เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SLOTH MACHINESALMONBOOKS
01: สลอธ


  • เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอ่านหนังสือในห้องน้ำของคุณ (ลองทักหว่านๆ ดู เผื่อจะมีสักคนที่กำลังอ่านไปขี้ไปอยู่จริงๆ) ผมจะขอกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏตัวอยู่บนหน้าปกหนังสือเล่มนี้ แถมยังปรากฏตัวต่อเนื่องทั้งในหน้า 44, 51, 57 และ 113 เป็นต้นไปอีกด้วย...แน่ะ เริ่มมามึงก็สปอยล์เลยนะ

    สิ่งมีชีวิตที่ว่าคือ ตัว ‘สลอธ’ (Sloth) ครับ

    ระหว่างที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ข้างๆ เป็นชั้นหนังสือ มีพจนานุกรมเล่มหนาเตอะวางอยู่ ด้วยความที่อยากจะอธิบายให้คุณได้เข้าใจ เลยลองเปิดดูเผื่อจะเจอคำอธิบายความหมายง่ายๆ ของคำว่าสลอธและก็พบว่าไม่มี... คำที่ใกล้เคียงที่สุดคือคำว่า ‘สล็อตแมชชีน’ (น. วงดนตรีไทยวงหนึ่งที่มีนักร้องนำเสียงแหลมสูงทะลุชั้นบรรยากาศโลก ...ไม่ใช่ละ มันเป็นเครื่องเล่นการพนัน มีลักษณะเป็นตู้หยอดเหรียญเสี่ยงโชคต่างหาก)

    ที่เจ๋งก็คือ พอพ้นสล็อตแมชชีนไป คำต่อไปก็คือ ‘สลอน’ เลย อืม…ดีนะ เป็นสองคำที่พอเอามาวางต่อกันปั๊บก็ได้เนื้อหาสะท้อนสังคมดีเหมือนกัน ว้าย ตู้สล็อตฯ มีอยู่สลอนๆ… (โดนอุ้ม)

    ตอนนี้ท่านผู้อ่านคงกำลังคิดว่า ไหนมึงบอกว่าจะไม่ให้เสียเวลาไง นี่อ่านมาจะครบหน้าอยู่แล้วกูยังไม่เห็นสลอธโผล่มาสักตัว

    ใจเย็นๆ ครับ คือตอนนี้เรากำลังพูดถึงสัตว์ที่เป็นที่รู้กันว่าเป็นหนึ่งในตัวแทนแห่งความชิลและเรื่อยเปื่อยที่สุดในโลกอยู่ จะให้เสิร์ชกูเกิลแล้วก๊อปประโยคจากวิกิพีเดียมาแปะอธิบายความหมาย พออ่านจบ ขี้สุด ล้างตูดเสร็จ กดชักโครก แล้วปิดหนังสือลุกเดินออกไปทันทีก็กระไรอยู่

    ผมอยากให้คุณลองลดสปีดของชีวิตลง ค่อยๆ นะครับ หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกยาวๆ ก่อนจะมาอ้อยอิ่งละเลียดเนื้อหากันเสียทีแน่ะ ยังไม่ทำอีก ลองดูสิครับ เอ้ายังอีก ...ช่างแม่งละกัน

    สิ่งมีชีวิตที่ว่าคือตัว ‘สลอธ’ ครับ (อยู่ดีๆ ก็ตัดเข้าเรื่อง)ไอ้สัตว์ (ด่าทำไม) ตัวที่ว่าเนี่ย มันเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หน้าตา ท่าทาง และโหงวเฮ้งคล้ายลิง แต่ที่จริงดันเป็นญาติกับหมี (มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยว่า ‘หมีไม้’) อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ (อเมริกาโนไม่มี อย่าตลก)

