ถ้าจะมีประโยคไหนที่ได้ยินบ่อยที่สุดช่วงนี้ ก็คงจะเป็น “เราใจร้อนเกินไป” นั่นแหละ
ไม่ว่าจะญาติกี่คน ๆ ก็พูดแบบนี้หมด “เราอ่ะ ใจร้อนเกินไป” อ้าว ก็จะไม่ให้ร้อนได้ยังไงล่ะคะ เด็กจบใหม่ ไฟกำลังแรง ยิ่งคนรุ่นหนูที่ถูกหล่อหลอมมาด้วย mentality ‘อายุน้อยร้อยล้าน’ จะไม่ใจร้อนได้ยังไงไหว ระหว่างที่หนูยังนั่งเขียนเรซูเม่งกๆ เพื่อนคนอื่นเขาไปเรียนต่อโท ไปหางานทำ ไปมีแฟน มีรถ มีบ้านกันหมดหรือยังก็ไม่รู้ หนูจะไม่ ‘ใจร้อน’ ยังไงไหวล่ะคะ?
แต่มาคิดดูแล้ว ก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าวันหนึ่งเราจะโดนบอกว่าเป็นคน ‘ใจร้อน’ กับเขาด้วย ที่ผ่านมาในชีวิตฉันเคยมียีนแห่งความ ‘ใจร้อน’ อยู่ในตัวกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ออกจะเป็นคนเฉื่อยชาเสียด้วยซ้ำ เดินหนึ่งก้าวก็ดูหนึ่งก้าว วันนี้เสร็จก็คิดแค่เรื่องของพรุ่งนี้ ไม่เคยมียีนแห่งการแข่งขัน ความใจร้อน ความ ‘เป้าหมายมีไว้พุ่งชน’ กับเขาเลยแม้แต่น้อยเดียว แล้วไม่เคยคิดจะสมาทานพวกแนวคิด ‘อายุน้อยร้อยล้าน’ กับเขาด้วย ฉันไม่เคยมีความฝันว่าอยากจะเป็นเทคสตาร์ทอัพที่ต้องประสบความสำเร็จภายในเลข 2 ฉันแค่อยากแต่งฟิคเรื่องต่อไปให้จบเท่านั้นเอง
แต่ดูเหมือนว่า พอมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของชีวิต (จบการศึกษา) มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึก ‘ใจร้อน’ กับเขาบ้าง ยิ่งตอนนี้เรามีโซเชียลมีเดีย มีช่องทางให้ตามติดชีวิตคนรู้จักและไม่รู้จักได้อีกนับไม่ถ้วน มันจะไม่ ‘ใจร้อน’ สักหน่อยได้ยังไง?
อ้า... เพื่อนคนนั้นมีที่เรียนปริญญาโทแล้วหรอ...
อ้า... เพื่อนคนนั้นหางานประจำได้แล้วหรอ...
อ้า... เพื่อนคนนั้นมีแฟนแล้วหรอ...
อ้า.... เพื่อนคนนั้นมีผู้ติดตาม x คนแล้วหรอ...
พอได้เห็นว่าคนแต่ละคนกำลังมุ่งหน้าไปทางไหนกันบ้าง มันก็อดไม่ได้ที่จะร้อนรนทนไม่ไหวขึ้นมาบ้าง
ฉันเองก็ต้องทำอะไรสักอย่างบ้างสิ
ต้องมีที่เรียนต่อปริญญาโทบ้างสิ
ต้องมีงานบ้างสิ
ต้องมีแฟนบ้างสิ
ต้องมีผู้ติดตาม x คนบ้างสิ
ฉันต้อง
ฉันต้อง
ฉันต้อง
ฉันต้องไล่ตามทุกคนให้ทันสิ
จนขนาดตัวเราที่คิดว่าไม่เคยสมาทานแนวคิดแบบนั้น หรือมีแผนการแบบนั้น มันยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าเราต้องถีบตัวเองบ้าง ต้องไล่ตามคนอื่นให้ทันบ้าง... ต่อให้เราไม่ได้มีเป้าหมายเหมือนกับคนอื่นเขาก็เถอะ...
