Title: one more minute | เหงาเท่าอวกาศ
Author: Sean
Pairing: Mark Darcy x Daniel Cleaver
Rating: No Rate
ติชม คอมเมนท์เป็นกำลังใจได้ที่ #seanfic ฮะ
หิมะยังไม่หยุดตก – ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ .. เห็นได้ชัดจากเกล็ดหิมะเล็กจิ๋วที่ค่อยๆหย่อนตัวลงบนปลายจมูกที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อเนื่องจากการถูกขยี้อยู่บ่อยครั้ง จนดูขัดกันกับผิวสีขาวของเขาเมื่ออยู่ท่ามกลางอากาศที่ติดลบหลายองศา
ริมฝีปากโผล่พ้นขอบของผ้าพันคอหนาที่พันอยู่หลายชั้นเริ่มขยับเป่าลมเบาๆลงบนอุ้งมือของตน สลับกับการถูมือไปมาเพื่อให้ความอบอุ่นของร่างกาย .. เช่นเดียวกันกับเท้าทั้งสองข้างที่สาวเดินไปข้างหน้า ที่ในตอนแรกมันไร้จุดมุ่งหมาย แต่ในตอนนี้เขาเลือกที่จะพักพิง ณ ร้านกาแฟหนึ่งตรงหัวมุมถนนนั้น
“ถ้าไม่อร่อยอย่างน้อยข้างในร้านก็น่าจะอุ่นล่ะวะ..”
ดวงตาสีฟ้ากลมโตที่แม้แต่ริ้วรอยแห่งกาลเวลาก็ไม่สามารถบดบังได้กำลังมองเข้าไปภายในตัวร้านที่เขากำลังหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า มีเพียงแค่ประตูกระจกบางๆเท่านั้นที่คั่นกลางอยู่
เขาใช้แขนท่อนล่างและหัวไหล่ดันตัวกระจกเข้าไป แทนที่จะใช้ฝ่ามือในการสัมผัสราวจับของประตู แหงสิ.. อากาศหนาวแบบนี้ สัตว์เลือดอุ่นอย่างเขาคงไม่ค่อยถูกกันกับวัสดุจำพวกโลหะสักเท่าไหร่หรอก
“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า..” เธอ – ที่เขาคาดว่าน่าจะเป็นพนักงานกำลังยุ่งอยู่กับการจัดของในร้านหลังเคาท์เตอร์ ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะหันมาทักทายลูกค้าที่คาดว่าจะเป็นคนสุดท้ายในร้านของเธอเลย “ตอนนี้ร้านเราปิดแล้วค่ะ”
“ผมรบกวนไม่นานหรอกน่า.. แค่กาแฟร้อนๆสักแก้วก็ยังดี” เขาไม่ได้สนใจคำพูดของเธอเท่าไหร่นัก อาจคงเป็นเพราะมันคือเอกลักษณ์ของเขาอย่างไรไม่อาจรู้ได้ แต่ที่รู้เท่าถึงกันความหัวรั้นของเขาคือที่หนึ่ง
ว่าอย่างนั้นแล้วเขาก็ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์บาร์ ขยับเก้าอี้อีกตัวข้างๆกันให้อยู่ในระยะห่างที่สะดวกต่อการลุกขึ้นหรือนั่งลงของเขาในครั้งต่อไป
ดวงตาสีฟ้าคู่เดิมนั้นกำลังสอดส่องความเป็นไปของอีกคนหนึ่งที่กำลังเช็ด และเช็กเครื่องชงกาแฟที่เพิ่งผ่านสมรภูมิรบแห่งการทำงานหนักมาหมาดๆไม่ต่างจากเธอ — มีเพียงแค่บั้นท้ายของเธอเท่านั้นที่ขยับไปมาเป็นการทักทายเขา
“ใจคุณจะทักทายผมด้วยการหันหลังแบบนั้นจริงๆเหรอ” สาบานกับพระเจ้าได้เลยว่าสายตาของเขาไม่ได้โฟกัสที่แผ่นหลังของหล่อนอย่างที่ปากกำลังพูดอยู่แน่นอน — ปลายลิ้นไล้เลียริมฝีปากของตัวเองอย่างลืมตัวตามฉบับนิสัยทะลึ่งทะเล้นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา
แต่แล้วริมฝีปากก็รีบเม้มแน่นในจังหวะที่เธอหันหลังกลับมา – แม้จะรู้ตัวว่าโดนแทะโลมไปแล้วด้วยสายตาคู่นั้น แต่เธอก็ปั้นหน้ายิ้มสมกับเป็นพนักงานต้อนรับประจำร้านกาแฟร้านนี้
“ต้องโทษด้วยนะคะ พอดีว่าร้านเราปิดแล้ว..” เธอยิ้มพร้อมกับกระตุกดึงปมเชือกของผ้ากันเปื้อนที่ผูกอยู่รอบเอวของเธอออก
“แต่ผมเห็นว่าป้ายหน้าร้านบอกว่ายังเปิดอยู่นะ” เขาเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อหันกลับไปมองป้ายเล็กที่ห้อยอยู่บนประตูกระจกตรงนั้นเพื่อหาหลักฐานยืนยันในสิ่งที่เขาพูด ซึ่งมันเป็นความจริงทุกประการ –รอยยิ้มบนมุมปากกระตุกเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวตรงหน้าเลือกคำที่จะปฏิเสธเขาไม่ได้
“แต่— ที่หน้าร้านก็เขียนไว้นี่คะว่าเปิดแปดโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม และตอนนี้..”