    ความสุดยอดของตัวสลอธก็คือ มันเป็นสัตว์ที่ เ ชื่ อ อ อ ง ง ง ง ช้ า า า า … อื ด ด ด ด อ า า า ด ด ด … ยื ด ด ด ย า า า ด ด ด ด แบบสุดๆ ช้าเหมือนเวลาเราดูคลิปหยดน้ำจากก๊อกที่ปกติแล้วพอเปิดปั๊บก็จะแตกซ่านทะลักพรวดเปียกแฉะเลยในทันที แต่พอเอามาใส่เอฟเฟ็กต์สโลว์โมชั่น อีหยดน้ำปากก๊อกนี่ก็จะค่อยๆ ย้วยลงมาช้าๆหนืดๆ ดื๊อแหวบ ดื๊อแหวบ ก่อตัวกันเป็นก้อนม้วนต้วนแล้ววนเวียนอยู่นั่น กว่าพวกมึงจะได้ฤกษ์รวมร่างกันเป็นสายไหลออกมาจากปากท่อ (ทำไมครับ, แวะโพธารามก่อน ...ถุย) หยดลงมากระทบพื้นข้างล่างและแตกกระจายไปอย่างช้าๆ ก็ปาเข้าไปสามนาที

    นี่แหละครับการเคลื่อนไหวในแบบสลอธ

    มันเป็นความช้าที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างก็สนใจว่า พวกมึงใช้ชีวิตอยู่รอดในป่าไม้แห่งยุคโลกาภิวัตน์นี้ได้ยังไง

    ลองสมมติดูละกันว่า วันหนึ่งเจ้าสลอธกำลังปีนต้นไม้ แล้วอยู่ดีๆ ก็หันไปเจอเสือโคร่งโผล่มา
    ในใจคิด: เชี่ยแล้วๆๆๆ หนีๆๆๆ ฉิบหายแล้ววววว! บัดซบ!! เผ่นโว้ยยยย!!!
    แต่เวลาแสดงออก: ค่อยๆ ขยับตัวทีละนิดแบบกดสโลว์ 15 เท่า
    ซึ่งเวลาเจ้าสลอธประสบวิกฤตชีวิตระดับคอขาดบาดตายจริงๆมันจะลนลานตาลีตาเหลือกเร่งสปีดหนีศัตรูด้วยความเร็วสูงสุด… เอ้อ...4.5 เมตรต่อนาทีครับ
    เร็วมาก...
  • โอเค เท่าที่เคยดูสารคดีสัตว์โลกมา สิ่งมีชีวิตอื่นอาจมีท่าไม้ตายเด็ดเก็บไว้พรางตัวเพื่อการต่อสู้ หรือทำให้เหล่านักล่ามึนแล้วชิ่งหนีเอาตัวรอดกันได้บ้างใช่ไหมครับ แต่สำหรับตัวสลอธนี่ ไม่แม้แต่จะแกล้งตาย คือต่อให้อยากก็อาจทำไม่ทัน เรียกว่ารอความตายอย่างเดียว (กล้องแพนไปที่นักวิทยาศาสตร์กำลังกุมขมับ)

    นอกจากจะช้าแล้ว ชีวิตของมันยังชิลในแบบที่มนุษย์อย่างเราไม่มีทางจินตนาการถึง เอาที่เห็นประจักษ์ต่อหน้าต่อตาก็คือสีขนของมัน

    ตัวสลอธมีขนเป็นสีเขียวครับ

    ไม่ใช่ว่าบรรพบุรุษของมันรู้ตัวว่าข้านี่เชื่องช้าเหลือเกิน ต่อไปลูกหลานคงแย่แน่ถ้าไม่เริ่มหัดอำพรางตัวเสียตั้งแต่วันนี้ ว่าแล้วก็ค่อยๆ วิวัฒนาการตัวเอง เปลี่ยนสีขนให้กลายเป็นสีเขียวทั้งตัว …คือมึงข้ามเผ่าพันธุ์จากสัตว์กลายเป็นพืชได้เลยงั้นเรอะ?

    เปล่าครับ ขนจริงๆ ของมันก็ยังเป็นสีน้ำตาลเหมือนสัตว์โลกทั่วไปนี่แหละ แต่ที่เห็นเขียวๆ นั่นคือสาหร่ายหรือตะไคร่น้ำที่มาขึ้นตามตัวมันครับ! ซึ่งเจ้าสลอธก็ไม่ได้บ่นอะไร อยากขึ้นก็ขึ้นไปสิ อย่างน้อยเวลาที่มันเกาะกิ่งไม้เพลินๆ พวกนักล่าผ่านมาเห็นก็คงนึกว่าอีก้อนเขียวๆ นี้เป็นแค่พุ่มไม้กากๆ ที่เห็นได้ทั่วไปตามป่าเขา แล้วก็ผละจากไป ปล่อยให้เจ้าสลอธรอดตายไปแบบเสียวแว้บอีกมื้อ ...เห็นไหมล่ะมีประโยชน์จะตาย

