แม้แต่ท่านหานกวงจวินก็ไม่สามารถทัดทานคำของเจียงหวันอิ๋นได้เพราะถึงอย่างไรเว่ยอู๋เซียนก็เป็นคนของตระกูลเจียง
หานกวงจวินจึงจำต้องรามือไปก่อนแต่ไม่คิดปล่อยมือเป็นแน่ สายตาซื่อตรงที่มองตรงไปยังร่างเล็กบอกแบบนั้น
เจียงเฉิงไล่คุณชายรองหลานกลับกูซูในขณะที่ตัวเองก็ใช้แส้จื่อเตี้ยนฟาดใส่เว่ยอู๋เซียนจนหมอบแล้วใช้แส้นั่นมัดไว้ป้องกันการหลบหนีคุณชายรองหลานเห็นดังนั้นก็ทำท่าจะเข้ามาขวางแต่ก็ไม่ทัน เพราะก่อนที่แส้จะลงใส่บนตัวเว่ยอู๋เซียนมันก็ฟาดฟันกับหานกวงจวินทุกครั้ง
ยังไม่รวมศิษย์ตระกูลเจียงข้างกายเจียงเฉิงที่แบ่งรับแบ่งสู้ไม่ให้ท่านหานกวงจวินเข้ามาขวางประมุขเจียงอีก
จนเจียงเฉิงสั่งให้ศิษย์ทั้งสองกลับมานั่นแหละทุกอย่างถึงจบเพราะจัดการอดีตศิษย์พี่ใหญ่อยู่หมัดแล้ว แล้วภาพตรงหน้าก็มืดไป
จนตอนนี้ที่เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ภาพรอบตัวทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงถึงกับต้องขยี้ตาอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็นข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างเหมือนกับสมัยก่อนห้องของเขายามที่อาศัยอยู่ที่ท่าเรือสัตตบงกช
“ฟื้นแล้วหรืออาเซี่ยน” เสียงหวานดังมาจากประตูคนที่เพิ่งพยุงตัวขึ้นนั่งค่อยๆ หันไปมองช้าๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“ศิษย์พี่!!!”หญิงสาวตรงหน้าถือถ้วยที่แค่ได้กลิ่นก็จดจำได้เป็นอย่างดี แกงรากบัวซี่โครงหมูของโปรดของเว่ยอู๋เซียนผู้นี้นี่เอง
“อาเซี่ยน! เจ้าตบหน้าตัวเองทำไมกัน เจ็บตัวเสียเปล่าๆ”มือบางรีบวางถ้วยแกงไว้ข้างเตียงแล้วลูบบริเวณแก้มที่ถูกประทุษร้ายข้างนั้นอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่ได้ฝันอยู่ใช่หรือไม่ ศิษย์พี่ท่านยังมีชีวิตอยู่จริงๆ งั้นหรือ”อาเซี่ยนของศิษย์พี่นั่งร้องไห้น้ำตาไหลเต็มหน้าพุ่งตัวสวมกอดคนที่ก่อนตายเห็นอยู่คาตา
ศิษย์พี่เหยียนหลีโดนดาบแทงต่อหน้าต่อตาจนคิดว่าไม่มีทางรอดและเป็นความรู้สึกผิดบาปที่ติดตัวเขาจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิตที่ร่วงหล่นลงไปใต้ผาของปู๋เย่เทียน
“ข้าเพียงบาดเจ็บ แต่อารามตกใจจึงสิ้นสติไปดีที่จินจื่อเซวียนพาข้าไปรักษาทันจึงหายดีแล้วเห็นมั้ย” ศิษย์พี่ลูบแก้มน้อยเบาๆอย่างเอ็นดูปนเปความคิดถึง
“ศิษย์พี่ไม่ถามข้าหน่อยหรือว่าข้าหายไปไหนมา” ค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตากับคนเป็นพี่ที่ส่ายหน้ามาให้เป็นคำตอบ
“แค่อาเซียนน้อยของพี่กลับมาไม่ว่าจะแบบไหนมันก็ดีที่สุดแล้ว”ศิษย์พี่น้ำตาคลอเล็กน้อยก่อนจะใช้หลังมือปาดทิ้งไปอย่างแผ่วเบา