“ถ้าคุณทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟนั่นแล้ว..”เขาชี้ไปยังเครื่องชงกาแฟที่อยู่ข้างหลังเธอแล้วกลับมากุมมือประสานกันไว้ใต้คาง “ผมดื่มกาแฟชงแบบธรรมดาก็ได้นะ”
“แค่น้ำร้อนกับกาแฟซอง”
เธอมองเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เสียงกระดิ่งบนขอบประตูเป็นคำทักทายแรกของผู้มาใหม่ .. เขาใช้แขนท่อนล่างดันกระจกประตูเข้ามาแทนฝ่ามือข้างหนึ่งที่ถือกระเป๋าเอกสารสีดำ และมืออีกข้างหนึ่งที่กำลังวางโทรศัพท์มือถือแนบไว้กับหัวไหล่ของตัวเอง
“ตอนนี้ผมแวะเข้ามาที่ร้าน..” เพราะคนเรามีแค่สองมือ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็เพียงแค่ครั้งละสองอย่าง, เขาใช้มือข้างที่เพิ่งว่างหมุนกลับป้ายเล็กที่ห้อยอยู่บนกระจก “ใช่.. ผมเพิ่งเลิกงาน – ว่าไงครับ วิลเลี่ยมลูกพ่อ – อยากเฟสไทม์เหรอ .. แปบหนึ่งนะครับ”
ทันทีที่เขากดสัมผัสหน้าจอและยกมือถือขึ้นให้พอดีกับการมองเห็นทั้งคู่สนทนาและตนเอง เสียงเล็กๆของเด็กชายก็แทรกออกมาจากลำโพงของโทรศัพท์มือถือ
“ป่ะป๊าจากลับบ้านตอนไหนฮะ” บนหน้าจอเต็มไปด้วยใบหน้าของเด็กชายตัวเล็กที่แก้มทั้งสองข้างดูกลมย้วยจนน่าหมั่นเขี้ยว แถมยังมีสีฝาดเลือดดูมีชีวิตชีวา
“คงอีกสักพักครับลูกตอนนี้พ่อเข้ามาเอาบัญชีที่ร้านอยู่” ตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ถามป่ะป๊าซิว่าวันนี้วันอะไร”
“ป่ะป๊าฮะวันนี้วันอาราย” เด็กชายเล่นกล้องด้วยการใช้นิ้วจิ้มหน้าจอไปมา เพราะคิดว่าตนกำลังได้คุยกับพ่อของตัวเองอย่างใกล้ชิด และได้หยอกล้อเขาด้วยการจิ้มบนใบหน้าอย่างที่ปกติเคยเล่นกัน
ผู้เป็นพ่อหัวเราะกับความไร้เดียงสาของลูก ก่อนจะแกล้งทำเป็นร้องโอดโอยเมื่อลูกชายจิ้มหน้าจอแถวๆบริเวณดวงตาของเขา
“ม่าม้าฮะป่ะป๊าตอบม่ายล่าย” ได้ทีเด็กชายก็หันไปฟ้องผู้หญิงที่เขาเรียกว่าแม่ ก่อนที่ภาพบนหน้าจอจะเปลี่ยนจากลูกชายตัวเล็กเป็นภาพของผู้หญิงที่อยู่ข้างๆกัน
“คุณลืมจริงๆเหรอมาร์ค”
เขาเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ส่งยิ้มเอาใจก่อนจะเอ่ยตอบ “
“ฉันก็รู้อยู่แล้วแต่แกล้งถามไปแบบนั้นนั่นแหละ”
“คุณนี่จริงๆเลย” เขาขมวดคิ้วทำเป็นดุเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยิ้มกว้าง “
“วิลเลี่ยมครับ?”