    นอกจากจะมีพืชปกคลุมตามร่างกายแล้ว ตามไรขนของมันยังมีแมลงจำนวนมากที่ดำรงชีวิต กินขี้_ี้นอนสืบทอดเผ่าพันธุ์อยู่ในนั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าตัวเล็กๆ กากๆ แบบเห็บเหาที่ขึ้นตามหมาแมวนะครับ แต่แมลงเหล่านี้มีกันอยู่ตั้งหลายสายพันธุ์ แบบที่ขนาดใหญ่หน่อยก็ตัวเท่าตั๊กแตน จิ้งหรีด แมลงสาบอะไรพวกนี้เลย แล้วก็เดินสวนสนามกันขวักไขว่รุงรังไม่แพ้ตลาดจตุจักรช่วงเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ในช่วงสิ้นเดือนอีกด้วย เรียกว่าร่างกายของสลอธถือเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ได้เลย

    ผมไม่รู้เหมือนกันว่าสลอธมันรำคาญบ้างหรือเปล่าที่มีเหล่าเหลือบไรมาเกาะแกะบนร่างกาย แต่ถ้ามันรู้สึกคัน หรืออยากเอื้อมมือไปตบให้แหลกสักฉาด มันก็จะค่อยๆ ขยับแขน ...ช้าๆ ...สโลว์ๆ ...โน้งเหน่งโน้งเนง ...โน้งเหน่งโน้งเนง กว่าจะไปถึงตำแหน่งที่แมลงตัวนั้นเคยอาศัยอยู่และสร้างความคันให้ อีแมลงที่ว่าก็บินหนีไปไกลจนออกลูกออกหลานได้สามรุ่นแล้ว (นี่ก็เว่อร์ไป)
  • คุณผู้อ่านคิดว่าวีรกรรมของตัวขี้เกียจนี้คงจะมีเท่าที่เล่าไปแล้วข้างบนใช่ ไหมครับ …ยังครับ ยังมีอีก (นักวิทยาศาสตร์หันมาทำหน้าเหวอพร้อมกัน)

    ปกติสัตว์สองเท้าอย่างมนุษย์เราเนี่ย พอกินข้าวอิ่มปั๊บ กระบวนการย่อยอาหารก็จะเริ่มต้นขึ้น กระเพาะอาหารส่งตรงไปลำไส้เล็กใหญ่ ดูดซึมและคัดแยกกากอาหารให้เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็ขับถ่ายออกมาเป็นของเสีย (ก็ขี้นั่นแหละ จะไปใช้ศัพท์ตำราเรียนทำไม) วงจรทั้งหมดนี้ไม่น่าจะกี่ชั่วโมงใช่ไหมครับ แต่อีสลอธนี่ล่อไปรอบละหนึ่งสัปดาห์จ้ะ...

    เนื่องจาก มันเป็นสัตว์ที่มีอัตราการเผาผลาญและใช้พลังงานในระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก เรียกว่าเปิดโหมดประหยัดพลังงานชีวิตตลอดเวลา (แอปเปิลและซัมซุงควรส่งทีมวิจัยมาดูงานด่วน) เพราะอาชีพของพี่คือกินเสร็จแล้วก็นอน นอนเสร็จตื่นมากิน เกิดนึกครึ้มอยากให้ชาวโลกรู้ว่าเห็นเขียวๆ แบบนี้แต่กูไม่ใช่พืชเมื่อไหร่ก็ขยับตัวพอเป็นพิธีนิดนึง ดังนั้นกว่าจะย่อยอาหารเสร็จหนึ่งมื้อ พี่จึงใช้เวลาเป็นเดือนๆ (พอรู้ถึงตอนนี้ เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็เริ่มผลัดกันยื่นยาดมให้กัน)

    แถมกระบวนการเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงานเพื่อสู้ชีวิตต่อไปของมันก็ยังไม่ธรรมดา เพราะร่างกายมันไม่ค่อยมีฟีเจอร์เพื่อการสันดาปเท่าไหร่ สลอธจึงจำเป็นต้องใช้ความร้อนจากนอกร่างกายเข้าช่วย

    ใช่แล้วครับ เพื่อจะให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเริ่มทำงาน มันต้องนอนรอรับแดดอุ่นๆ จากดวงอาทิตย์ด้วย! เฮ้ย นี่ตกลงมึงสังเคราะห์แสงได้จริงๆ เรอะ?!