“ฮึก ศิษย์พี่ อาเซียนสามขวบมารายงานตัวแล้วขอรับ”ยกมือขึ้นข้างนึงทำท่าวันทยหัตถ์ทั้งน้ำตา จนคนพี่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มด้วยความเอ็นดูเอื้อมมือเรียวไปหยิกแก้มขาวนวลตรงหน้าเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“อาเซียนน้อยของศิษย์พี่คนนี้นั้นเพียงหนึ่งขวบก็พอสามขวบโตเกินไป ใช่หรือไม่อาเซี่ยน” เอ่ยปากแซวน้องน้อยที่ตอนนี้เบะปากพองแก้มงอนๆเป็นเด็กน้อยไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงเลื่อนเปิดประตูจะเรียกความสนใจจากคนทั้งสองไปเสียก่อน
“สิบกว่าปีผ่านไปเจ้ายังไม่มีความคิดที่จะเลิกนอนกินบ้านกินเมืองอยู่อีก ตื่นมาก็แหกปากโวยวายมิสำรวมกิริยา”
“เจ้าก็ว่าไป แท้จริงเป็นห่วงกลัวพี่เจ้าปวดท้องหิวมิใช่หรือ”ศิษย์พี่ยิ้มขำกับความปากแข็งของคนน้องที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยเช่นกัน
“ผู้ใดห่วงกัน ขนาดเจ้าของยังไม่ห่วงแล้วจะสนใจไปไยทำตัวเองทั้งนั้นเหตุใดไม่รับผิดชอบตัวเองด้วย”ถึงปากจะว่าอย่างนั้นแต่กลับยื่นกะละมังที่มีผ้าเปียกพาดอยู่มาวางที่โต๊ะข้างเตียงข้างๆถ้วยน้ำแกง
“อาเซียน ข้าป้อนเจ้าเอง”ศิษย์พี่หยิบชามแกงรากบัวมาตัก
“มือไม้ยังมี ทำไมไม่ทำเองเล่า”เจียงเฉิงหันหน้าไปทางอื่นพูดกระทบคนบนเตียง จนโดนหมอนพิฆาตไปแทนคำตอบ
“เว่ยอู๋เซียน!!!”
“พอแล้วทั้งสองคน อาเซียนเจ้าก็นั่งทานดีๆ เถอะส่วนอาเฉิงถ้าเจ้ายังบ่นอีกข้าจะให้เจ้ามาป้อนศิษย์พี่เจ้าเสียเองดีหรือไม่”ซึ่งก็ได้รับคำตอบปฏิเสธจากทั้งสองทันทีแบบไม่ต้องนัดกันดังนั้นจึงยอมสงบศึกชั่วคราว
หลังจากศิษย์พี่ออกไปแล้วเว่ยอู๋เซียนจึงเอ่ยปากถามเรื่องที่จะจับเขามารับโทษ“เจ้าได้รับโทษแน่นอนไม่ต้องห่วง”
“ขอบใจเจ้า”
“ขอบจงขอบใจอะไรกัน เจ้าขอบใจที่ได้รับโทษหรือไรกันไม่คิดว่าเจ้าจะสติฟั่นเฟือนด้วย ข้าขนลุกไปหมดเห็นมั้ย”เจียงเฉิงที่ยืนกอดอกอยู่ยกไหล่ขึ้นเล็กน้อยกับความรู้สึกแปลกๆที่ได้รับคำขอบคุณที่อยู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาจากคนเป็นศิษย์พี่
“ข้าขอบใจเจ้าที่ยังอุตส่าจัดเตรียมห้องไว้ให้ข้าขอบใจเจ้าที่ความโกรธแค้นที่เจ้ามีต่อข้านั้นเบาบางลงไม่มากก็น้อย”
“เพราะยังมีศิษย์พี่อยู่แถมศิษย์พี่เองยังปกป้องเจ้าถึงเพียงนั้นนางบอกข้าว่าที่นางโดนทำร้ายเพราะต้องการปกป้องเจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธเลยและอีกอย่างมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ข้าคิดว่าตระกูลอื่นไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่ยกเว้นท่านหานกวงจวินหน้าตายผู้นั้นไว้ผู้นึง” ได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมาเมื่อได้ยินประโยคยาวๆ จากคนตรงหน้า
“เจ้ายิ้มอะไร!”