เราไม่ได้อยากเรียนต่อปริญญาโท
เราไม่ได้อยากมีแฟน
เราไม่ได้อยากมีผู้ติดตาม x คน
เรายังไม่เจองานที่เราอยากทำเลย
แต่เราต้องทำบ้าง
ถ้าคนอื่นเขาทำ เราต้องทำบ้าง
ถ้าคนอื่นเขามี เราต้องมีบ้าง
ตอนเราเริ่มบ่นกับที่บ้านว่ายังหางานไม่ได้เลย เราไม่คิดว่าคำตอบที่ได้จะเป็น ‘เราใจร้อน’
เราใจร้อนตรงไหน? ทุกคนเห็นบ้างมั้ยว่าเพื่อนคนอื่นของเราเขาไปไหนกันหมดแล้ว? เพื่อนของเรามีที่เรียนปริญญาโทกันหมดแล้ว มีงานทำกันหมดแล้ว แต่เรายังไม่มีอะไรเลย เรา ‘ใจร้อน’ ตรงไหน? เราตกขบวนแล้วสิไม่ว่า
‘เราเพิ่งเรียนจบเอง แล้วในสถานการณ์แบบนี้จะยังหางานไม่ได้ก็ไม่แปลก’
ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกัน แล้วตอนนั้นเองเราถึงนึกย้อนกลับมาดูตัวเอง
นั่นสิ...
หรือว่า...
โดยที่เราไม่รู้ตัว เราก็เริ่มสมาทานแนวคิดเหล่านั้นขึ้นมาแล้วนะ?
แนวคิดที่ว่าฉันต้องอายุน้อยร้อยล้าน ฉันต้องมีรถภายในอายุ 2X มีบ้านภายในอายุ 2X ต้องมีครอบครัวมั่นคงภายในอายุ 2X
พอนึกขึ้นได้แบบนี้ เราก็นึกถึงเพลงที่เราชอบมาก ๆ เพลงหนึ่งขึ้นมา
เพลงนั้นคือ ‘Wait for It’ จากละครเพลงเรื่อง ‘Hamilton’ ประพันธ์โดยลิน-มานูเอล มิรานด้าและขับร้องในบทอารอน เบอร์โดยเลสลีย์ โอดอม จูเนียร์ (ที่ดิฉันมั่นใจว่าเดี๋ยวดิฉันจะต้องมาพูดถึงอีกเยอะมากๆ แน่นอน...)
‘Wait for It’ เป็นเพลงของตัวละคร "อารอน เบอร์" ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองของฮามิลตันและ ‘ตัวร้าย’ ตัวหลักของเรื่อง
ตอนเราได้ยินเพลงนี้ครั้งแรก เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรยังไงกับมันเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะตอนนั้นเรามัวแต่ยุ่งอยู่กับการติดตามเนื้อเรื่องด้วย
แต่หลังได้ลองมาฟังใหม่อีกหลาย ๆ ครั้ง เพลงนี้กลับกลายเป็นเพลงที่เราชอบที่สุด ‘อันดับ 1’ จากละครเพลงเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดาย
เพลงนี้เรียกว่าเป็นเพลงไฮไลต์ของตัวละครอารอน เบอร์เลยก็ว่าได้ เป็นเพลงที่นำเสนอทั้งความเป็นมาของเบอร์, แนวคิดของเบอร์, และสิ่งที่เบอร์จะทำหลังจากนี้ หากให้เทียบกับเพลงจากละครเพลงหรือภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ เราว่าเพลงนี้คงเทียบได้กับเพลง ‘Hellfire’ ของผู้พิพากษาฟรอลโล่จากคนค่อมแห่งนอเทรอดาม หรือ ‘Star’ ของฌาแวร์จาก Les Miserables