ในช่วง 5 สัปดาห์ที่มีโอกาสได้เดินทางเข้าเมืองเพื่อไปทำงาน
จุดศูนย์กลางของการเดินทางในแต่ละครั้ง ตลอด 5 วันทำการต่อสัปดาห์
เราขอปักหมุดลงตรงตำแหน่งสถานีรถไฟหัวลำโพง
เพราะเป็นการนั่งรถเมล์สุดป้ายเพื่อลงมาต่อขบวนรถไฟใต้ดินอีกที
ซึ่งสามารถพาเราขึ้นมายังสถานีแล้วพบกับที่ทำงานได้อย่างพอดิบพอดี
เป็นอยู่อย่างนี้ทั้งขาไปและขากลับตลอดทั้งสัปดาห์จนแทบกลายเป็นกิจวัตร
กิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งนั่นคือการสังเกตผู้คนที่อยู่รอบตัวเรา
ตรงบริเวณหน้าทางเข้าของสถานีรถไฟหัวลำโพง
ทุกวันทำงานตามปกติ เรามักเริ่มต้นออกเดินทางไม่เช้ามากและไม่สายจนเกินไป
ประมาณ 8 โมงครึ่งกำลังดี ให้เสียงเคารพธงชาติอันเป็นกิจวัตรของโรงเรียนใกล้บ้านสิ้นสุดลง
เป็นสัญญาณในการออกจากบ้าน มายืนรอรถเมล์เฉพาะสายที่ป้ายประจำทาง
เพื่อโดยสารยาวต่อเดียวให้ถึงป้ายหัวลำโพง
มีรถเพียงแค่สายเดียว แต่ยังพอโชคดีที่มีทั้งแบบธรรมดาและปรับอากาศ
บางวันมาถึงก็ขึ้นได้เลย บางวันก็รอนานพอสมควร
ความถี่ของการปล่อยรถหารด้วยสภาพการจราจรช่วงตอนเริ่มสายพบว่าขาดตอน
ไม่ว่าจะขึ้นคันไหนสภาพแรกที่เจอก็คือไปยืนเบียดเป็นปลากระป๋องอยู่ดี
ปรับอากาศก็ดีหน่อยแอร์ลงหัว ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากฟังเพลงด้วยหูฟังฆ่าเวลา
กว่าจะได้หย่อนตูดนั่งจริงๆจังๆก็ปาไปแถวพาหุรัด อีกไม่ไกลก็หัวลำโพงแล้ว
แม้เราจะค่อนข้างเดินอย่างจ้ำอ้าวหลังจากลงรถ
เพียงเพราะระยะทางบริเวณป้ายไปจนถึงบันไดเลื่อนเชื่อมลงสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ไม่ไกลนัก
แต่ก็เกิดเป็นจังหวะที่พอให้เราเห็นบรรยากาศโดยรอบของทั้งสองฝั่ง
นั่นคือความโหวกเหวกของวิถีชีวิตในยามเช้า
ฝั่งซ้านเต็มไปด้วยผู้โดยสารขาเข้าและขาออกสลับกับร้านค้าประจำสถานี
ด้านขวามีคิวรถตุ๊กๆที่ดูตั้งใจเชื้อเชิญผู้โดยสารชาวต่างชาติเป็นพิเศษ
ถัดออกไปก็เป็นถนนที่เต็มไปด้วยรถราวิ่งสวนไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ในความเร่งรีบบางครั้งเรากลับไม่รีบเร่ง
ขอแวะหาขนมที่คุ้นเคยกินเสียหน่อยอย่างมิสเตอร์บัน
4-5 ปีที่แล้วพบครั้งแรกก็ในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน
กลิ่นเบเกอรี่หอมเนยชวนให้ติดอกติดใจ
มาในวันนี้หาสาขาได้ยากขึ้น เท่าที่เห็นก็มีแต่ศาลาแดงและหัวลำโพง
วันนั้นเห็นบันไส้แยมสตอเบอรรี่และแยมบลูเบอร์รี่จึงเลี้ยวเข้าไป
กินขนมชมทิวทัศน์วันวุ่นวายในยามเช้าก็แปลกดีไปอีกแบบ(ใครจะรีบแต่กูไม่รีบ)
ทันทีที่ก้าวลงสู่สถานีรถไฟใต้ดินหัวลำโพงไปจนถึงก้าวเข้าสู่ขบวนโดยสาร
ความรู้สึกนั้นคือจุดตัดครึ่งทางของการเดินทาง
และจุดเปลี่ยนของบรรยากาศรอบตัวในทันที
ระยะทางจากหัวลำโพงไปจนถึงศูนย์วัฒนธรรมเท่ากับครึ่งหนึ่งของสายสีน้ำเงินพอดี
ในขบวนหนาแน่นแต่ไม่เบียดเสียดเท่าบนรถเมล์
เห็นได้ชัดว่าโดยรอบค่อนข้างสงบราวกับพาหนะสำหรับอีกมิติ
เพียงพอให้เรามีสมาธิในการฟังเพลงจากหูฟังมากขึ้นในช่วงเวลาไม่นากนัก
ถึงที่หมายในเวลาเข้างาน 10 โมงอย่างทันท่วงที
ทางออกสถานีประตูที่สามพลุกพล่านไปด้วยพนักงานออฟฟิศ
ที่รีบเร่งเข้างานในอาคารละแวกเดียวกัน
