Theme: Love at first sight
Pairing: Chwe Hansol x Boo Seungkwan
Rating: PG15
Warning: เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
◍ ◍ ฟังเพลง My Cherie Amour ของ Stevie Wonder เพื่ออรรถรส
ผมเป็นคนใจเย็น
เย็นเสียจนคนรอบกายบอกให้เพลา ๆ ลงบ้างก็ได้ เพราะในสายตาพวกเขา ผมไม่ต่างอะไรกับตอไม้ทื่อ ๆ อันหนึ่ง มันเป็นตอไม้ที่มีความรู้สึกเหมือนคนปกติทั่วไปแหละ แต่จุดเดือดของมันค่อนข้างสูง ขนาดถูกแฟนสาวคนล่าสุดสวมเขา มันก็แค่พยักหน้า ‘อืม’ เท่านั้น
จนกระทั่งวันนี้ตอไม้ที่ว่านั้นได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าพวกเขาคิดผิด
ผมไม่ใช่คนตอไม้ทื่อ ๆ อีกต่อไป
หลังจากเริ่มระแคะระคายว่า น้องสาวคนเดียวของผมกำลังมีความรัก...
ปกติแล้วโซเฟียกับผมจะมีนิสัยคล้าย ๆ กันคือเล่นโซเชียลบ้าง แต่ไม่ค่อยโพสต์อะไรจริงจัง พวกเราค่อนข้างรักความเป็นส่วนตัว และพิถีพิถันในการเลือกรูปที่จะโพสต์ในแต่ละครั้งมากเป็นพิเศษ
จนกระทั่งบ่ายของวันนี้ น้องสาวของผมได้โพสต์รูปทีเผลอของผู้ชายคนหนึ่งกับแชร์ว่าเธอกำลังฟังเพลง My Cherie Amour ของ Stevie Wonder ในอินสตราแกรมส่วนตัว พร้อมกับแคปชั่นภาษาอังกฤษสั้น ๆ ว่า
‘With my pressure.?’
“ฮันซลฮยองโอเคไหมเนี่ย?” อีชานเอ่ยขึ้นมา คนอายุน้อยกว่าเหลือบมองผมอย่างหวาด ๆ “ซอกจินนูนาส่งอะไรมากวนใจรึเปล่า ผมช่วยได้นะ”
ผมส่ายหน้า แต่ไม่คิดจะอธิบายอะไรให้รุ่นน้องร่วมชมรมฟัง โดยเลือกที่จะจมดิ่งในความคิดตนว่า ก่อนหน้านั้นน้องสาวของผมมีท่าทีผิดปกติอะไรรึเปล่า
คำตอบคือมี
‘ฉันได้อยู่ในชมรมขับร้องด้วยนะ เวิร์น กว่าจะผ่านออดิชั่นได้’
‘อปป้าคนนั้นก็อยู่ชมรมนี้ด้วยนะ ฉันดีใจมาก ๆ เลย .........………………’
ตอนนั้นผมไม่ใส่ใจสิ่งที่เธอพูดเท่าไรนัก เพราะกำลังสนใจกับการเลือกเพลงที่จะเอาไปแสดงงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน x และโรงเรียน y
ผมลืมเล่าไปว่าผมกับโซเฟียอยู่คนละโรงเรียนกัน เพราะโรงเรียน x ที่ผมอยู่จะเน้นไปทางสายภาษา ส่วนโรงเรียน y ที่เธอพยายามอย่างหนักเพื่อสอบเข้าจะเน้นหนักทางสายวิชาการ โชคดีที่โรงเรียนทั้งสองห่างกันไม่มาก ผมเลยเดินไปรับน้องสาวที่โรงเรียน y ได้ในตอนเย็น
ครับ กลับมาที่ความกังวลใจของผมต่อ นั่นแหละครับ... มันจะเป็นไปได้หรือเปล่าว่าอปป้าคนนั้นจะเป็นคน ๆ เดียวกับคนที่โซเฟียลงในอินสตราแกรม
น้องสาวของผมค่อนข้างหัวอ่อน(?) เธอเป็นเด็กดี ถึงบางทีจะกวนประสาทไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นเด็กน้อยน่ารักสำหรับผม ชีวิตของเธอมีแต่เรื่องเรียนและเปียโน ถ้ามีใครคนอื่นเข้ามาในชีวิต คน ๆ นั้นอาจอาศัยความอ่อนต่อโลกของเธอเป็นสะพานเข้าหา
แล้วยิ่งเป็นฝ่ายน้องสาวของผมที่ประทับใจอีกฝ่ายก่อนแล้ว...