ได้เลยทีเดียว... พูดง่าย ๆ คือเป็นเพลงไฮไลต์ของบรรดาตัวร้ายนั่นเอง... เพลงที่ทำให้เราได้รู้จักตัวร้ายเหล่านี้ ได้รู้จักด้านที่เป็น ‘มนุษย์’ ของพวกเขา ได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของพวกเขา แล้วเบอร์น่าจะเป็นตัวร้ายที่ทำให้เรารู้สึก ‘เห็นใจ’ ได้มากที่สุดเลยล่ะมั้ง เพราะยอมรับว่าตัวเราเอง... ก็ค่อนข้างเป็น ‘เบอร์’ มากกว่า ‘ฮามิลตัน’ จริง ๆ
ในเพลง Wait for It เราได้เห็นความแตกต่างระหว่างตัวละครของอารอน เบอร์กับอเล็กแซนเดอร์ ฮามิลตันอย่างชัดเจน ขณะที่ฮามิลตันพร้อมทำทุกอย่าง พร้อมพุ่งชนทุกเป้าหมายให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ (อย่างที่เห็นได้จากเพลง ‘My Shot’) เบอร์กลับยินดีที่จะ ‘รอ’
เขาไม่เคยเห็นด้วยกับฮามิลตันที่ ‘ปากไวใจเร็ว’ เขาประกาศแนวคิดของตัวเองอย่างชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่า ‘talk less, smile more’ และในเพลง Wait for It เราก็ได้เห็นแนวคิดนี้และที่มาที่ไปของมันอย่างแจ่มแจ้งที่สุด
‘หากฮามิลตันยินดีที่จะพุ่งชนเป้าหมาย เขาก็ยินดีที่จะรอ’
สำหรับอารอน เบอร์ที่คนรอบตัวด่วนจากไปกันหมด แถมจับพลัดจับผลูไปชอบภรรยาของนายทหารอังกฤษ (ที่เธอก็ดันรับรักเขาตอบด้วย) ชีวิตดูเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และมีแต่ ‘ตัวเขา’ เท่านั้นที่อยู่ในการควบคุมของเขา ( “I am the one thing in life I can control” ) และหากมันมี ‘เหตุผล’ ที่เขายังอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ล่ะก็ เขาก็ยินดีที่จะ ‘รอ’ ( “If there’s a reason I’m still alive when everyone who loves me had died, then I’m wiling to wait for it” )
เรามองว่า สำหรับอารอน เบอร์การพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้สิ่งใดมาอาจเป็นเรื่องไร้ค่าหรือสูญเปล่า เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ คนเราจะตายวันตายพรุ่งไม่อาจหยั่งรู้ สาวที่เราไปรัก เขาจะรักเราตอบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉะนั้นแทนที่จะตะเกียกตะกายเอาชนะ ‘สิ่งที่ควบคุมไม่ได้’ ไม่สู้รออยู่เงียบ ๆ ให้โอกาสมาหาตัวเองดีกว่า และสำหรับคนที่ต้องสูญเสียคนรอบตัวไปมากขนาดนั้น... เราคิดว่าหากไม่มีชีวิตอยู่โดยเชื่อว่าการสูญเสียทั้งหมดนี้ควรหมายถึงอะไรสักอย่าง... มันคงเป็นเรื่องเศร้าน่าดู...
