ตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรกเมื่อยังเยาว์วัยจนบัดนี้หานกวงจวินยังคงเป็นคนที่ยึดมั่นในกฎตระกูลและความดีงามเสมอมาแม้กระทั่งในยามนี้ที่ทั้งสองยืนพูดคุยกันอยู่ที่ริมหน้าผาของปู๋เย่เทียนที่ร้างไร้ผู้คน
“วิชามาร ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่เคยมีผู้ใดรอดพ้น”เสียงนิ่งไม่ได้สื่ออารมณ์ใดๆ ของคนที่ยื่นข้างๆ หันหน้ามาทางตนของหลานวั่งจี
“ข้าไม่ได้ใช้วิชามารนะท่านหานกวงจวินข้าเพียงดัดแปลงโดยใช้เสียงดนตรีคล้ายกับที่ตระกูลเจ้าใช้ก็เท่านั้นตัวเจ้านี่ยังไงกันหลานจ้าน ที่เจ้าพูดเช่นนี้ คิดจะจับข้าไปคุกเข่ารับโทษที่ตระกูลหลานหรืออย่างไรข้าหาได้เรียนอยู่กูซูนะเผื่อเจ้าลืมไป”น้ำเสียงยียวนที่กระตุ้นต่อมโกรธของคนมานักต่อนักยังใช้ได้ดีแม้แต่กับชายตรงหน้าก็ตาม
“เว่ยอิง!”
“ใจเย็นก่อนเถอะพี่รองหลาน เมื่อก่อนเจ้าสงบนิ่งเสียจนข้านึกว่าเจ้าตายด้านเสียแล้วมิคิดว่าเมื่อเติบใหญ่จะเป็นคนเลือดลมร้อนถึงเพียงนี้” เว่ยอู๋เซียนยกยิ้มเล็กน้อยเหล่ตามองคนเลือดร้อนที่จ้องเขม็งมาอย่างไม่ลดละ
“กลับกูซู..”
“กลับกูซูเนี่ยนะ หลานวั่งจีเจ้าจะให้ข้าไปกูซูกับท่านด้วยเหตุผลอันใดหล่ะ เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้าเกลียดกฎสามพันข้อของพวกเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใดอิสระที่ข้ามีอยู่จะหายไปทันทีที่เหยียบย่างเข้าไปที่นั่น ท่านรู้ดีแก่ใจท่านหานกวงจวิน"
"หรือนี่คือการลงโทษของท่านงั้นสิหานกวงจวินและที่สำคัญ เว่ยอู๋เซียนเป็นคนของตระกูลเจียง หาใช่เรื่องที่ตระกูลหลานของท่านจะสามารถกระทำการข้ามหน้าข้ามตาได้”ร่างบางที่ยืนกอดอกอยู่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับใบหน้าดังเทพบุตรนั้น
“ให้ข้าได้ช่วยเจ้ากลับมาใช้กระบี่ดังแต่ก่อน”
“ขลุ่ยเฉินฉิงแข็งแกร่งมากยิ่งนักแล้วทำไมข้าต้องกลับไปใช้กระบี่อีก ท่านหานกวงจวินอย่าได้ยึดติดกับการต่อสู้ที่ใช้ปราณเซียนเลยเจ้านี่ช่างโลกแคบเสียจริง” ถึงจะกล่าวไปอย่างนั้นแต่ภายในใจยังแอบโหยหากระบี่คู่กายที่พกติดตัวมาตลอดตั้งแต่ยามเข้าตระกูลเจียง
กระบี่ที่ประมุขเจียงคนก่อนมอบให้
“กระบี่ของเจ้าอยู่คู่กายเสมอมิเคยห่างหากไร้สาเหตุแล้วจะยอมละทิ้งวิชากระบี่ไปทำไม”
"ไม่ต้องการตอบ ข้าก็ไม่บีบคั้น"คุณชายรองตระกูลหลานกดหน้าลงเล็กน้อยให้ความรู้สึกอึมครึมจนเว่ยอู๋เซียนที่รับความรู้สึกนั้นไปก็แอบกระวนกระวายใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีทำได้แค่ยืนนิ่ง
“......”