“ฮะ ป่ะป๊า..” กลับมาเป็นภาพที่เต็มไปด้วยแก้มอูมๆของเด็กชายตัวเล็ก ภาพที่ทำให้มาร์คยิ้มทุกครั้งที่ได้เห็น
“เดี๋ยวป่ะป๊าจะรีบกลับไปหานะครับลูกรัก”
เด็กชายพยักหน้าหงึก
“บ้าย-บายป่ะป๊าหน่อยเร็ว”
“บ้าย-บายฮะป่ะป๊า”
“บ้าย-บายครับลูกรัก” เขาโบกมือให้ลูกชายบ้าง ก่อนจะกดปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือ และใส่มันลงในกระเป๋าด้านในของเสื้อโค้ทตัวยาวของเขาเช่นเคย
บรรยากาศภายในร้านเงียบลงทันทีที่บทสนทนาบนโทรศัพท์ระหว่างพ่อและลูกของผู้มาใหม่จบลง แต่ไม่นานบรรยากาศนั้นก็ถูกทดแทนด้วยเสียงของบุคคลหนึ่งที่นั่งอยู่ก่อนหน้า
“แหม่.. ครอบครัวอบอุ่นจัง” เขาที่นั่งอยู่หน้าเคาท์เตอร์เริ่มพูดขึ้นบ้างหลังจากเงียบฟังบทสนทนาของพ่อ-ลูกตรงนั้นตั้งแต่เริ่มต้น, ยกยิ้มขึ้นบนมุมปาก ไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นรอยยิ้มนั้น เพราะเขาไม่ได้แม้แต่จะหันหลังกับไปหาผู้ฟัง “ไม่ได้อยากจะเสียมารยาทแอบฟังหรอกนะแต่พอดีมันเข้าหู ช่วยไม่ได้จริงๆ”
“คุณผู้หญิงคนนั้นต้องโชคดีมากแน่ๆที่มีสามีและพ่อของลูกที่น่ารักขนาดนี้” เขาค่อยๆหมุนตัวหันหลังกลับไปมองชายอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น “
“คลีเวอร์...”
และไม่ว่านานแค่ไหนมาร์ค ดาร์ซี่ก็ยังคงเป็นมาร์ค ดาร์ซี่คนเดิม .. ทั้งการแต่งกาย การพูดจา กิริยาและท่าทาง ที่แดเนียล คลีเวอร์จำได้ทุกอย่าง
“นายมาทำอะไรที่นี่”
“แล้วทำไมฉันจะมาไม่ได้ล่ะ ไม่ได้มีป้ายห้ามเข้าสักหน่อย”
“แต่ป้ายหน้าร้านบอกว่าปิดแล้วเพราะฉะนั้น.. เชิญ”
“ฉันรู้แล้วว่าเธอได้นิสัยเสียไล่ลูกค้ามาจากใคร” แดเนียล คลีเวอร์มุ่ยหน้าแล้วหันกลับไปมองพนักงานหญิงประจำร้านที่ยืนอยู่ด้านหลังของเคาท์เตอร์ ก่อนจะหันกลับมาแสร้งทำคิ้วลู่ เบะปาก เหมือนคนจะร้องไห้ หรือที่เรียกว่าทำหน้าหมาน้อยตาแป๋ว “
“เธอ..” มาร์คดูอารมณ์เสียขึ้นทันตาเห็น เมื่อถูกกวนประสาทโดยคนที่อยู่ตรงหน้า, เขาทำเป็นมองข้ามหัวแดเนียล และพูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้น “
“ใช่ค่ะ” เธอเอ่ยตอบ
“โอเค..งั้นกลับบ้านได้เลย ฉันจะบวกโบนัสสิ้นปีและโอนเข้าบัญชีให้” มาร์คเดินเข้าไปยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์ถัดจากเธอเข้าไปข้างใน ก่อนจะวางกระเป๋าเอกสารลงบนเคาท์เตอร์
หล่อนพยักหน้าเล็กน้อย โค้งตัวให้กับเขา และอ้อมไปทางด้านหลังเพื่อพาดผ้ากันเปื้อนไว้กับราวแขวนที่ติดอยู่บนขอบโต๊ะ เป็นอันสิ้นสุดหน้าที่ของเธอในวันนี้ แต่..