เพลงนี้จัดว่าเป็นเพลงที่สร้างกำลังใจให้เรามากเพลงหนึ่ง แน่นอน เราโชคดีมากที่ไม่เคยต้องสูญเสียใครในชีวิตไปอย่างอารอน เบอร์ แต่ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าอะไรแม่งก็ยากไปหมด แล้วทำไมมันไม่มีอะไรเป็นไปดั่งใจเราเลยวะ เพลงนี้ทำให้เราเชื่อว่า ‘ทุกอย่างมีเหตุผลของมันอยู่’ และ ‘นี่จะต้องนำไปสู่อะไรบางอย่างแน่นอน’ เหมือนอย่างที่เบอร์เชื่อว่าการที่เขายังมีชีวิตอยู่ ขณะที่คนอื่นล้วนตายไปต้องหมายถึงอะไรบางอย่าง หรือการที่เขาได้รักกับธีโอโดเชีย (ภรรยาทหารอังกฤษที่เบอร์ไปชอบ...) ขณะที่คนอื่นได้แต่พยายาม มันต้องหมายถึงอะไรบางอย่าง
‘ขอแค่รอ’
ขอแค่รอ และเราจะได้พบความหมายของทุกสิ่งแน่นอน
เนื้อเพลงท่อนที่ทรงพลังมาก ๆ ท่อนหนึ่งในเพลงนี้สำหรับเรา คือท่อนที่ว่า ‘I’m not falling behind or running late, I’m not standing still, I’m lying in wait’ (“ฉันไม่ได้รั้งท้ายหรือล้าหลัง ฉันไม่ได้นิ่งเฉยแต่ฉันกำลังเฝ้ารอ”)
ในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่ากำลังโดนคนอื่น ๆ ทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ ในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าไล่ตามคนอื่นไม่ทันสักที เนื้อเพลงท่อนนี้เหมือนปักฉึกเข้ามากลางใจของเรา บอกว่าบางทีมันอาจไม่ใช่ว่าฉันไล่ตามคนอื่นไม่ทัน หรือว่าฉันมันช้าเกินไป แต่มันแค่อาจยังไม่ถึงเวลาของฉันแค่นั้นเอง...
ในการสัมภาษณ์กับ The New Yorker คุณลิน-มานูเอล มิรานด้าที่รังสรรค์ละครเพลงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เคยบอกเช่นกันว่าทุกคนก็คงเคยรู้สึกแบบนั้น รู้สึกเหมือนเบอร์เมื่อ “เราเห็นเพื่อนคนอื่น ๆ แซงหน้าเราไป ทั้งในเรื่องความสำเร็จ ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่การซื้อบ้าน ขณะที่คุณยังอยู่ที่เดิม ถังแตก โสด ไม่มีงาน และคุณก็บอกตัวเองว่า ‘รอก่อนเถอะ’”
และเราเชื่อว่าคนรุ่นเรา หนุ่มสาวที่เพิ่งเรียนจบและกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดแรงงานในกลียุคแบบนี้ ก็น่าจะรู้สึกเหมือนกันบ้างแน่นอน
ว่าฉันต้องทำให้ได้ ฉันต้องประสบความสำเร็จ ฉันต้องมีงาน ฉันต้องมีเงิน ฉันต้องมีแฟน ฉันต้องมีบ้าน ฉันต้อง ฉันต้อง ฉันต้อง ฉันต้อง ฯลฯ ฉันต้องทำอะไรหลายอย่างไม่สิ้นสุด ต่อให้ฉันเพิ่งอายุ 2X และยังใช้ชีวิตได้ไม่ถึงครึ่งของอายุคาดเฉลี่ยประชากรไทยเลยก็เถอะ...
บางทีเราอาจไม่ต้องเร่งรีบขนาดนั้นก็ได้
บางทีเรา ‘รอ’ หน่อยก็ได้
บางทีการรอคอยอาจจะให้คำตอบกับเราก็ได้
แน่นอน การ ‘เอาแต่รอ’ อยู่ตลอดคงไม่ดีเหมือนกัน (อย่างที่เราจะมาพูดกันใหม่ในเพลง The Room Where It Happens---)
แต่บางทีถ้าเราจะรอคอยสักหน่อย... ใจเย็นสักหน่อย...
เราอาจจะได้คำตอบเหมือนกันก็ได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in