“เจ้าควบคุมมันไม่ได้ทั้งหมดเว่ยอิงอย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลย”
เสียงนุ่มกึ่งขอร้องที่ออกมาจากปากพร้อมฝ่ามืออุ่นที่จับแขนเอาไว้ทำเอาคนฟังใจอ่อนยวบ
เสียงเล็กๆในความคิดตะโกนขึ้นมาให้บอกเรื่องราวทั้งหมดกับสหายผู้นี้ให้สิ้นเรื่องไปไม่ต้องคอยเก็บงำความลับที่ไม่คิดจะบอกผู้ใดเอาไว้ให้ปวดใจเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่นๆ
และเพราะเสียงนั้นยังดังไม่มากพอจึงถูกคนใจแข็งปัดตกไปอย่างไม่ไยดี ส่งมือไปกอบกุมมือของอีกคนที่มองด้วยสายเป็นห่วงมากุมไว้แทนพร้อมรอยยิ้มสว่างไสวที่ต้องการให้คนตรงหน้าคลายใจแต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าของอีกคนดีขึ้นแม้แต่น้อย
“ข้าคุมได้หลานจ้าน เจ้าไม่เชื่อใจข้างั้นหรือ”
แม้รู้ดีแก่ใจว่าเป็นเรื่องที่ยากเกินจะทำไหวเพราะเขาเองก็รู้ไม่ต่างกันถึงผลเสียที่ได้จากการใช้วิชานี้แถมยังได้ลิ้มรสด้วยตัวเองเสียด้วยแต่แล้วอย่างไรหล่ะมันไม่มีทางกลับสำหรับเขาในตอนนี้อยู่แล้ว
“เว่ยอิง..”เว่ยอู๋เซียนยังคงยืนยันคำเดิมที่จะไม่ทำตามคำขอของเขา
“เชื่อข้านะหลานจ้าน”คุณชายรองตระกูลหลานเพียงถอนหายใจอย่างอ่อนแรงที่ไม่อาจเปลี่ยนใจคนตรงหน้าได้ ก่อนจะสบตาด้วยสายตาที่แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว
“ข้าเชื่อเจ้า”
“ขอบคุณ ขอบคุณพี่รองหลานที่ท่านยังยอมตามใจข้าเสมอมาแม้กระทั่งเรื่องที่ยากจะยอมรับเช่นนี้”รอยยิ้มของคนตรงหน้า หลานวั่งจีเคยสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะรักษามันเอาไว้ให้ได้และก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ต้องยอมคนคนนี้เสมอมาแม้จะรู้ดีว่ามันขัดต่อกฎสกุลหลานแต่ตัวเขาเองก็เข้าใจคนตรงหน้าเช่นกัน
ตัวของเว่ยอู๋เซียนเองเพียงไม่อยากให้หลานวั่งจีมาโดนหางเล่ไปกับตนด้วยก็เท่านั้นแต่มันเป็นสิ่งที่คุณชายรองหลานไม่ต้องการเลยสักนิด
“แต่ขอให้ข้าได้ช่วยเจ้าอย่างสุดความสามารถ”
“หลานจ้าน..”
“ขอเพียงเป็นเจ้าข้าพร้อมจะเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับเจ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“แต่เจ้าจะเดือดร้อนเท่านี้ทุกคนก็เพ่งเล็งที่ข้ามากเกินไปแล้ว หากเจ้ายืนยันจะคอยช่วยเหลือข้านั้นจะทำให้ชื่อเสียงเจ้าเสียหายได้แค่เจ้าบอกว่าเชื่อใจข้าเท่านั้นก็ดีมากแล้วจริงๆ”
ร่างสูงส่ายหน้าและย้ำอีกครั้ง“ให้ข้าได้ช่วยเจ้า” เว่ยอู๋เซียนได้ยินดังนั้นก็กลับมายืนเท้าเอวมองคนตรงหน้าที่ยังดื้อดึงจะทำตามความคิดของตัวเอง
“เฮ้อ หลานจ้านนะ หลานจ้าน”แม้จะให้เหตุผลที่เกี่ยวข้องกับเจ้าตัวเองหรือมองอีกแง่คืออาจจะถูกเหมารวมทั้งตระกูลหลานเลยก็เป็นได้แต่ตาคู่คมยังคงมองมาอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นเดิมจนเป็นฝ่ายนี้เองที่ยอม
“กลับเถอะร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรงพอจะมายืนตากลมนานๆ” ไม่ว่าเปล่ายังคว้าแขนคนที่ยังมีร่องรอยความอ่อนล้าให้ตามไปโดยไม่สนใจเสียงโวยวายไปตลอดทาง
ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ใช้ทำนองที่แต่งขึ้นมาจากการผสมปนเปของศาสตร์การฟื้นฟูวิชากระบี่และจินตาณแต่เขาเชื่อว่าสักวันตัวเขาจะทำให้อีกคนใจอ่อนให้ได้
忘羡
แต่ยังไม่ทันที่หลานจ้านจะทำทุกอย่างได้ตามที่ใจต้องการเหตุการณ์มากมายผ่านไปอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทันรวมถึงการตายของเว่ยอู๋เซียนที่ถึงจะคว้ามือเอาไว้ได้หวังจะดึงอีกคนให้ขึ้นมาแต่ก็หาได้เป็นดังที่คิดเอาไว้
ด้านหลังคนมาใหม่ก้าวย่างอย่างมั่นคงมุ่งไปที่หน้าผาที่มีหานกวงจวินพยายามยื้อชีวิตปรมาจารย์อี๋หลิงเจียงหวันอิ๋นที่ถูกหลายตระกูลกดดันมาเนิ่นนานดังระเบิดเวลาและวันนี้ก็เกินกว่าจะเก็บเอาไว้แต่เพียงในใจก้าวเดินมายืนเคียงหานกวงจวินแต่เจตนากลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังใบหน้าของคนด้านล่างเขม็งดวงตาคู่สวยที่ก่อนตัดสินใจวาดกระบี่ใส่คนที่กำลังจะตกลงไป
“เว่ยอู๋เซียน ตายเสีย!”
คงเพราะเยื่อใยความผูกพันของคนทั้งคู่ที่ทำให้วิถีเบี่ยงไปเป็นหินที่อยู่ใกล้เคียงแทนผู้ที่เคยเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของบ้านตระกูลเจียง
แต่เสียงสั่นสะเทือนของหินดังออกมา เว่ยอู๋เซียนรับรู้ได้ทันทีว่าหากยังทิ้งน้ำหนักค้างไว้หานกวงจวินเองจะตกไปกับตนด้วย ซึ่งเขาไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด
หลานจ้าน เจ้าจะตายตกไปกับข้าไม่ได้
แน่นอนว่าคุณชายรองหลานก็คิดได้เช่นกันจึงผละมืออีกข้างที่รั้งตัวเอาไว้กับหินมาดึงอีกคนหวังให้แรงเฮือกสุดท้ายนี้ทำให้รอดด้วยกันทั้งคู่ แต่เหมือนคนที่ถูกยื้อเอาไว้จากเคียวของมัจจุราชจะไม่คิดเช่นนั้น
แรงส่งจากคนข้างใต้และผลักแขนข้างที่บาดเจ็บของคนด้านบนให้อีกคนทำตามสัญชาตญาณจับหินที่หน้าผาอีกครั้งเพื่อพยุงตัวเองไม่ร่วงตกลงไปแต่คนส่งแรงนั้นทำได้เพียงยิ้มอย่างอ่อนแรงให้คนทั้งสองก่อนจะร่วงหล่นหายไปจากครองสายตา
เจียงหวันอิ๋นเพียงแค่นยิ้มส่ายหน้าให้คนดื้อด้านอย่างผิดหวังที่คนที่ร่วงหล่นไปไม่ยอมเชื่อคำพูดตนตั้งแต่แรกแต่สายตายังแฝงไปด้วยความเศร้าโศกแม้จะบอกตัวเองว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วก็ตาม
หากคนที่เปรียบเสมือนพี่ชายยอมเชื่อคำพูดเขาทิ้งตระกูลเวินและหันกลับมาอยู่ตระกูลเจียงตามที่เขาบอก เรื่องคงไม่จบแบบนี้
โดยหารู้ไม่ว่าตัวศิษย์พี่ใหญ่ของบ้านสัตตบงกชนั้นรู้ดีว่าถึงจะยอมกลับไปแต่ตระกูลอื่นไม่มีวันเลิกราและยิ่งจะทำให้ตระกูลเจียงเสี่ยงมีปัญหาไปด้วย
ทั้งหมดก็เป็นเพียงความคิดที่ก้องอยู่ภายในใจของเว่ยอู๋เซียนยามที่เจียงหวั่นอิ๋นมาเกลี้ยกล่อมเขาที่ล่วงจั้งกั่งและมันก็ตายไปพร้อมเขาแล้วจริงๆ
หลานจ้าน.. ขอโทษและขอบคุณนี่คงเป็นสิ่งที่เขาอยากมอบให้คนที่ตะโกนเรียกเขาจนดังก้องไปทั่วบริเวณ เสียงที่เหมือนใจแตกสลาย
“เว่ยอิง!!!!!!”