“เรื่องนี้ไม่ต้องบอกบริดเจ็ทนะ” มาร์คหันใบหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เธอได้รู้ว่าเขากำลังคุยเธออยู่ “
“ค่ะ ผู้จัดการ” เธอค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการตอบตกลงและบอกลาในขณะเดียวกัน
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่อทั้งร้านเหลือเพียงแค่มาร์คและแดเนียล มันไม่ได้ดูอึดอัดมากนัก เพราะนี่ไม่ใช่การปรากฏตัวครั้งแรกของแดเนียล คลีเวอร์ ที่มาพร้อมกับความยียวนกวนประสาทแบบนี้ แต่ก็ยังทำให้ดาร์ซี่รู้สึกประหลาดใจกับการกลับมาของคลีเวอร์อยู่ดี
“ไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้..” มาร์คถอดเสื้อโค้ทของเขาออก พร้อมกับพาดมันไว้กับเคาท์เตอร์ตรงหน้า “
“ฉันก็เสียใจเหมือนกันที่ความฝันของนายมันไม่เป็นจริง”
“นั่นฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะ”
“เจ็บอยู่นะเนี่ย..” แดเนียลขยับยืดตัวขึ้นนั่งตรง ก่อนจะลุกขึ้นยืน “..
“นั่งอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันทำให้” ไม่พูดเปล่า มาร์คหันหลังให้กับแดเนียลทันที – โชคดีที่กาต้มน้ำร้อนยังคงร้อนอยู่ .. ชายที่ยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์จึงเอื้อมแขนเปิดตู้เก็บของ และหยิบถ้วยกาแฟที่อยู่ข้างในออกมาสองใบ เขาวางถ้วยกาแฟลงตรงนั้นข้างๆกันกับกาต้มน้ำร้อน ก่อนจะหยิบกาแฟซองที่จัดวางอยู่ในกล่องเทลงในแก้วทั้งสองใบ
“เป็นถึงเจ้าของร้านทำไมถึงยังชงกาแฟให้เพื่อนดื่มอยู่ล่ะ”แดเนียลที่ตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้เช่นเดิมตามคำบอกของมาร์คเริ่มพูดอีกครั้ง
“ร้านนี้ของเพื่อนฉันฉันเป็นแค่หุ้นส่วน” มาร์คยกกาน้ำร้อนขึ้น และเทน้ำร้อนลงในแก้ว “แต่ร้านนี้อยู่ใกล้บ้านฉันมากกว่า ฉันเลยอาสาแวะมาดูร้านให้อยู่บ่อยๆ”
“ความหมายของฉันคือ ฉันอยากกินกาแฟฝีมือของนาย”
มาร์ควางถ้วยกาแฟที่ชงเสร็จเรียบร้อยแล้วลงบนพื้นที่ว่างบนเคาท์เตอร์ข้างหน้าแดเนียล “งั้นก็
แดเนียลขมวดคิ้ว
“แล้วมันเรียกว่ากาแฟไหมล่ะ”
“....ไอ้เวร เถียงคำไม่ตกฟาก” ขมุบขมิบปากด่า แต่สุดท้ายก็ยอมยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มบ้าง –
“อืม..” คนที่ถูกตั้งคำถามเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ทำเป็นยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม เพื่อที่จะเบนสายตาไปอีกฝั่งทางหนึ่ง “..จำได้สิ”
ไอความร้อนของกาแฟถ้วยเล็กล่องลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
แต่กลิ่นหอมของกาแฟถ้วยเล็กในมือกลับทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถที่จะเงยหน้า
และละริมฝีปากจากถ้วยกาแฟนั้นได้เลย
คงเป็นรสชาติหรือกลิ่นหอมกรุ่นที่ใช้เป็นข้ออ้าง เพราะหากถ้วยที่อยู่ในมือถูกวางลง
คงไม่มีที่อื่นให้ซ่อนความรู้สึกบนใบหน้าอีกต่อไปแล้ว
