในขณะนั้น
     อดีตที่ผ่านมา มินเกลล่าถือว่าเป็นเอเยนต์ที่มีผลงานดีเขาเป็นคนแนะนำให้บาร์เซโลน่าซื้อมาราโดน่าจากโบค่า จูเนียร์ส

  • ในปี 1982 ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ กองหน้าชาวบัลแกเรียจากสโมสรซีเอสเคเอ โซเฟียในปี 1990 และ
    โรมาริโอ้ กองหน้าทีมชาติบราซิลจากสโมสรพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นในปี 1993 เซนส์ในการมองนักเตะ
    ของเขาจึงถือว่าเฉียบคมมาก มินเกลล่ามองนักเตะไม่ค่อยพลาดและเขามั่นใจว่าเมสซี่เป็นนักเตะที่ดีเกินกว่าจะปล่อยผ่านไป
                มินเกลล่าเลยขอร้องให้เรซัคมาดูฟอร์มของเมสซี่ด้วยตัวเองเพราะเขามั่นใจว่าถ้าอดีตนักเตะดังอย่างเรซัคได้เห็นพรสวรรค์ของเมสซี่ ก็จะพยายามทำทุกทางเพื่อเซ็นสัญญานักเตะเอาไว้ให้ได้แน่ๆ
                ตอนแรกเรซัคไม่ใส่ใจอะไร เห็นเป็นแค่เด็กเยาวชนคนหนึ่งแต่ที่เขาตัดสินใจไปดู ก็เพราะคำขอร้องของมินเกลล่า
                2 ตุลาคม 2000 วันทดสอบวันสุดท้าย เรซัคเข้าไปชมเกมในสนามซ้อม เมสซี่ถูกจับลงสนามแข่งกับทีมชุดยู-15 (อายุต่ำกว่า15 ปี) ซึ่งโค้ชต้องการเห็นว่าถ้าเจอกับคู่แข่งที่อายุมากกว่าสองปี
    เขาจะสามารถรับมือได้หรือไม่
               “ตอนไปถึงสนาม กรรมการเป่านกหวีดเริ่มเกมพอดี ผมเดินไปหยุดอยู่ที่หลังประตู เพื่อดูเกมแค่แวบเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็เดินไปหาโค้ชที่ม้านั่งสำรอง แล้วบอกว่าเราจะต้องเซ็นสัญญากับเด็กอัจฉริยะคนนี้ให้ได้”
               เรซัคดูเมสซี่แค่สิบนาที แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว จากประสบการณ์ของเขา เรซัครู้ได้ทันทีว่าเด็กคนนี้มีของ
               หลังจบการซ้อมในวันนั้นก็หมดระยะเวลาการทดลองฝีเท้าสองสัปดาห์ เมสซี่กลับอาร์เจนตินาไปก่อน โดยทางเรซัคยืนยันว่าจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้สโมสรเซ็นสัญญากับเมสซี่ให้ได้
              เรซัคพยายามเกลี้ยกล่อมกลุ่มผู้บริหารให้เซ็นสัญญาเมสซี่แต่แทบทุกคนปฏิเสธ เพราะเงื่อนไขของเมสซี่เยอะเกินไป และค่าใช้จ่ายรวมๆ ถือว่าเยอะกว่าเด็กเยาวชน 10 คนรวมกันเสียอีก
              เงื่อนไขที่ว่ามีดังนี้
              1) สโมสรต้องจ่ายเงินค่าฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตให้เมสซี่เป็นจำนวน 24 เดือน (24,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
              2) สโมสรต้องจัดหาที่พักให้เมสซี่และครอบครัว เพราะเขาไม่ใช่เด็กท้องถิ่นที่เกิดในคาตาลุญญา เดินทางไปกลับไม่ได้
              3) สโมสรต้องหางานให้คุณพ่อเมสซี่ทำด้วย เพราะเขาต้องลาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกชายที่ต่างประเทศ และคุณพ่อจำเป็นต้องมีเงินเอาไว้หล่อเลี้ยงครอบครัว
              4) เพราะเป็นคนต่างชาติ ตามกฎของสหพันธ์ฟุตบอลสเปนเมสซี่จะไม่สามารถลงเล่นในลีกเยาวชนระดับ Infantil (ช่วงอายุ13-14 ปี) ได้ นั่นหมายความว่า ถ้าเมสซี่ย้ายมา เขาจะไม่ได้ลงแข่งในเกมทางการเลยอย่างน้อยสองปี ต้องแยกซ้อมตามลำพัง และลงแข่งได้เฉพาะเกมกระชับมิตรกับทีมท้องถิ่นเท่านั้น

             กับนักเตะเยาวชนคนหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรการันตีว่าจะประสบความสำเร็จ เงื่อนไขเหล่านี้ ดูวุ่นวายมากจริงๆ
             สองเดือนผ่านไป เรซัคทำให้บอร์ดบริหารทุกคนเห็นด้วยไม่ได้ และคุณพ่อของเมสซี่ก็หมดความอดทน เขาพร้อมแล้วที่จะโละกระดานทิ้งแล้วไปเจรจากับสโมสรอื่น คือจะได้หรือไม่ก็ไม่รู้แต่ก็ดีกว่ารอแบบลมๆ แล้งๆ อย่างนี้
             20 ธันวาคม 2000 ตัวแทนทุกฝ่ายนัดพบกันที่ร้านอาหารในปอมเปอี เทนนิสคลับกลางเมืองบาร์-
    เซโลน่า เพื่อหาข้อสรุปของเรื่องนี้
            บนโต๊ะอาหาร มีฮอร์เก้ เมสซี่ คุณพ่อของลิโอเนล การ์เลสเรซัค ตัวแทนของบาร์เซโลน่า โจเซป
    มาเรีย มินเกลล่า และโฮราซิโอ กัจจอลี่ สองเอเยนต์ที่พยายามผลักดันให้ดีลนี้เกิดขึ้น
            “ลีโอจะไปจากที่นี่” คุณพ่อพูด

  •          “เรารอแบบนี้ไม่ได้ เราต้องไปสโมสรอื่น” กัจจอลี่ตอกย้ำสถานการณ์อีกรอบ
             ทันใดนั้น เรซัคหยิบปากกาเขียนลงกระดาษเช็ดปากบนโต๊ะ ว่า ‘ผม ชาร์ลี เรซัค ในฐานะที่ปรึกษาของสโมสรบาร์เซโลน่า ต่อให้มีผู้ไม่เห็นด้วย แต่ผมจะทำทุกทาง เพื่อเซ็นสัญญาลิโอเนล เมสซี่ให้ได้’

              ถือเป็นสัญญาใจที่เรซัคประกาศกลางโต๊ะอาหาร และถึงวันนี้กระดาษแผ่นนั้นก็ถูกเก็บใส่กรอบไว้อย่างดีในตู้เซฟของกัจจอลี่จากวันที่เรซัคเขียนสัญญาใจบนกระดาษเช็ดปาก สองเดือนต่อมา เรซัคก็ทำตามที่เขารับปากเอาไว้ได้ เขาเอาชนะใจบอร์ดบริหารของบาร์ซ่าได้สำเร็จ ทางสโมสรยอมรับเงื่อนไขทั้งหมด        
              เมสซี่ได้รับสัญญาอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์2001 สโมสรพาคุณแม่และพี่น้องทั้งสามคนของเมสซี่มาใช้ชีวิตด้วยกันทั้งครอบครัวในเมืองบาร์เซโลน่า ส่วนคุณพ่อสโมสรก็ฝากงานให้เป็พนักงานรักษาความปลอดภัยที่บริษัท บาร์น่า พอร์เตอร์สซึ่งเป็นบริษัทในความดูแลของสโมสร    
              สำหรับเมสซี่ หลังจากได้รับฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง ความสูงของเขาก็เพิ่มขึ้น จากที่น่าจะสูง 150 เซนติเมตร ก็กลายเป็น 170เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสูงที่โอเคสำหรับนักฟุตบอลระดับท็อปและเมื่อผสมผสานกัความเร็วกับความฉลาดในการเล่นฟุตบอลทำให้เมสซี่พัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็วมากๆ                จากเด็กฝึกหัดของสโมสร เขาก้าวขึ้นติดทีม Juvenil A (ทีมชุดอายุไม่เกิน 19 ปี) ของบาร์เซโลน่าในวัยแค่ 15 ปีเท่านั้น และในวันที่ 16 ตุลาคม 2004 การแข่งขันลาลีกา ลีกสูงสุดของประเทศสเปน ในวันที่บาร์เซโลน่าไปเยือนเอสปันญ่อลที่สนามมอนต์จูอิค
              เมสซี่ได้ลงสนามกับทีมชุดใหญ่ครั้งแรกด้วยวัย 17 ปี 3 เดือน กับอีก 22 วัน โดยลงสนามในนาทีที่ 82 เป็นตัวสำรองแทนเดโก้กองกลางชาวโปรตุเกส จากนั้นเมสซี่ก็ก้าวขึ้นเป็นตัวจริงของบาร์เซโลน่าได้สำเร็จ ก่อนจะกลายเป็นนักเตะหมายเลขหนึ่งของโลกได้อย่างสง่างาม
              ขนาดนักกีฬาหมายเลขหนึ่งของโลก ผู้มีพรสวรรค์สูงส่งตั้งแต่เด็ก ชีวิตก็ยังไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ก็ต้องถือว่าเมสซี่โชคดีที่บนความยากลำบากนั้น มีคนเชื่อมั่นในความสามารถ และคอยผลักดันให้เขาไปไกลที่สุด
              คุณพ่อ เอเยนต์ และเรซัค ถ้าขาดใครสักคนไป เราอาจไม่ได้เห็นความสำเร็จของเมสซี่ในวันนี้
    เพราะคนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย ไม่ได้มีแค่ความสามารถและพรสวรรค์
              อีกสิ่งที่สำคัญก็คือ พวกเขาเหล่านั้นได้พบเจอกับคนดีๆได้เจอกับคนที่พร้อมจะเชื่อใจ พร้อมจะให้โอกาส

              ซึ่งในชีวิตของเรา ถ้าได้เจอคนแบบนั้นแค่เพียงสักคนก็ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in