忘羡
หลังจากวันนั้นทุกคนต่างพากันยื้อแย่งตราพยัคทมิฬและของที่ปรมาจารย์อี๋หลิงคิดค้นไว้มาเป็นของตัวเองให้มากที่สุด
เพราะถึงยังไงปรมาจารย์อี๋หลิงผู้นี้ก็ถือเป็นคนที่เก่งกาจผู้หนึ่งในยุทธภพของที่เหลือทิ้งไว้ย่อมมีค่ามหาศาล
หานกวงจวินที่เสียใจอย่างหนักกับการจากไปของเว่ยอู๋เซียนพอเห็นคนเหล่านี้จึงพยายามขัดขวางทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มีใครยุ่งกับข้าวของของเว่ยอู๋เซียนที่ล่วงจั้งกั่งของที่เปรียบเสมือนของดูต่างหน้า
แต่เพราะความละโมภทำให้ทุกฝ่ายต่างพร้อมใจกันชี้หน้ากล่าวหาหานกวงจวินต้องการปกป้องปรมาจารย์อี๋หลิงไม่ยอมให้นำของอันตรายกลับไปทำลายทั้งๆที่เป็นผู้ยึดมั่นในคุณธรรม
แม้จะรู้แก่ใจว่าทุกคนใฝ่หาที่จะได้ครอบครองหาใช่ทำลายทิ้งดังที่กล่าวอ้างจึงไม่มีใครโต้แย้งกับคำพูดนั้นจนเกิดการต่อสู้แม้หานกวงจวินจะเก่งกาจแต่เพราะคนจำนวนมากทำให้บาดเจ็บหนักเช่นกัน
สุดท้ายทำได้เพียงรักษากล่องจดหมายและพู่หยกตระกูลเจียงที่เว่ยอู๋เซียนเคยบอกว่าเป็นของที่แม่นางเจียงให้ไว้แต่ไม่กล้าพกติดตัวเพราะความละอาย
สำหรับหานกวงจวินผู้นี้แค่ของสองสิ่งแทนใจเท่านี้ก็ดีมากแล้ว
ตระกูลหลานที่เพิ่งมาถึงทราบเรื่องที่หานกวงจวินต้องการปกป้องอาณาเขตของปรมาจารย์อี๋หลิงและทำร้ายคนของทุกตระกูลจึงถูกท่านอาลงโทษด้วยแส้วินัย33 ครั้งห้ามรักษาแผลและไปสำนึกตนที่สระเหมันต์สามปี
ตราพยัคฆ์ทมิฬหายไปแต่เว่ยอู๋เซียนเคยบอกไว้ว่าตนเองได้ทำการผนึกพลังเอาไว้เมื่อนานมาแล้วไม่สามารถใช้พลังของมันได้ยกเว้นว่าจะคลายผนึกนี้สำเร็จ
และเพราะเหตุนี้ เว่ยอู๋เซียนที่ใช้พลังที่เหลืออยู่ในตัวรบรากับคนกว่าสามพันทำให้ร่างกายเสียหายหนักทรมานจนเผลอแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนภาพยังคงติดตาจนยิ่งย้ำถึงความเจ็บปวดของคนคนนั้น
ถูกแส้ฟาดกี่ครั้งก็เจ็บไม่เท่าความเจ็บปวดที่เว่ยอู๋เซียนได้รับมาตลอดท่านอาดุด่าด้วยสายตาผิดหวังแค่ไหน แต่ตัวเขานั้นรู้อยู่แก่ใจวาเว่ยอู๋เซียนหาได้ทำสิ่งที่ผิดจวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต เว่ยอิงยังรักษาคำสาบาน
“ขอให้ข้า เว่ยอู๋เซียนสามารถกำจัดคนชั่วช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ไร้เรื่องละอายใจ”
“ข้าก็เช่นกัน”
แม้จะเป็นศัตรูกับคนทั้งแผ่นดินแต่จนวันสุดท้ายของชีวิต เว่ยอู๋เซียนยังคงทำตามคำสาบานนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิไร้เรื่องละอายใจ ใช่ ไร้เรื่องละอายแก่ใจ