เสียงกระแอมคอดังออกมาเล็กน้อยจากคนที่นั่งอยู่เพื่อกลบเกลื่อนบรรยากาศ แดเนียลเสสายตามองไปทางอื่น ก่อนจะวางถ้วยกาแฟลงกับพื้นเคาท์เตอร์ และใช้ปลายนิ้วทั้งห้าจับขอบปากถ้วย หมุนมันเป็นรูปวงกลมไปเรื่อยๆ
ใช่..เขาไม่มีอะไรให้ทำแล้ว เลยเก็บกาแฟครึ่งค่อนแก้วไว้เป็นข้ออ้างครั้งต่อไป
“แล้วนาย..”แดเนียลกระแอมคออีกครั้ง ก่อนจะยกกาแฟที่เหลือขึ้นดื่มให้หมดภายในทีเดียว อาศัยจังหวะนี้ที่จะมองใบหน้าของมาร์คอีกครั้ง “..แต่งกับบริดเจ็ทแล้วเหรอดาร์ซ”
ทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ แต่เขาก็ยังอยากจะได้ยินจากปากของคนตรงหน้าเองเสียมากกว่า
มาร์คไม่ได้ตอบอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าแดเนียลคงแค่ถามไปอย่างนั้น – เขายกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มโดยใช้มือขวา ส่วนมือซ้ายก็ชูขึ้นให้พอดีกับสายตาของคนที่นั่งอยู่ นิ้วทั้งสี่เรียงชิดติดกัน และบนนิ้วนางของเขานั้นสวมแหวนเรียบๆสีทองอยู่
“อู้ว.. แต่งจริงว่ะ” แดเนียลเลิกคิ้วทำตาโต ส่วนริมฝีปากก็ขยับเป็นรูปตัวโอ “
“ขอบใจ”
“อ่าฮะ..”แดเนียลยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับเสียงเบาในลำคอ – เขาพยายามจะที่สบตากับมาร์คอีกครั้งแต่ความพยายามนั้นคงไม่ค่อยเป็นผลเสียเท่าไหร่นัก
“แต่ว่านะ..”
“ที่ฉันบอกว่ายินดี..”แดเนียลใช้ปลายนิ้วโป้งเช็ดกาแฟที่เปื้อนตามรอยริมฝีปากบนขอบถ้วยออกช้าๆ สายตาจับจ้องเพียงแต่การเคลื่อนไหวของนิ้วมือตัวเอง ก่อนจะค่อยๆเลื่อนสายตาขึ้นมองอดีตเพื่อนรักที่ยืนอยู่ตรงหน้า “
“คลีฟ..” มาร์ควางถ้วยกาแฟลงข้างๆ ใช้สองแขนค้ำลงบนพื้นที่ว่างด้านหลังเคาท์เตอร์ เพื่อที่จะได้มองอีกฝ่ายได้ใกล้มากขึ้นกว่าเดิม “นายยังไม่ลืมเรื่องของเราใช่ไหม”
“เราคุยเรื่องนี้กันแล้วไม่ใช่หรือไง”
คนที่นั่งอยู่เริ่มส่ายหัวไปมาพร้อมกับหัวเราะ เขายังคงหมุนถ้วยกาแฟที่อยู่ในมือ ถึงแม้ตอนนี้มันจะเป็นเพียงแค่ถ้วยเปล่าๆเท่านั้น “
“เลิกเล่นถ้วยกาแฟบ้านั่นแล้วมองหน้าฉัน แดเนียล” มาร์คดึงถ้วยกาแฟที่อยู่ในมือของแดเนียลออกก่อนจะวางลงข้างๆกันกับถ้วยกาแฟที่ว่างเปล่าของเขา “ทำไมถึงเพิ่งกลับมาเอาตอนนี้”
“นี่ใช่ไหมที่นายต้องการ” มาร์คตบฝ่ามือลงบนโต๊ะเคาท์เตอร์ ถึงแม้เสียงที่ดังของการกระทำนั้นจะทำให้แดเนียลตกใจอยู่ไม่น้อย แต่เขายังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว และยังคงใจเย็นอยู่ “ให้ฉันผิดหวัง ให้ฉันจมดิ่ง - พอฉันจะไป ฉันไปไหนก็ไม่ได้ อยู่ที่เดิมก็ไม่ได้ เริ่มต้นใหม่ก็ไม่ได้ .. พอนายตาย สุดท้ายนายก็กลับมาอีก”
“นายอยากต่อยฉันให้หายแค้นไหมล่ะ คราวนี้ฉันจะไม่วิ่งหนีให้เหนื่อยตามแล้ว” ว่าแล้วแดเนียลก็ลุกขึ้น ก่อนจะขยับเข้าชิดกับขอบของเคาท์เตอร์ ยอมยืนหลับตานิ่งๆเป็นสนามอารมณ์ให้กับอีกฝ่าย
“ถอยไปเหอะ”
“ทำมาพูด ทั้งที่ทุกครั้งตัวเองเป็นคนเริ่มก่อนตลอด..”