“ข้าแค่คิดว่า เจ้าในตอนนี้มีมาดประมุขเจียงที่น่าเกรงขามยิ่งนัก”เสียงถอนหายใจจากคนตรงหน้าดังขึ้นเบาๆ ก่อนจะถูกดึงรวบไปสวมกอด
“ขอบใจเจ้าที่กลับมา”เสียงที่เบาเกือบกระซิบนั้นทำเอาเว่ยอู๋เซียนแทบไม่เชื่อสายตา
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
“ข้าไม่ได้พูดอะไรหลังจากนี้เจ้าจะต้องไปคุกเข่าเคารพบรรพชนตระกูลเจียงเป็นเวลาสองชั่วยามตลอดหนึ่งเดือนนี้หวังว่าจะไม่ตุกติก”ท่านประมุขจะเดินจากไปไม่สนใจไยดีเสียงโหยหวนที่ดังตามหลังมาพร้อมใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มน้อยๆที่ไม่ยอมให้คนในห้องเห็นเด็ดขาด
忘羡
เว่ยอู๋เซียนลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะไปรับโทษยังหอบรรพชนนั่งสำนึกตนมองป้ายของอดีตประมุขเจียงฮูหยินอวี๋ที่อยู่ด้านหน้าสุดและยังเป็นผู้มีพระคุณที่เก็บเด็กข้างถนนอย่างเขามารับเลี้ยงไว้แม้จะถูกดุว่าอย่างไรเขาก็ยังคงให้ความเคารพเสมอมา
เพราะถึงอย่างไรพวกท่านก็เป็นคนมอบชีวิตใหม่ให้เขาไม่ว่าจะเป็นความทรงจำวัยเด็ก ที่นอนอุ่นๆ ข้าวสามมื้อ
“ฮูหยินอวี๋ ข้าทำได้แล้วนะขอรับทำตามสัญญาที่จะปกป้องเจียงเฉิงและให้เขาเป็นประมุขตระกูลเจียงที่เกรียงไกร”แม้สายตาจะเศร้าโศกที่ยังคงฝังใจกับคำตราหน้าว่าเป็นตัวนำความอัปยศมาสู่ตระกูลเจียงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ท่าเรือแห่งนี้ถูกทำลาย
“เว่ยอู๋เซียน”
ช่วงนี้มีแต่คนเรียกชื่อข้าเยอะเสียจริงแต่เมื่อหันกลับไปก็ต้องตกตะลึงเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน “เวินฉิง!เจ้ายังมีชีวิตอยู่ จริงหรือนี่”เว่ยอู๋เซียนลุกวิ่งมาหาด้วยความยินดีจนลืมไปว่าถูกทำโทษอยู่
“หนีการทำโทษ เริ่มนับเวลาใหม่”
“เจียงเฉิง”คนพี่เอ่ยเรียกคนมาใหม่ที่พยายามกลั้นยิ้มอยู่
“ตอนที่ข้าไปรับโทษที่จินหลินไถ อาหนิงบังเอิญไปรู้แผนการของจินกวงซ่านเข้าว่าที่กำจัดสกุลเวินที่เหลืออยู่เป็นข้ออ้างแค่ต้องการเก็บอาหนิงไว้ใช้งานเท่านั้น พวกข้าเลยลักลอบหนี แล้วได้คุณชายเจียงพามาซ่อนไว้แล้วประกาศว่าเขาเจอขุนพลผีระหว่างทางจึงกำจัดทิ้งไป”
“แล้วคนอื่นๆ หล่ะ”พอถามแบบนั้นเวินฉิงก็ทำได้แค่ส่ายหน้าตัวเขารู้ดีว่าอีกคนไม่มีทางยอมทิ้งคนที่อยู่ร่วมกันมาได้แต่อาจเพราะมันไม่มีโอกาสจริงๆ
เด็กคนนั้น คงไปเกิดในภพภูมิที่ดีแล้วสินะ
“วันนี้ยังไม่ต้องไปคุกเข่าต่อแล้ว ไว้เริ่มพรุ่งนี้”คุณชายเว่ยเอียงคอมองหน้าคนเอ่ยปากยกเลิกคำสั่งด้วยความฉงน
“วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเจอคนอื่นๆ ไปได้แล้วอย่ามัวยืนนิ่ง”เวินฉิงดันหลังคนยืนนิ่งอยู่ให้เดินตามคนพูดไปด้วยรอยยิ้มเราเดินกันมาถึงห้องทานอาหาร ตอนนี้ก็ได้เวลามื้อเย็นของบ้านสกุลเจียงแล้ว
ทุกคนนั่งด้วยกันครบทุกคน ศิษย์พี่ เวินฉิงเจียงเฉิง และเด็กหนุ่มคนนั้นที่เจอที่เขาต้าฟ่าน แต่กลับไม่เห็นเวินหนิง
“นี่จินหลิง จินหรูหลันลูกของศิษย์พี่กับเจ้านกยูงนั้น” เจียงเฉิงเอ่ยแนะนำคนเป็นหลานก็ลุกขึ้นคำนับตามมารยาทและปล่อยให้เจียงเฉิงเป็นคนบอกเล่าแทน
“เวินหนิงบอกไม่กล้ามาร่วมโต๊ะ ขอทานอยู่ที่ห้องดีกว่าข้าคิดว่าเขาน่าจะยังกลัวผู้คนอยู่ไม่มากก็น้อย” น่าจะเพราะเห็นเขายังคงมองไปมองมาเวินฉิงถึงหันมาตอบ
“แล้วเจ้าหล่ะ”โต๊ะอาหารถูกจัดไว้พอดีคนจนเหมือนตัวเว่ยอู๋เซียนเองที่มานั่งที่เวินฉิงแต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้า
“ข้าจะไปนั่งทานข้าวกับอาหนิงแต่จะมาดูแลให้เป็นการตอบแทน เจ้าไม่ต้องบอกว่ามันไม่จำเป็นมันคือความเต็มใจของข้ากับอาหนิงอย่างน้อยถือเป็นการตอบแทนที่ประมุขเจียงทำให้ข้าและน้องชายยังมีโอกาสใช้เวลาด้วยกันต่อ”
“และอีกอย่าง เว่ยอู๋เซียน เจ้าคงไม่ลืมใช่หรือไม่ว่าเราต้องเป็นคนที่ตายไปแล้วไม่ควรออกไปให้ใครพบเห็น แค่เดินออกมาด้านหน้าก็เสี่ยงมีคนพบเห็นได้แล้ว” เวินฉิงอธิบายต่อขณะที่ลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไปจากห้อง
“แม้แต่ศิษย์ตระกูลเจียงด้วยกันก็ไม่รู้งั้นหรือเนี่ย”เว่ยอู๋เซียนอดประหลาดใจไม่ได้
“ก็ใช่หน่ะสิ” คนฟังพยักหน้ารับอย่างยอมความก่อนจะลงมือทานข้าวกันให้หลังจากที่เวินฉิงเดินออกไปแล้ว
“ท่านน้า เมื่อไหร่ท่านจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียที”เด็กจินหลิงนั้นเอ่ยกับท่านน้าของตนขณะที่กำลังตักอาหารเข้าปากทำเอาคนได้ยินครั้งแรกอย่างเว่ยอู๋เซียนถึงกับกลั้นขำเพราะคำพูดคำจาช่างสูสีกันดียิ่งนัก
“เป็นชิ้นเป็นอันอะไรของเจ้า ข้าทำงานทำการของข้าก็เรียบร้อยดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องรอให้เจ้ามาเอ่ยปากเตือน”คนเป็นน้าก็ตอกกลับได้เจ็บแสบพอกันเลยทีเดียว
“ก็ท่านมัวแต่นั่งเก๊กวางท่าเช่นนี้อยู่หลายปีท่านน้าเว่ยมาวันนี้วันแรกยังดูสนิทสนมกับท่านน้าเวินฉิงมากกว่าท่านเสียอีก”
“จินหรูหลัน!!!”
