เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[#SunshineOfMartinIsyou #RabbitAnnaIsMine] It's my life.milan_loveless
3 Powerful :: (Ep.2) Rhododendron 0009

  • __________________________________

    3 Powerful :: ( Ep.2 ) Rhododendron 0009
                       
    Writer :: Milan_loveless
    Paring :: #SunshineOfMartinIsYou
                 #RabbitAnnaIsMine
    Rate :: 13 +
    Note ::


    - ใครรู้สปอยล์ไว้ ขอให้อยู่ในความสงบ ในอนาคตมีอะไรอีกเยอะ

    - ข้อนี้พูดไรดี เออ นั่นดิ พูดไรดี ใกล้ถึงฉากบู๊เข้ามาทุกที แย่จัง เขียนไม่เก่งเลย



    __________________________________


    จากพลบค่ำถึงช่วงเช้าๆของวันต่อมา เอมิลไม่ได้หลับ เทียบกับซันนี่ที่หลับตลอดทาง เธอคงอาจตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย ซันนี่ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะบอกให้คนขับหยุดรถเอาไว้ รถหยุดตามคำพูด ซันนี่จ่ายเงินให้ตามที่น่าจะตกลงไว้ตอนแรก ก่อนจะหันมาบอกให้เธอลงไปพร้อมกัน


    คนอายุน้อยกว่าลงตามคำบอก มองสอดส่องไปที่สถานที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า “นี่ไม่ใช่ท่าเรือนี่คะ?” เอมิลถามออกมา ซันนี่หันมาพยักหน้ารับให้ขณะที่เธอสงสัย เขาก็ค่อยๆพูดอธิบายอีกครั้ง


    “ห่างจากนี้ไปสองสามกิโลจะเป็นท่าเรือ”เขาตอบ “นี่ยังกลางวันอยู่ การจะเข้าไปจัดการลำบากเกินไป อย่างเร็วที่สุดคือตอนกลางคืนก็ประมาณตีสองตีสาม”เขาว่าขณะที่มือล้วงไปหยิบมวนบุหรี่และไฟแช็กยื่นมาให้เธอ เอมิลรับมาจากมือของคนอายุมากกว่า


    เธอหยิบบุหรี่ออกมาจากในกล่อง แต่โดนมือของคนอายุมากกว่าตีมาจนเผลอปล่อยมันตกลงพื้น หันกลับมากำลังจะบ่นว่า หากแต่ดวงตาสองสีทั้งฟ้าและอำพันกำลังจ้องมาคล้ายจะดุว่า “เป็นเด็กเป็นเล็กคิดจะสูบรึไง?”เขาว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


    “อายุ18แล้วนะ!”


    “แต่ฉันอายุ27แล้ว”ซันนี่บอก “ฉันมีสิทธิ์ห้ามให้สูบ โอเค?”เขาถามแต่เป็นคำถามในเชิงคำสั่งที่หมายถึงเข้าใจไหมมากกว่า เอมิลพยักหน้ารับแบบจำใจ คนห้ามพูดต่อ “ก็ดี”พลางนึกไปถึงคำพูดของคนอายุน้อยกว่าตนปีนึงเมื่อวาน “บุหรี่มีสารพิษถึงสี่พันชนิดเข้าใจป่ะ?”


    “คนสูบมีสิทธิ์พูดด้วยเหรอคะ?”


    เอมิลโวยใส่ คนตัวสูงกว่าทำหน้าแบบเบื่อหน่ายแล้วยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากทำให้เธอต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าผากที่โดนดีด


    “บอกว่าไม่ให้สูบก็อย่าเถียงดิ”


    “เป็นเด็กใสๆต่อไปเหอะ”


    เขาว่าก่อนจะยกอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมากดเบอร์โทรออก แล้วยกขึ้นแนบหู เอนหลังพิงกับกำแพงผนังอย่างปกติ แล้วคาบบุหรี่ขณะรอทางปลายสายรับสาย เอมิลยืนพิงผนังกำแพงตามอีกคน ก่อนที่บทสนทนาจะเป็นภาษาที่เธอฟังไม่ออก


    อ่า..ฟังไม่ออกนะ แต่รู้ว่ามันเป็นภาษาอิตาลี


    รูปแบบการทำงานทำภารกิจของเขาต่างจากเธอเอามากๆเลยล่ะ ปกติปานนี้ถ้าเป็นเอมิลคือยังมาไม่ถึง ไม่ก็เข้าไปบุกเรียบร้อยแล้ว


    ขณะที่กำลังคิด มือของซันนี่ก็ยกขึ้นมาสะกิดไหล่เบาๆ


    “Rhododendron”


    กุหลาบพันปี?


    เอมิลสงสัยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ซันนี่ลดโทรศัพท์ลงมาแล้วกดตัดสายทิ้งในทันที หันมากำชับอีกครั้ง “จำรหัสได้ใช่ไหม?”เขาถาม คนถูกถามพยักหน้ารับ เมื่อได้คำตอบก็ออกแรงก้าวเดินไปโดยไม่ทันบอกกล่าว


    เอมิลก้าวเท้าตามแต่ก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ที่คุณพูดกับในมือถือ คุณพูดอะไรกันคะ?”


    เขาหยุดฝีเท้า หันมามองเธอ แล้วถามกลับ “เอ้า ฟังภาษาอิตาลีไม่รู้เรื่องเหรอ?”


    ด่าว่าโง่ยังไม่เจ็บขนาดนี้เลยจ้า…


    “ค่ะ ฟังไม่รู้เรื่อง”เอมิลว่าก่อนจะถอนหายใจ “ความจริงคือไม่เข้าใจเลย”


    “โง่เนอะ”


    เจ็บดิ เจ็บในใจ เจ็บปวดมาก


    “อยากรู้เหรอ ไม่บอกหรอก”


    อ้าว…


    อยากจะด่า อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำเอามากๆ แต่เอมิลทำได้แค่เงียบ เดินตามอีกฝ่ายที่เลี้ยวเข้าไปในซอกตึกเปลี่ยว ขาทั้งสองข้างของเอมิลหยุด คิ้มขมวดเป็นปม ซันนี่หันกลับมามอง “ตามมาดิ”ซันนี่ชวนประหนึ่งกำลังหลอกล่อเด็กสองขวบ


    เอมิลเดินตามมา อีกฝ่ายคงไม่กล้าทำอะไรเธอหรอก


    อ้อ อย่างน้อยเรื่องที่ไม่ทำแน่ๆ คือเรื่องผิดผี เซ้นส์เธอแรงนะจะบอกให้! ชีวิตนกมาตลอด 18 ปี --- โฮ


    “จำรหัสได้ไหม?”


    “กุหลาบพันปีเหรอคะ?”


    “นั่นแหล่ะ จำไว้ให้ขึ้นใจเลย”


    ซันนี่มาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านที่ติดป้ายว่า Rhododendron เอมิลมองผ่านกระจกร้านที่ดูเหมือนข้างในจะเป็นแค่ร้านขายของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ ซันนี่ผลักประตูเข้าไป ได้ยินเสียงกระดิ่งกระทบกับประตูร้าน


    ร่างสูงของซันนี่เดินไปที่เคาท์เตอร์ร้าน ทิ้งเอมิลให้มองพวกของที่ระลึกตรงชั้นวางตู้


    ภาษาอิตาลีพ่นออกมาจากทั้งคู่พูดคุยสลับกัน ก่อนที่คนที่เคาท์เตอร์จะเดินไปพร้อมกับซันนี่ที่เดินตามไปด้วย


    .



    .




    .



    .


    .



    .



    .


    ช่วงเวลาพลบค่ำ ซันนี่เดินเข้าไปที่ท่าเรือ แยกกับอีกคนที่คุยเรื่องแผนกันอย่างดีเรียบร้อยแล้ว เรือบรรทุกสินค้าต่างๆนาๆต่างจอดเรียงรายกันไว้อย่างดี เขามองหาเรือเพียงลำเดียวเท่านั้นที่ดูแปลกๆไปจากเรือลำอื่น


    เขาหันไปมองเรือลำหนึ่งที่ดูไม่ได้แตกต่างอะไรเลย แต่ให้ความรู้สึกที่ว่ามีอะไรสักอย่างต่างออกไป ผู้คุมสองสามคนยืนคุยกันพูดอะไรสักอย่าง ถึงเวลาการเดินเรือ แต่กระนั้นจากข้างหลังก็สัมผัสได้ว่ามีใครสักคนเดินเข้ามา


    ตาสองสีหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอนหายใจดมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือเอมิลที่แยกกันหาเรือ แสดงว่าเด็กนี้ก็คงสังเกตเหมือนเขาว่าเรือลำนี้มันมีบางอย่างผิดปกติไปจากลำอื่น ลำอื่นๆยังไม่คิดจะเดินเรือออกทะเลเลย แต่ลำนี้กลับดูเร่งรีบอย่างไรอย่างนั้น