“ถ้าฉันตายไปตั้งแต่เครื่องบินตกคราวนั้น นายก็คงไม่อารมณ์เสียที่ฉันกลับมาแบบนี้”
“..ฉันแค่ไม่อยากเห็นหน้านาย ไม่ได้หมายความว่าอยากให้นายตาย คลีฟ”
“บ้าจริงดาร์ซ” แดเนียลแค่นหัวเราะ “นายใช้ไม่ได้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“นายอยากให้ฉันตายยิ่งกว่าอะไรไม่ใช่เรอะ”
“ถ้าอยากจะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่นายเถอะ”
“ไม่โกรธหรือไง ที่ที่ผ่านมาฉันเป็นเสี้ยนเป็นหนามในชีวิตของนายตลอด”
“เป็นนายจะโกรธไหมล่ะ ถ้าวันหนึ่งฉันไปเล่นชู้กับเมียนายที่เพิ่งแต่งงานกันไปได้อาทิตย์เดียว”
“อันนั้นเมียนายเล่นกับฉันเองนะดาร์ซ”
“มันก็ชู้ไหมล่ะ”
“ฉันก็ไม่ได้เถียงสักหน่อยทำไมต้องโกรธด้วย”
“เมื่อกี้นายถามเองว่าฉันโกรธไหม”
“ใช่..ฉันโกรธ และโกรธมากๆด้วย – แต่รู้อะไรไหมสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยังไม่ตัดนายออกจากชีวิตคืออะไร”
“มันคือความทรงจำไง”
“ว้า.. พูดแบบนี้แล้วเหตุผลของฉันดูดรอปไปเลยว่ะ ดาร์ซ” แดเนียลใช้สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ที่ตัวเองสวมอยู่ – ปลายเท้าข้างหนึ่งนั้นเปิดขึ้น ส่วนส้นเท้าเองก็หมุนไปมาแก้เก้อ
“ฉันน่ะ..เป็นคนหนึ่งที่อยากอยู่ข้างๆนายเสมอ ไม่ว่านานแค่ไหน หรือไม่ว่าอะไรก็ตาม”
“แต่ความทรงจำของฉันมันสิ้นสุดตั้งแต่เราเรียนจบ..”
“..ถึงฉันจะชอบนายแค่ไหนสุดท้ายมันก็ต้องจบลงแค่ตรงนั้น”
“ฉันเลือกที่จะโคจรไปรอบๆนาย พยายามที่จะรักษาระยะห่างเอาไว้
ถ้าเกิดวันไหนฟ้ามันมืด ฉันก็ภาวนาให้นายได้มองเห็นฉัน
แต่ไม่มีตอนไหนเลยที่ฉันจะสู้แสงสว่างข้างๆนายได้”
“..แดเนียล”
“แต่รู้ไหมเพื่อน.. สิ่งที่ฉันหงุดหงิดใจที่สุดคืออะไร”
“มันคือการเริ่มต้นใหม่ของนาย – การเริ่มต้นใหม่ที่ไม่มีฉัน”
“อาจดูว่าเห็นแก่ตัวแต่ฉันทำใจไม่ได้จริงๆว่ะมาร์ค .. ยิ่งเห็นว่านายมีความสุขกับคนใหม่ ฉันยิ่งโคตรเจ็บเลย เจ็บตรงที่ตรงนั้นมันเคยเป็นของฉันมาก่อน แต่ตอนนี้.. ฉันไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะกลับไปยืนอยู่ตรงนั้น”
“..แต่สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้ใช่ไหมล่ะ”
“นายก็รู้ว่าฉันอยากให้นายมีความสุขมากกว่า..”