เจียงเฉิงทำได้เพียงกระฟัดกระเฟียดคนเป็นหลานแต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นเพราะเหมือนจะเป็นความจริงเลยเถียงไม่ออกได้แต่สั่งให้คนอายุน้อยที่สุดกินข้าวลงไปดีๆ
ท่าเรือสัตตบงกชกลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว
忘羡
หลังออกไปพบกับเวินหนิงที่ตื่นเต้นกับการได้พบคุณชายเว่ยอีกครั้งก็กลับมาจุ้มปุกที่ห้อง ช่างเป็นเด็กดียิ่งนักคงเป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นในใจของเว่ยอู๋เซียนผู้นี้
“กลับมาซะมืดค่ำแค่คืนแรกเจ้าก็ออกไปร่ำสุราแล้วหรือไง” คนที่เพิ่งกลับมามองคนที่นั่งอยู่ในห้องอย่างสงสัยแต่เมื่อเห็นสุราบนโต๊ะถึงสี่ไหก็ยิ้มร่าเดินมาหาคนที่นั่งหน้าบึ้งอยู่
“ใครบอกเจ้ากันว่าข้าไปร่ำสุราข้าไปหาเวินหนิงมาต่างหากเลยเพิ่งกลับมา เจ้ารอข้านานหรือไม่”กอดคอคนน้องที่ตอนนี้ร่างกายกำยำกว่าเก่า และดูโตกว่าด้วยเลยเอื้อมแขนไม่ถนัดเท่าแต่ก่อน
“ใครรอเจ้ากันข้าว่าจะถามเจ้านานแล้วว่าเจ้าหายไปไหนมาตั้งสิบหกปี”เจียงเฉิงยื่นไหสุราให้พร้อมกับตั้งคำถาม
นานแล้วที่เราสองคนไม่ได้พูดคุยร่ำสุราด้วยกัน“ข้าก็ไม่รู้ เจียงเฉิงอย่าฟาดข้า ก็ข้าไม่รู้จริงๆ หลังจากตกลงไปจากหน้าผาก็ไม่รับรู้อะไรอีกจนกระทั่งเมื่อวันที่เจ้าเจอข้านั่นแหละ”มือที่ยกสูงเตรียมฟาดลงมาถึงได้กลับไปอยู่บนตักเจ้าของเหมือนเดิม
“แล้วทำไมเจ้าถึงตัวแค่นี้กัน”เป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ แต่เท่าที่เห็นเป็นไปได้ว่ามีคนเอาศพของเขาไปทำอะไรสักอย่างให้มันคงสภาพไว้
“ข้าก็ไม่รู้”
“มันจะเป็นอะไรหรือไม่” กระดกไหสุราในมือพลางนั่งคิดมันจริงอย่างที่เจียงเฉิงบอกเพราะตัวเว่ยอู๋เซียนเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าร่างกายตอนนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหนเพราะยังไงก็เป็นคนที่ตายไปแล้ว
“ข้า.. ข้าควรปรึกษาหลานจ้านดีหรือไม่”
“เอ๊ะอะเจ้าจะคุยแต่กับคุณชายรองหลานหน้าตายผู้นั้นไม่เปลี่ยนพี่น้องคงสำคัญไม่เท่าจึงไม่คิดจะพูดคุยหารือ” คนเมาน้อยใจเสียแล้ว เว่ยอู๋เซียนกระโดดกอดคอเจียงเฉิงทั้งตัวแทนเพราะเกี่ยวคอไม่ถนัดแต่ถึงจะโถมทั้งตัวใส่คนเป็นประมุขก็หาได้ล้มตามแรงแต่อย่างใด