    แม้จะฟังดูเท่ แต่เอาเข้าจริง ระบบนี้มันแย่นะครับ คือถ้าช่วงไหนไม่มีแดดติดต่อกันนานๆ อย่างเช่นฤดูฝน สลอธก็จะอดตายเพราะขาดอาหาร ต่อให้มันกินใบไม้จนอิ่มแปล้ แต่เมื่อไม่มีแสงแดด มันก็จะเผาผลาญพลังงานไม่ได้ กลายเป็นว่าขาดสารอาหารบำรุงร่างกาย ตายไปซะงั้น ...เฮ้อ ขนาดวิธีตายยังอินดี้เลยแกเอ๊ย

    พูดเรื่องกินแล้วก็ต้องพูดเรื่องขี้ แม้ว่าสลอธจะใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้แทบจะตลอดเวลา แต่เวลาต้องการขับถ่าย มันจะค่อยๆ ขยับตัวไต่กระดึ๊บๆ ลงจากต้นเพื่อมาขี้ที่พื้นดินครับ... ขี้ตรงโคนต้นไม้นั่นแหละพอปลดทุกข์เสร็จก็ค่อยๆ ปีนขึ้นไปสถิตอยู่ข้างบนต่อ มันทำแบบนี้อาทิตย์ละครั้ง ถือเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์...

    ถัดจากเรื่องกินและเรื่องขี้ ต่อไปเป็นเรื่อง_ี้นะครับ มาถึงตอนนี้ผมว่าคุณน่าจะพอเดาออกว่าสัตว์ที่ช้าเฉื่อยแฉะขนาดนี้ แถมยังเป็นพวกไม่ชอบโซเชียล ชอบเก็บตัว อยู่ต้นใครต้นมันแทบจะตลอดชีวิตชาตินึงคงมีโอกาสเจอเนื้อคู่แค่ไม่กี่ครั้ง (ถ้าเป็นคนก็คงเหมือนพวกที่เป็นโรคฮิคิโคโมริ ที่วันๆ อุดอู้อยู่แต่ในห้องตัวเอง และมีกระดาษทิชชู่ปริศนากองอยู่เกลื่อนพื้น) และถึงจะได้มีโอกาสเจอคู่จิ้น ก็ใช่ว่าจะจีบกันจนตกร่องปล่องชิ้นได้ง่ายๆ ฤดูผสมพันธุ์ของมันเลยไม่แน่นอน แต่ทั้งนี้มันก็ยังเป็นสัตว์ที่ไม่ใกล้จะสูญพันธุ์นะครับ ไม่รู้มันไปขยายพันธุ์กันเมื่อไหร่และอีท่าไหน ถือเป็นความลับสวรรค์อีกประการหนึ่งเลย

    สุดท้ายคือเรื่องการนอนครับ (นี่ยังไม่หมดอีกเหรอวะเนี่ย!) ว่ากันว่าสลอธเป็นสัตว์ที่ติดท็อปชาร์ตรวมฮิตสิบสุดยอดสัตว์นอนเยอะที่สุดในโลก คือในแต่ละวันมันหมดเวลาไปกับการนอนประมาณสิบห้าชั่วโมง (บ้างก็ว่ายี่สิบชั่วโมงเลย) แต่เมื่อปี 2008 ได้มีนักวิทยาศาสตร์บุกป่าเข้าไปติดอุปกรณ์พิสูจน์ว่าตกลงเจ้าสัตว์ขี้เกียจตัวนี้มันนอนกี่ชั่วโมงต่อวันกันแน่ และผลที่ได้ก็คือประมาณสิบชั่วโมงเท่านั้น!