และสุดท้ายความพยายามทั้งหมดก็พังทลายลงตรงนั้น หยดน้ำตาที่ฝืนกลั้น และเสียงสะอื้นก้อนใหญ่ที่เขาเลือกจะกลืนมันไว้ – แดเนียลเงยหน้าและสูดหายใจเข้าลึก พยายามที่จะพูดประโยคสุดท้ายโดยไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากกำปั้นที่เขาใช้ปิดปากของตัวเองอยู่
“ฉันขอตัวสักครู่นะ”
เขาไม่ได้รอคำตอบจากมาร์ค เพียงแค่บอกให้คู่สนทนารับรู้ก็เท่านั้น
แดเนียลเดินตรงไปยังด้านหลังร้านทันที
ในหัวของเขาแทบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย มันตันไปหมดแล้ว ไม่มีแม้แต่คำพูด มีเพียงแค่เสียงร้องไห้เท่านั้นที่ยังคงดังก้อง ไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงใด มีเพียงแค่กำแพงสีขาวเท่านั้นที่เป็นหลักให้ยึดทรงตัวอยู่ได้
“แดเนียล..”
เป็นเสียงของมาร์ค
“..ฉันขอโทษ”
“ผิดอะไรถึงต้องขอโทษ”
“ฉันไม่รู้ .. ฉันรู้แค่ว่าฉันต้องขอโทษ” ฝ่ามือทั้งสองข้างของมาร์ควางอยู่บนบ่าของแดเนียล “ขอโทษที่ทำให้นายร้องไห้”
“ขอโทษที่ฉันไม่ได้สู้เพื่อนาย.. ไม่ได้ทำอะไรเพื่อนายเลย”
“..และตอนนี้มันก็คงสายเกินไปที่จะแก้ไขอะไรแล้ว”
“ฉันขอโทษนะแดเนียล”
ฝ่ามือที่กำหลวมพยายามยกขึ้นทุบบนหน้าอกของคนตรงหน้า แม้ความตั้งใจจริงของเขาคือการทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดตรงหัวใจเหมือนที่เขาเจ็บ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความเจ็บปวดภายนอกที่ไม่นานก็เลือนหาย ต่างกันกับความเจ็บของเขาที่ไม่มีแผลหรือรอยช้ำ มันกลับเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก
“ฉันไม่ให้อภัย.. และไม่มีวันให้อภัย” เขาออกแรงผลักฝ่ามือลงซ้ำบนหน้าอกของมาร์ค “จะไปไหนก็ไป ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“ทำไมมันดูเหมือนบอกว่าให้ฉันอยู่ต่อล่ะ”
“งั้นฉันจะไปเอง”
ไม่ทันที่เจ้าของตาสีฟ้าที่เต็มรื้นไปด้วยน้ำตาจะเดินจากไปอย่างที่เขามุ่งหวัง ข้อมือนั้นกลับถูกดึงให้หมุนกลับไปอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ตัวสูงกว่า และยิ่งเขาดิ้นให้พ้นจากพันธนาการเสียเท่าไหร่ กลับยิ่งถูกเจ้าของอ้อมกอดนั้นกอดแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
“ฉันขอกอดนายอีกสักครั้งจะได้ไหม..”
“..ขอแค่นาทีเดียวก็ได้”
แม้แดเนียลจะยังคงนิ่งเฉย แต่มาร์คก็ยังคงกอดอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น
กอดให้แน่น - ให้ซึมซับความอบอุ่นจากคนตรงหน้าอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานเป็นยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่แดเนียลก็ยังคงทำให้มาร์ครู้สึกอบอุ่นอยู่เสมอ .. ความรู้สึกอบอุ่นนั้น ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้ และนี่คงอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่เขาจะได้กอดแดเนียลแบบนี้
“ไม่รู้ว่านายจะยังอยากฟังอยู่ไหม..”
“แต่ฉันยังอยู่กับนายในทุกๆที่
ฉันอยู่กับนายเสมอ .. เพียงแค่นายนึกถึงฉัน”
“หลังจากนี้นายอาจจะเกลียดฉันไปแล้วก็ได้ แต่ฉันอยากให้นายรู้เอาไว้
ว่าไม่มีวินาทีไหนเลย ที่ฉันคิดจะเกลียดนาย”
“เพียงแค่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาของเรา
ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมามันไม่ใช่เรื่องจริง
“ขอบคุณมากนะ ที่ครั้งหนึ่งเคยเข้ามาเป็นความทรงจำที่ดี และเป็นความสุขที่สุดของฉัน”
“สุขสันต์วันปีใหม่นะคลีเวอร์”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in