จินตนาการของผมลื่นไหลทีเดียวหลังจากคิดได้เช่นนั้น
ด้วยเพราะวันนี้ไม่มีสมาธิเท่าไหร่ ผมเลยขออนุญาตซึงชอลฮยอง (ประธานชมรมประสานเสียงที่ลากผมมาอยู่ชมรมนี้อย่างงง ๆ แล้วจากชมรมประสานเสียงที่เขาเคยขายตรงกับผมในตอนแรก กลายเป็นแหล่งรวมแฟนคลับขนาดย่อมของซานริโอ้และผองเพื่อนไปได้อย่างไรก็ไม่รู้) กลับบ้านตรงเวลา
เพิ่งจะมารู้หลังจากก้าวผ่านธรณีประตูโรงเรียนไม่เท่าไหร่ว่า โซเฟียต้องอยู่ซ้อมร้องเพลงเพื่อเตรียมพร้อมงานเชื่อมสัมพันธ์เหมือนกัน
เธอบอกผมว่าจะซ้อมสองชั่วโมง
และบอกให้ผมกลับไปก่อน
หึ...
ผมเหยียดยิ้มและเอ่ยคำปฏิเสธไปในทันที ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวของเธอจากปลายสาย ผมดื้อแพ่งไปพักใหญ่ ก่อนที่จะได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งลอดมาว่า
‘ให้เขามานั่งรอหน้าห้องชมรมสิ’
‘ได้ค่ะ ซึงกวานอปป้า’ เสียงของเธออ่อนหวานจนน่าขนลุก... ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพก็ลองจินตนาการว่าคุณเลี้ยงแมวหรือสุนัขสักตัว เสียงของแม่เวลาเรียกพวกมันกินข้าวคือเสียงที่โซเฟียใช้เมื่อครู่นั่นแหละ
เธอคุยนัดแนะกับผมสักพักแล้วจึงวางสาย ทิ้งผมให้หงุดหงิดใจกับอากัปกิริยาแปลกประหลาดที่ไม่ชอบมาพากลนี้เพียงคนเดียว
อาการหวงน้องสาวประทุขึ้นอย่างช้า ๆ แต่หนักแน่น
ผมเดินดุ่ม ๆ ไม่สนสายตาที่มองมาอย่างใคร่รู้ของนักเรียนโรงเรียน y เลยแม้แต่นิด อยู่ในโลกของผมที่เปิดเพลงสากลแนวที่ชอบกับห้วงความคิดที่ว่าซึงกวานอปป้านั่นคือใคร
เดินมาตามทางที่นักเรียนคนหนึ่งบอกเรื่อย ๆ กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นลอยมาตามลม (ถึงขนาดลอดเข้ามาในเฮดโฟนของผมได้) เสียงนั้นมาจากห้องที่คาดว่าเป็นห้องชมรมขับร้องของโรงเรียน y ห้องที่โซเฟียบอกให้ผมมานั่งรอนั่นแหละ
ก่อนที่ผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งจะเดินออกมาจากห้องพร้อมรอยยิ้มกว้าง ตะโกนโหวกเหวกคุยกันสักพักก็เหมือนจะรับรู้ถึงตัวตนของผมที่นั่งอยู่หน้าห้อง เขาชะโงกหัวกลับไปในห้องอีกครั้ง
“หนุ่มลูกครึ่งนี่พี่ของเธอใช่ไหม ฮันกยอล?” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยเสียงดัง “เฮ้ ซึงกวาน อย่าซ้อมนานล่ะ พี่ชายน้องเขามารอแล้ว เดี๋ยวแม่งโดนกัดหัวเอา”
ซึงกวานคนนั้—
“ผมเพิ่งได้เพลงไหมเล่าฮยอง! กลับไวไม่ได้หรอก จะแสดงเดือนหน้าแล้ว!”
เออ คือเขาไม่ได้ตั้งใจพูดประโยคนี้แค่กับผู้ชายเสียงดังคนนั้นใช่ไหม...