    “จำแผนได้ใช่ไหม?”เขาหันไปถามเอมิลที่เงียบฟัง คนถูกถามพยักหน้ารับเปผ้นคำตอบ ซันนี่หยันตัวลุกขึ้นกับพื้นค่อยๆก้าวไปประชิด


    อาศัยจังหวะเผลอใช้ฝ่ามือสับลงไปที่ต้นคอของคนที่คุมทางเข้าออกของเรืออยู่ โดยไม่ทันให้สองสามคนตรงนั้นได้ลุกขึ้นมาตอบโต้อะไร เท้าก็ถูกยกขึ้นมาถีบให้ตกจากเรือเพิ่มไปอีก ทางเข้าว่างเปล่า ปลอดภัยแล้ว เขาหันตัวกลับเข้าไปในเรือ พร้อมกับเอมิลที่ออกมาจากที่ซุ่มเดินตามขึ้นมา


    ซันนี่จับปืนขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ออกแรงกดไกปืน เขาเงียบลง มองซ้ายขวาก่อนจะหันกลับมาที่คนเด็กกว่า “จะไปซ้ายหรือขวา?”เขาถามเธอ เหมือนให้เธอเป็นฝ่ายตัดสินใจเลือก เอมิลคิดพิจารณาเพียงครู่ ไม่ได้ตอบคำถามอะไร ก็สาวเท้าไปยังฝั่งซ้ายมือทันที


    ระหว่างสาวเท้าก็หันกลับไปมองซันนี่ที่ก้าวไปทางขวาด้วยเช่นกัน


    เอมิลเปิดกระเป๋าสะพายเป้ของตัวเอง หยิบปากกาเคมีขึ้นมา เปิดฝาแล้วขีดตรงผนัง ขณะที่มืออีกข้างถือปืนไว้ด้วย  ผนังปรากฎเป็นรอยเส้นลากแดงเพราะปากกาเคมีที่เธอทำร่องรอยกับผนังเอาไว้ เอมิลเดินเร็วขึ้นแต่พยายามไม่ลงน้ำหนักที่เท้าให้มากจะได้ไม่เกิดเสียง


    “ให้ตายสิ!”


    “ทำไมมันเปิดไม่ได้ว่ะ!”


    เสียงโหวกเหวกโวยวายทำให้ฝีเท้าหยุดลง นัยน์ตาสีน้ำตาลพยายามชำเลืองมองขณะที่หลบอยู่


    “รหัสก็ถูกนี่? ทำไมจะเปิดไม่ได้ล่ะ?”


    “แจ้งไปที่ระบบดิว่าตัวล็อกรหัสมีปัญหา”


    ผู้ชายวัยกลางคนสองคนคุยกัน ผู้ชายคนหนึ่งยกเครื่องมือสื่อสารมาตามที่บอก เอมิลควงปืนขึ้นมา ปิดเปลือกตาซ้ายของตัวเองข้างนึงเล็งเป้าไปที่แขนของคนๆนั้น ก่อนจะลั่นไกปืนออกไป กระสุนแหวกผ่านอากาศพุ่งตรงไป


    เสียงปังตามมาทีหลัง


    “อ๊ากกก”เขากรีดร้อง แขนนั้นมีของเหลวสีแดงที่เธอเห็นมาครึ่งค่อนชีวิตไหลออกมาไม่หยุด เอมิลหลบเข้ามาตรงซอกอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าสองคนรู้ตัวแล้ว กระสุนปืนถูกซัดกลับมา เธอถอนหายใจเข้าลึกๆแล้วค่อยๆนับในใจ


    แมกปืนบรรจุกระสุนได้ไม่เกิน 20 นัด


    นัดที่ 19 ผ่านไปแล้ว เอมิลหันกลับไปยิงสวนกลับ โชคดีอย่างที่มันมีปืนกันแค่กระบอกเดียว นัดที่สิบเก้าที่ผ่านไปแล้ว เอมิลนับหนึ่งถึงสามในใจ กะอาศัยจังหวะเปลี่ยนแมกของทางนั้นยิงเอา


    เป็นไปตามคาด เธอยิงปืนออกไปและโดนเข้าที่หัว เด็กสาวเดินออกมาช้าๆ ไม่เร่วรีบ ยิงซ้ำเข้าไปที่ร่างที่นอนแน่นิ่งเพราะกระสุนที่หัวเจาะเข้าไป ก่อนจะสบัดหน้าตัวเองกลับมามองชายอีกคนที่โดนยิงที่แขนไปแต่แรก เอมิลเดินเข้าไปประชิดอีกฝ่าย “เห...ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันคะ?”