กลางวันอย่างกลางคืนอีกอย่างนึง
เลิกงานช่วงค่ำ ด้วยความที่ใกล้จนอยู่ติดกับเอสพลานาดและตลาดนัดรถไฟ
ภาพที่เห็นคือความเนืองแน่นและแออัดของผู้คนที่พึ่งเลิกงาน
และทยอยลงสู่สถานีเพื่อเดินทางกลับบ้านอย่างพร้อมเพียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ทำให้เราต้องถูกเบียดเป็นปลากระป๋องอีกครั้งในขบวนนี้แทน
ความน่าประหลาดใจในชีวิตวัยรุ่นฝั่งธนเกิดขึ้นเมื่อขึ้นมาจากสถานีปลายทางแล้ว
ภาพตรงหน้าคือสถานีหัวลำโพงหลัง 2 ทุ่ม ซึ่งในตัวสถานีปิดให้บริการแล้ว
โซนรอบนอกช่างดูเงียบเหงาและหดหู่ราวกับฉากหนังภัยพิบัติทำนองนั้น
เราไม่เดินจ้ำอ้าวเหมือนอย่างตอนเช้าแล้ว
อาจเป็นเพราะพลังงานที่ใช้มาทั้งวันเริ่มถดถอย
หรือไม่ก็บรรยากาศรอบข้างมันไม่ก่อให้เกิดความรีบเร่งอันใดเลย
สองฝั่งข้างทางคละไปด้วยเศษขยะของรอบวัน
สลับกับผู้โดยสารที่ดูเป็นชาวบ้านอย่างแท้จริง พระสงฆ์ ผู้มีอายุ คนพิการ
คาดว่าเป็นผู้โดยสารตกค้างที่ต้องมาเฝ้ารอการเดินทางในเช้าวันถัดไป
หลายคนเริ่มจัดแจงมุมเหมาะปูเสื่อปูที่นอนหมอนมุ้ง หลายคนหลับลงกับพื้นปูน
สองสามีภรรยามีเพียงกระเป๋าสะพายใบใหม่มาใช้หนุนหัวแทนหมอน
คนจรบางคนปะปนอยู่กับผู้โดยสารตกค้างอย่างแยกไม่ออก
บางคืนเห็นเด็กหลงยืนให้ขอมูลกับเจ้าหน้าที่สถานีด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
บางคืนมีชายแปลกหน้าถูกคุมตัวนั่งอยู่ข้างเจ้าหน้าที่
เป็นภาพที่พบเจอได้แต่หาดูยาก หัวลำโพงที่ไม่โหวกเหวกจอแจ กลับดูไม่น่าไว้ใจอย่างบอกไม่ถูก
เรายืนรอรถเมล์สายเดิมอีกครั้ง เมื่อมาถึงเรากลับได้นั่งริมหน้าต่างรับลมทุกครั้งไป
ไม่มีการเบียดเสียด ทั้งหมดช่างดูกลับตาลปัตร
การสอดส่องวิถีชีวิตอย่างไม่ตั้งใจให้อะไรกับตัวเองอยู่เหมือนกัน
เราไม่ได้ตั้งใจหยุดเดินเพื่อมองไปรอบตัวเอง
เราก้าวย่างอย่างเร่งรีบอย่างนี้เป็นประจำจนดูเหมือนเป็นกิจวัตร
กิตวัตรที่ทำสิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา เจอภาพเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บรรยากาศเมื่อหัววันเป็นอย่างหนึ่ง ตกหัวค่ำกลับพลิกเป็นอีกอย่างนึง
สัมผัสถึงจุดตัด มองเห็นถึงความต่างกันอย่างชัดเจน
หนึ่งวันเราหมดเวลากับการเดินทางไปกลับแล้วประมาณ 3 ชั่วโมงอันทรหด
8 ชั่วโมงทำงานก็ดูดพลังชีวิตไปไม่น้อย วันไหนฟิตก็ไปหาเพื่อนฝูงหรือดูหนังรอบดึก
วันไหนหมดฤทธิ์ก็มองคนนอนที่สถานีหัวลำโพง แล้วบอกกับตัวเองว่ารีบกลับไปพัก
ลิมิตของคนปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นวันใหม่จากที่ใดก็ตาม
สภาพแวดล้อมมักออกคำสั่งไร้เสียงแต่ทำให้เรารู้สึกได้
ต้องเร่งฝีเท้า รู้สึกเหนื่อยใจ รู้สึกอ่อนเพลีย
ขอบคุณเพลงใหม่ของ โอ๊ต ปราโมทย์ ในช่วงนั้นอย่าง มีแฟนแล้ว
ที่ทำให้เราติดงอมแงมอยู่พักหนึ่ง ใช้เป็นplaylistที่เปิดบ่อยระหว่างถูกเบียดเป็นปลากระป๋อง
ด้วยจังหวะที่รวดเร็วและทำนองที่สนุกสนาน ช่วยปลุกความฮึกเหิมก่อนไปทำงานได้ในช่วงเช้า
และเปลี่ยนความอ่อนล้าระหว่างทางกลับบ้านยามค่ำคืนให้เป็นพลังงานเฮือกสุดท้าย
ก่อนถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in