“ทำอะไรของเจ้าเนี่ย!”เจียงเฉิงดันตุ๊กแกออกจากตัวแต่ไม่สำเร็จ ถึงจะกอดคออยู่แบบนี้แต่ความสามารถในการกระดกไหสุรานั้น
“อาเฉิงตัวน้อยเติบใหญ่จนแม้แต่ข้าทุ่มแรงทั้งตัวใส่ก็ยังไม่กระดิกกลับเอ่ยปากน้อยอกน้อยใจดังสาวน้อยไปได้”และแน่นอนว่าคนไม่ยอมรับความจริงอย่างคนข้างๆ ก็ต้องปฏิเสธเสียงแข็งแน่นอน
“แต่ข้าแปลกใจเสียจริง ตอนข้าอยู่ล่วงจั้งกั่งเจ้ายังมีท่าทีเป็นปรปักษ์กับคนตระกูลเวินอยู่เลยที่เจ้ายอมให้ทั้งสองมาแอบอยู่ตระกูลเจียงเช่นนี้ต้องมีอะไรแฝงอีกแน่ๆ ซึ่งถ้าให้ข้าเดามันน่าจะเกี่ยวกับเวินฉิง” อีกคนทำเป็นไม่พูดอะไรยกไหสุราดื่มหน้าตาเฉย
“นี่เจ้าแอบชอบเวินฉิงงั้นหรือเนี่ย ไม่เบาๆประมุขเจียงช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ให้ความช่วยเหลือมาหลบอยู่ในชายคาเดียวกันวิธีนี้ทั้งได้คะแนนประทับใจและยังเป็นการเก็บคนที่ตัวเองชอบให้ตัวเองได้ยลโฉมอยู่ผู้เดียวทุกเชื่อเมื่อวันฉลาดยิ่งนักสมแล้วที่เป็นศิษย์น้องข้า” ตบบ่าแกร่งอย่างภาคภูมิใจแต่โดนสะบัดออกเสียก่อนเว่ยอู๋เซียนต้องยอมกลับมานั่งดีๆ
“เรื่องแค่นี้ไยต้องสร้างเรื่องให้มากความ แล้วอีกอย่างพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องเช่นเจ้าข้าไม่นับเป็นพี่ข้าเด็ดขาด”
“แหมเจียงเฉิงอ่า ยอมรับแล้วใช่หรือไม่ว่าเจ้าชอบเวินฉิง”มือบางเสยคางคนน้องอย่างต้องการจะแกล้งตามนิสัย ก็โดนปัดมือทิ้งอย่างไม่ไยดี
“หยุดเล่น!”
“อยู่ใกล้กันแค่นี้ เจ้าจะเสียงใดไปทำไมกันไม่กลัวใครว่าได้ยินหรือไง” คนขี้เล่นยกมือนวดหูทำเหมือนเสียงของเจียงเฉิงดังจนระบมไปทั้งหูแต่ดูรู้ว่าแกล้งทำจึงโดนมะเหงกใส่ตามทันที
“ข้าหาใช่หานกวงจวินที่จะทนความซุกซนของเจ้าได้”
“แน่นอนพี่รองหลานของข้านั้นช่างแสนดีและตามใจข้าเป็นที่หนึ่ง ไม่มีผู้ใดแทนได้”พูดชมคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยรอยยิ้มเปร่งปรั่งจนคนน้องทนไม่ไหว
“ไร้สาระไม่เปลี่ยน เจ้ากล่าววาจาเหมือนเจ้าชมชอบหานกวนจวิน...”
