เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกนักอยากเขียนSooth Suwansakornkul
เรื่องของผม ๑
  • วันนี้จะเขียนอะไรดีล่ะ มีเวลาสามสิบนาทีอีกแล้ว เริ่มจากเรื่องของตัวเองดีกว่า ง่าย เพราะใกล้ตัวที่สุด
    โอเค ดั้งเดิมผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถามว่าตอนสอบเข้าอยากเป็นไหมนักวิทย์เนี่ย ตอบตรง ๆ ว่าเฉย ๆ
    แล้วถามผมว่าตอนนั้นอยากเป็นอะไรจริง ๆ เอาจริง ๆ คือตอบไม่ได้ ผมเป็นอะไรก็ได้ที่พ่อแม่สบายใจ

    ให้เรียนก็เรียน ให้ทำอะไรก็ทำ จะว่าไปก็เหมือนหุ่นยนต์นิด ๆ ผมไม่มีความต้องการเฉพาะของตัวเอง ผมรู้แต่ว่า ผมทำบางสิ่ง บางอย่าง ได้ดีกว่าหลาย ๆ คน ทั้งด้านการเรียน กีฬา และศิลปะ แน่นอน ใคร ๆ ก็ชี้เป้าให้ผมเป็นหมอ

    ผมก็เลยสมัครไปดูงานในศิริราช ชีวิตหมอก็สมบุกสมบันดี ไม่เห็นเหมือนที่พ่อเคยบอกว่านั่งสบาย ๆ ในห้องแอร์ ตรวจคน จ่ายยา แล้วก็รับเงิน

    ชีวิตหมอที่โรงพยาบาลศิริราชต้องอึดมาก พี่หมอที่เป็นพี่เลี้ยงเคยเอากระทิงแดงมาดวดกันให้เห็น ๆ ถ้ามีใครถามผมว่าตอนนั้นผมคิดยังไง ผมตอบเลยว่าเฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งนี้แหละที่แํนต้องการ แค่รู้สึกว่าได้เห็นสิ่งใหม่ อย่างว่า ผมไม่เคยอดนอนแบบข้ามวันข้ามคืน และความทรมานนั้นส่งต่อกันด้วยคำพูดไม่ได้

    จนกระทั่งใกล้เวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมถามพ่อว่า ผมอยากเรียนศิลปะ พ่อก็บอกว่า อั๊วะนึกไม่ออกเลย ว่าลื้อจะรวยด้วยการเขียนภาพได้ยังไง ผมเลยขอเลือกครู พ่อก็บอกอีกว่า ลื้อจะเป็นครูไปทำไม เงินเดือนก็น้อย

    สุดท้ายผมเลยเลือกหมอห้าอันดับไปเลย(สมัยนั้นใช้ระบบเอ็นทร้านซ์น่ะครับ) พอเอ็นทร้านซ์ไม่ติดพ่อก็ช็อคสิครับ เพราะผมเลือกตามใจพ่อทุกอย่าง แ่ผมไม่เคว้งหรอก เพราะผมอยู่แค่มัธยมห้าเอง ตอนนั้นสอบเทียบแล้วเอาวุฒิมัธยมหกไปสอบเอ็นทร้านซ์

    ผมก็เศร้านิดหน่อยแหละ ที่ทำให้คนที่บ้านผิดหวัง แต่หลังจากเอ็นทร้านซ์ไม่ติด ผมมีช่วงชีวิตที่น่าจดจำที่สุด คือการเรียนต่อชั้นมัธยมหก มีเพื่อน ทำกิจกรรม ไปปัจฉิมนิเทศ และรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตของตัวเองจริง ๆ

    แต่ แต่ แต่ ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าอยากเรียน หรือยึดอาชีพอะไรกันแน่ การเอ็นท์ไม่ติดตอนม.5 ทำให้พ่อผมอ่อนความคาดหวังลง สุดท้ายก็มาลงเอยพบกันครึ่งทางที่คณะวิทยาศาสตร์ พอประกาศผลว่าสอบผ่าน ผมก็มาเข้ากิจกรรมรับน้อง บอกตรง ๆ ผมผิดคาดมาก ที่ต้องมานั่งเล่นกิจกรรมสันทนาการ เพราะผมคิดว่ามหาวิทยาลัยนั้นน่าจะเป็นโลกของผู้ใหญ่ เลยไม่รู้สึกโตขึ้นเท่าไหร่

    พอเต้นแร้งเต้นกามาก ๆ เข้าก็เริ่มเบื่อ เริมขวางโลก ในใจก็คิดว่า นี่มันอะไรฟะ ไร้สาระเรือหาย เห็นพวกผู้ชายวัน ๆ เอาแต่เกี้ยวสาว พวกผู้หญิงก็แต่งสวย กลายเป็นว่าเหมือนทุกคนถูกปลดปล่อยจากความเครียดที่สะสมมานานในระดับมัธยม ลั้ลลากันใหญ่

    แล้วจิตมารของผมก็กระซิบบอกว่า "รอสอบเสร็จแล้วจะขอดูความลั้ลลาอีกทีก็แล้วกัน" ผมก็เลยใช้ชีวิตเข้าออกห้องสมุด อ่านหนังสือ ทำงานตามอาจารย์สั่ง ใครจะชวนเข้าห้องเชียร์ ชวนไปสันทนาการ ผมไม่ไปทั้งนั้น ง่าย ๆ ผมเบื่อความลั้ลลาไง ผมว่าผมอาจมีปมด้วยทางจิตอะไรสักอย่าง

    เทอมแรกเลยล่อเกรดเฉลี่ยไป 3.75

    พอมองไปรอบ ๆ ตัว ระงมไปด้วยเสียงโอดโอยของคนที่เคยลั้ลลา ก็ว่าอยู่ ชีวิตคนเราไม่ได้สะดวกสบายนี่เนอะ จริง ๆ เกรดผมอาจได้มากกว่านี้อีก ถ้าเพื่อนร่วมกลุ่มที่ทำแล็ปไม่ซิ่วไปกลางเทอมแล้วไม่ยอมส่งงานค้าง ทำให้โดนตัดคะแนน

    ถามว่าผมมีความสุขดีไหม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกว่าได้พิสูจน์ตัวเองว่า การดำเนินชีวิตแบบตึง ๆ มันก็ให้ผลแบบนี้แหละ 

    อ่ะ แป๊บเดียวหมดเวลาเขียนแล้ว ไว้ต่อในหัวเรื่องนี้วันหลังก็แล้วกันนะครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in