    เขาไม่ตอบแต่กลืนน้ำลายลงคอ “แกเป็นใคร!”


    เธอส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนจะลั่นไกปืนยิงไปที่ขาของคนๆนั้นจนล้มลงกับพื้น เห็นมืออีกข้างที่พยายามจะหยิบอุปกรณ์สื่อสารก็ยิงซ้ำเพิ่ม เอมิลแสยะยิ้มมุมปากก่อนจะย่อตัวลงกับพื้นยิ้มให้ “เห..ลุงอย่าคิดเล่นตุกติกดิ ไม่แฟร์เลย”


    เธอบ่นออกมาอย่างร้องขอความเป็นธรรมแต่มันเป็นเชิงจลกขบขันเอามากกว่า


    มือฉกฉวยแย่งอุปกรณ์สื่อสารไป แล้วขวางมันด้วยแรงจนแตกละเอียด


    “จะถามหนึ่งคำถามน่ะ ลุง”


    “ไม่ตอบตาย”


    เสียงร่าเริงเปลี่ยนเป็นเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลดูอ่านไม่ออกจ้องมองไปยังร่างของลุงแก่ๆตรงหน้า “ข้างในมีคนที่ถูกลักพาตัวใช่ไหม?”


    เขาพยักหน้า เธอยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลดปืนลงมาจ่อที่ปากแล้วกดลั่นไกดังลั่นสนั่น เลือดที่กระอักออกมาจากปากของเขาเปื้อนปืนและมือขาว


    แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก


    เอมิลยันตัวเองลุกขึ้นยืน ก่อนจะลุกขึ้นไปกดปุ่มล็อกรหัส นึกไปถึงคำพูดตามแผนที่วางเอาไว้


    .




    .



    .



    .




    ขณะที่กำลังเดินอยู่ในร้านขายของที่ระลึกรอคนที่เข้าไปคุยอย่างซันนี่ เขาเดินกลับมาพร้อมทำสีหน้ายิ้มแย้ม อธิบายเล่าให้ถึงแผนที่ว่าเขาสามารถเจาะรหัสของพวกนั้นได้เพื่อช่วยเหลือตัวประกัน ตอนแรกก็แปลกใจว่าจะทำยังไง จนกระทั่งได้รู้ว่า ภาษาอิตาลีที่เขาใช้คุย คือ คุยกับลูกน้อง


    Rhododendron


    ดอกไม้มีพิษลำดับที่เก้า หน่วยเจาะข้อมูลที่อาจเก่งที่สุดในโลกใบนี้เท่าที่เอมิลรู้จักและเป็นหน่วยที่รับคำสั่งโดยตรงจากมหาอำนาจหญิงเวอร์จิเนีย เท่ากับ รับคำสั่งของซันนี่เช่นกัน เจาะข้อมูลแค่เปิดข้อมูลของพวกมัน ตอนแรกก็หาไม่เจอหรอกว่าอยู่ที่เรือลำไหน


    สมาร์ทโฟนของซันนี่เปิดGPS เอาไว้ บอกตำแหน่งให้หน่วยเจาะข้อมูลสามารถรู้ได้ และ จะเจาะรหัสผ่านเปลี่ยนรหัสผ่านทั้งหมดของเรือ..


    .







    .




    .



    เอมิลกดรหัสอย่างไม่คิดอะไร กุหลาบพันปีเป็นดอกไม้ที่มีพิษ ปกติมันจะถูกยกขึ้นมาเป็นอันดับเก้า


    0009


    เสียงเตือนดังปลดล็อกได้ถูกต้อง เอมิลหัวเราะก่อนจะเดินกลับไป ปล่อยให้ที่เหลือพวกเขาหนีออกไปตามทางที่ขีดเอาไว้ล่ะกัน “ทางออกเรือตามเส้นลากสีแดงไปเลยนะคะ”


    ว่าแล้วก็ควรจะเดินกลับไปสมทบอืม คนที่คงกำลังลุยกระหน่ำดีกว่า--



    .




    .




    .


    มาร์ตินขยับไหล่ของตัวเอง เดินขึ้นมาบนเรือ ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าไปทางฝั่งขวา มองศพที่เรียงรายบนพื้นพลางเหนื่อยหน่ายใจออกมา


    ช่างเถอะ


    อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็มาถึงแล้ว


    ไม่ต้องคิดมากหรอก


    เพราะแค่แปบเดียวเท่านั้นเอง





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in