ช่วงที่เด็กหนุ่มซึ่งคาดว่าจะเป็นรุ่นพี่ (ตะโกน) พูดกับคนในห้อง ร่างโปร่งของโซเฟียก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมา พร้อมขนมกับน้ำผลไม้ที่เอามาให้ผมกินรองท้องไปก่อน
“อยากกลับก่อนก็กลับเลยนะ เวิร์น ซึงกวานอปป้าเองก็อยู่หมู่บ้านเดียวกับเรา เธอไม่ต้องห่วง”
หมู่บ้านเดียวกันซะด้วย
หึ
กลับก็โง่สิครับ
“รอได้หน่า ซ้อมไปเถอะ”
ผมมองแผ่นหลังน้องสาวตัวดีเดินถลาเข้าไปในห้องอย่างร่าเริง
พอผู้ชายเสียงดัง(มาก)กลับไป ทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ ผมเหม่อมองประตูห้องที่ปิดอยู่ด้วยความคิดที่หลากหลาย ใครมันแม่งต้นคิดจัดให้ผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องชมรมที่ห่างไกลผู้คนกัน
และตอนนี้หมอนั่นกับโซเฟียจะทำอะไรอยู่?
ร้องเพลงไปจ้องหน้ากันไปรึเปล่า สร้างบรรยากาศสีชมพูกันงั้นเหรอ ยิ้มหวานให้กันงั้นสิ บ้าไปแล้ว นี่โคตรหยามหน้ากันมาก พวกเขาทำอะไรแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ผมนั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่ตรงนี้นะเรอะ!
เพลงร็อคที่ดังในหูตอนนี้ก็โคตรบิ๊ว อีกนิดผมจะเดินไปกระชากประตูเข้าไปต่อยหมอนั่นแล้ว แต่ก็นะ ผมคงถูกโซเฟียฆ่าทิ้งแน่ถ้าทำแบบนั้นลงไป
พอคิดได้เลยถอนหายใจอย่างปลง ๆ และกลับมาสนใจกับสมาร์ทโฟนในมือกับเพลงที่ฟังอยู่อีกครั้ง
นานเท่าไรไม่รู้ ผมเริ่มรู้สึกเบื่อกับคอนเทนต์ในยูทูป เกมโง่ ๆ ที่ผมเพิ่งเคลียร์ไปได้สามด่าน หรือแม้กระทั่งเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่ได้คาทกของผมจากใครสักคนเพิ่งทักมาคุยหวังดามใจ ผมตัดสินใจกดปิดเพลงและเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง ตั้งใจจะหาที่เดินเล่นแกล้งเซ็งไปพลาง
จังหวะที่ผมลดเฮดโฟนลง
“In a cafe or sometimes on a crowded street,”
เสียงของใครบางคนทำให้ผมชะงักการกระทำทุกอย่าง
“I've been near you, but you never noticed me.”
รวมถึงหัวใจก็เกือบจะหยุดเต้นไปด้วย...
แม้ประตูห้องชมรมขับร้องจะปิดสนิท แต่ห้องเรียนไม่ใช่ห้องเก็บเสียง ผมถึงได้ยินผู้ชายที่คาดว่าจะเป็นซึงกวานคนนั้นได้ค่อนข้างชัดเจน
“That behind that little smile I wore, How I wish that you were mine.”
สำเนียงภาษาอังกฤษแปร่ง ๆ ไม่เป็นอุปสรรคต่อเนื้อเสียงของคน ๆ นี้เลยแม้แต่นิด ยิ่งมีเสียงเปียโนคลอให้จังหวะกับเสียงประสาน La La La ของโซเฟีย ยิ่งสะกดผมจนไม่อาจลุกไปไหนได้ นอกจากนั่งฟังนิ่ง ๆ อยู่ตรงนี้
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง จับใจความจากสำเนียงแปร่ง ๆ ของเขาเพื่อหาชื่อเพลงจนค้นพบว่ามันคือเพลงเดียวกับที่โซเฟียแชร์เมื่อบ่าย
My Cherie Amour
“Oh, cherie amour, pretty little one that I adore,”
กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ผมก็สะพายเป้หมายจะเดินไปเคาะประตูห้องชมรมขับร้องเสียแล้ว
“You're the only girl my h— เสียงเคาะประตูเหรอ?”
ผมได้ยินอย่างนั้นจึงเคาะไปอีกสองสามครั้ง
เหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจอยู่นะ
ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
คนที่มาเปิดประตูให้เป็นผู้ชายที่เตี้ยกว่าผมประมาณหนึ่ง ดวงตากลมดูรั้นคู่นั้นทำให้ผมนิ่งค้างไปพักใหญ่
“เออ...”