ความเจ็บปวดที่หลังยังไม่สามารถทำให้รู้สึกเจ็บเท่าหัวใจที่บีบรัดอย่างเจ็บปวดกับการจากไปของคนคนนั้นยิ่งคิดก็ยิ่งจมดิ่งกับความทรงจำที่เคยทำร่วมกันจนความโหยหาเกาะกุมไปทั่วทั้งหัวใจ
“เว่ยอิง...” ข้ารักเจ้าเจ้าสำคัญกับข้าเพียงไหนตัวข้าเท่านั้นที่รู้ คะนึงหาเจ้าทุกยามที่ไม่เห็นหน้าอยากบอกความรู้สึกแก่เจ้าแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเจ้าของรอยยิ้มนั้นไม่มีทางยิ้มให้เขาได้อีก หยดน้ำตาหลั่งรินท่ามกลางใบหน้านิ่งสงบ
“หลานวั่งจี!กฎข้อที่ห้าสิบสองของตระกูลหลานคืออะไร”เสียงตวาดของท่านอาที่เห็นหลานตัวเองยังพร่ำเพ้อถึงคนจากไปทั้งที่ยังคงรับโทษอยู่ก็ถึงกับทนไม่ได้
“ห้ามผูกมิตรกับมาร”
“ศักดิ์ศรีตระกูลหลานเจ้าลืมสิ้นแล้วหรือ ยังมีหน้ามาพบบรรพบุรุษหลานได้อย่างไร”ใบหน้าของคนที่ผ่านกาลเวลามานักต่อนักมองคนที่คุกเข่าอยู่อย่างโกรธเกรี้ยว
“วั่งจีขอถามท่านอา”เสียงทุ้มพร่าเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังมีเลือดกระอักออกมาเล็กน้อย
“....” ท่านอาจารย์หลานซีเหรินมองหน้าคนพูดอย่างคาดหวังว่าคำถามที่ศิษย์เอกที่สั่งสอนมาด้วยตัวเองจะถามคำถามที่ทำให้สบายใจขึ้นบ้างว่าที่สอนสั่งนั้นหาได้เสียเปล่าซะทีเดียว
“ใครดีใครชั่ว อึก ใครขาวใครดำผู้ใดตัดสิน”
“ดี!นี่หน่ะหรือศิษย์เอกที่ข้าภาคภูมิใจ”
“....”
“เจ้าทำข้าผิดหวังยิ่งนัก วั่งจี”
หลานชีเหรินไม่อาจทนสนทนากับหลานแท้ๆได้อีกต่อไป เดินกลับเข้าห้องพักด้วยใจที่สุ่มด้วยไฟแห่งแล้วโกรธเสียงแส้วินัยที่ฟาดบนผิวของหานกวงจวินยังคงดังอย่างต่อเนื่องและจะไม่มีวันหยุดจนกว่าจะครบจำนวน
ส่วนหานกวงจวินก็จมอยู่ในห้วงความคิดหวังให้ความรู้สึกที่ล้นในอกได้ส่งถึงคนที่จากไปได้รับรู้ซักเพียงนิดก็ยังดี
แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
หลานจ้านของทุกคนยอมรับตัวเองว่าชอบเว่ยอิงตั้งนานแล้ว
แต่กลัวว่าพูดไปแล้วจะเสียสหายคนสนิทไปเลยไม่พูด
ส่วนเจียงเฉิงที่เห็นพี่สาวถูกทำร้ายรวมกับที่อวี๋ฮูเหยินพูดเป็นประจำว่าเว่ยอิงเป็นตัวซวย
สถานการณ์มันทำให้คนที่อยากปกป้องเพราะความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง
แต่ก็ไม่อยากปกป้องเพราะเว่ยอิงคอยสร้างปัญหามาให้ตระกูลตามคำฮูหยิน
เลยพรั้งเผลอไปทำแล้วมาเสียใจภายหลังไม่มากก็น้อยแต่ใช้ความแค้นกลบทับแทน
ติดขัดยังไงขออภัยด้วยนะคะขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in