    ถ้าข้อมูลนี้เป็นจริงก็ถือว่าแก้คำครหาให้กับพี่น้องสลอธทั่วโลกได้เลยว่า ที่จริงพวกมันก็ไม่ได้ขี้เซาไปกว่ามนุษย์สักเท่าไหร่นี่นา (แต่ถ้าผลคลาดเคลื่อนเพราะเครื่องมือของผู้วิจัยคนนั้นไปทำให้มันตื่นเต้นจนนอนไม่หลับนี่ฮาเลยนะ)
  • จากข้อมูลทั้งหมดที่ร่ายไป ผมรู้สึกว่าสลอธเป็นสัตว์ที่สมควรได้รับการประดับยศอะไรสักอย่างให้สมเกียรติในฐานะของสิ่งมีชีวิตที่ก้าวไปถึงจุดสุดยอดแห่งวิวัฒนาการ กลายเป็นเจ้าแห่งความขี้เกียจแต่ยังเอาตัวรอดอยู่ได้ (ไงวะ) ซึ่งไม่ใช่ว่าสัตว์อื่นๆ อยากเป็นแล้วทำตามได้ง่ายๆ นะครับ เพราะความสุดยอดนี้มันฝังอยู่ในยีนที่ถูกส่งต่อมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว

    นอกจากนี้ตามความเชื่อของฝรั่งคำว่า ‘สลอธ’ ยังหมายถึงความขี้เกียจและเฉื่อยชา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบาปเจ็ดประการอีกด้วย

    ลองนึกภาพว่าในสมัยก่อนมีนักสำรวจบุกป่าอเมริกากลางไปเรื่อยๆ จนเจอ ‘สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม X’ (คือตอนนั้นยังไม่มีชื่อที่มนุษย์ตั้งให้น่ะเลยเรียกว่า X ไว้ก่อน... จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นสัตว์มันไปตั้งชื่อให้ใครอื่นเลย มีแต่คนนี่แหละที่ทำอะไรไร้แก่นสารแบบนี้) หลังจากนักสำรวจได้ใช้ชีวิตคลุกคลีกับมันจนเห็นนิสัยใจคอกันดีแล้วก็คงพบว่าไม่มีชื่อไหนเหมาะสมเท่านี้อีกแล้ว ก็เลยขนานนามให้ว่า ‘ตัวสลอธ’ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม X ตัวนั้นคงคิดว่า อ้าว มนุษย์เอ๊ย (น่าจะเป็นคำหยาบแบบเดียวกับคำว่าสัสเอ๊ย) กูอยู่ของกูดีๆ ก็มาปรักปรำ ชี้หน้าหาว่ากูเป็นตัวขี้เกียจ ก็ธรรมชาติของกูเป็นอย่างงี้ บรรพบุรุษของกูเปิดโหมดจำกัดความเร็วมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงมาขนานนามกันแบบนี้ล่ะ ด…เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเอาไปเขียนตำราสิ เฮ้ย อย่าเพิ่งกดแชร์ขึ้นโซเชียลฯ สิ เดี๋ยวก่อนนนน (พุ่งตัวเข้าไปขัดขวางด้วยความเร็ว 4.5 เมตรต่อนาที...)

    ส่วนตัว ผมกรี๊ดสลอธตั้งแต่แรกเห็นจากคลิปสารคดีในยูทูบแล้วครับ รู้สึกว่านี่แหละคือชีวิตที่ต้องการ ดูพวกแกช่างชิลดีจัง ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นยังไง จะหมุนเร็วแค่ไหนก็ไม่เห็นจะต้องรู้ร้อนรู้หนาวด้วย (จริงๆ มันก็คงคิด แต่นี่สรุปให้มันเสร็จสรรพซะงั้น) ดูสิ เขาดราม่ารบราฆ่าฟันก่อศึกสงครามกันมากมายเท่าไหร่ เพียงเกิดมาเป็นพวกแก ก็สามารถหลุดพ้นจากวัฏจักรอันน่ารังเกียจเหล่านั้นได้หมด วันๆ ขอแค่มีต้นไม้ให้เกาะหลับ หิวเมื่อไหร่ก็ตื่นมาเคี้ยวใบไม้ (และมีโคนต้นไม้ให้ขี้อาทิตย์ละครั้ง) ก็พอแล้วชีวิตนี้

    ดูเป็นปรัชญาชีวิตที่เท่และเป็นอุดมคติให้กับมนุษยชาติผู้มีแต่ความยุ่งเหยิงในชีวิตเหลือเกิน 





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in