“ใช่ หลานจ้านเป็นของข้าและข้าก็ชอบเขามากๆด้วยเจ้าว่าข้าเหมาะสมกับเขาหรือยังเจียงเฉียง” ถึงแม้จะพูดเพื่อแกล้งคนข้างๆเป็นจุดประสงค์หลัก แต่เขาก็หาได้กล่าวเท็จแต่อย่างใดหลานจ้านผู้นี้อยู่เคียงข้างมาตลอด ดูแลเป็นอย่างดี จะหาได้จากที่ไหนอีกแถมได้ใช้เวลาร่วมกันมามีหรือจะไม่เผลอใจ
ถึงเมื่อก่อนจะไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะกลัวอีกฝ่ายเสียหายและไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไรกับตนหรือจริงๆ แล้วอาจจะทำแบบที่ทำกับเขาให้ทุกคนก็ได้ใครจะรู้
ดีที่ก่อนตายประมุขหลานหลานซีเฉินได้มาบอกเล่าเรื่องราวที่น้องชายทำให้เขาทั้งเรื่องแอบเข้าหอหนังสือต้องห้ามขัดกฎสกุลหลานเพื่อตามหาเพลงฉินมารักษาเว่ยอู๋เซียนหรือแม้กระทั่งฝึกเข้าครัวเพื่อทำอาหารอวิ๋นเมิง แต่ทั้งหมดนั้นยังไม่ทำให้รู้สึกดีเท่าประโยคสุดท้ายของประมุขหลาน
“ตัววั่งจีไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนจนกระทั่งมาเจอท่านคุณชายเว่ย” แม้ตอนนั้นจะเดินจากมาทำเหมือนไม่สนใจ แต่ในหัวใจก็สุขล้นเหลือคณาเช่นนี้ถือไว้ใจตรงกันแล้วแม้ไม่อาจครองคู่ ขอแต่รู้ดีอยู่แก่ใจก็พอ
ในตอนนั้น เขาต้องการแค่นั้นจริงๆ
“ไร้ยางอาย”เจียงเฉิงพึมพำแต่อยู่ใกล้แค่นี้มีหรือจะไม่ได้ยินเลยกระแทกไหล่ใส่เป็นการเอาคืนจนเกิดสงครามดันไหล่กัน และใครเล่าที่แพ้
เว่ยอู๋เซียนผู้นี้นี่อย่างไร เจ็บใจชะมัด
คุยสับเพเหระกันไปเรื่อยจนสลบไสลกันเกลื่อนห้องจนเช้าวันรุ่งขึ้นเป็นศิษย์พี่ที่มาเจอแล้วลากแต่ละคนไปจัดการตัวเอง ด้วยเกรงว่ารัศมีประมุขเจียงหายไปในสายตาของคนในสำนัก
ถือเป็นเรื่องขำๆ ในเช้าที่สดใสของบ้านสกุลเจียงแม้ว่าเว่ยอู๋เซียนก็ต้องไปนั่งสำนึกตนที่หอบรรพชนแต่การไปนั่งแบบนั้นก็ช่วยลดความห่างเหินกับทุกคนได้มากพอตัว
รู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับให้เหยียบย่างในท่าเรือสัตตบงกชคล้ายที่ศิษย์พี่เคยกล่าวหยอกล้อเล่นๆ
“เข้าบ้านได้แล้วอาเซี่ยน ท่านแม่เปิดประตูให้เจ้าแล้ว”
เว่ยอู๋เซียนได้แต่ยิ้มขำกับประโยคนั้นอย่างอดที่จะยอมรับไม่ได้
ศิษย์พี่กับเจ้านกยูงยังอยู่นะคับบบ อุอิ
เจียงเฉิงพยายามทำทุกอย่างเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดในใจตัวเองที่มีต่อเว่ยอิง
แต่อีกส่วนก็มีใจให้เวินฉิงด้วยถึงยอมรับเวินหนิงมากขึ้นถึงจะเป็นหุ่นเชิดก็ตาม
เป็นกำลังใจให้ด้วยน้า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in