น่ารักฉิบหาย
“มีอะไรเหรอเวิร์น?” ไม่ใช่เสียงเขา แต่เป็นน้องสาวของผม เธอขมวดคิ้วมองผมอย่างไม่เข้าใจ ต้องขอบคุณไม่น้อยที่เสียงของเธอทำให้ผมรู้สึกตัว
“อ๋อ พี่ของเธอ?” เขาหันไปคุยกับโซเฟีย เมื่อเห็นเด็กสาวพยักหน้า ถึงหันกลับมาจ้องผมเขม็ง “เห็นฮันกยอลบอกว่านายอายุเท่าฉัน ขออนุญาตไม่พูดสุภาพด้วยนะ”
ผมพยักหน้า
“จะกลับแล้วเหรอ? ขอยืมตัวน้องสาวนายอีกครึ่งชั่วโมงได้มั้ย อย่างน้อยก็ขอให้เธอสอนวิธีออกเสียงคำพวกนี้ให้หมดก็ยังดี”
“ไม่ ๆ เราไม่รีบเลย” โซเฟียหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยินเสียงสองของผม “เราขอมานั่งข้างในด้วยเฉย ๆ น่ะ คือ... ข้างนอกมันมืดแล้ว” เธอหรี่ตาลงไปอีกจนตาแทบจะปิดอยู่แล้ว เด็กสาวรู้ดีกว่าใครว่าความมืดทำอะไรผมไม่ได้ แถมท่าทางอึกอักไม่เป็นธรรมชาติเช่นนี้น่าจะดูไม่เนียนเท่าไหร่ ผมจึงทำได้เพียงยิ้มแหย ๆ ให้เจ้าของร่างตรงหน้า
“จริงเหรอ ไม่ใช่ว่ากำลังวางแผนฆาตกรรมฉันอยู่นะ”
“เฮ้ย ไม่ดิ เราไม่ทำอะไรเธอหรอก แค่อยากมีเพื่อนอยู่ด้วยเฉย ๆ”
“แน่ใจนะว่าจะไม่ดักต่อยฉันทีหลัง”
ใครจะไปกล้ากันล่ะครับ ให้ต่อยเขา ผมยอมต่อยตัวเองดีกว่า
“สาบาน” ด้วยชีวิต “เลยครับ”
เขาเลิกคิ้ว แต่ก็ยอมหลีกให้ผมเดินเข้าไปในห้องโดยดี
ตัวก็หอมให้ตายสิวะ
“ขอบคุณมากนะ”
“อือ ไม่เป็นไร”
“เราเวอร์น่อนนะ... ชเว เวอร์น่อน จะเรียกว่าฮันซลก็ได้” ถึงผมจะไม่เห็นหน้าโซเฟียในตอนนี้ก็พอจะเดาได้ว่าเธอคงจะมองนิ่งและค้างนานมายังผม “เธอ...?”
“อ๋อ ฉัน บู ซึงกวาน ยินดีที่ได้รู้จัก”
ยินดีมาก ๆ เลยล่ะครับ
ระหว่างทางเดินกลับบ้านหลังจากที่ผมและโซเฟียเดินไปส่งซึงกวานที่บ้านแล้ว บรรยากาศระหว่างเราสองพี่น้องค่อนข้างเงียบกว่าปกติ
มีเพียงสายตารู้ทันของน้องสาวตัวดีเหลือบมองผมเป็นระยะ ๆ
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด โซฟ”
“รู้ด้วยเหรอว่าฉันคิดยังไง?”
ผมส่ายหน้ากับท่าทางแบบนี้ของเธอ
ใครไม่รู้ก็โง่แล้ว
“มันไม่ใช่แบบนั้นเลย”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แค่ขอเบอร์กับคาทกของเขาเผื่อติดต่อฉันไม่ได้ เยี่ยมมาก เยี่ยมจริง ๆ” เธอแสยะยิ้ม “แต่... ไม่ชอบก็ดีแล้วล่ะ เพราะฉันน่ะชอบเขา ชอบก่อนเธอด้วย”
“เหอะ” ผมไม่แปลกใจกับคำตอบนี้เท่าไหร่ เพราะช่วงที่อยู่ห้องชมรม น้องสาวของผมแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าชื่นชมซึงกวานมากเพียงใด บทสนทนาจะมีประโยคจำพวก ‘ซึงกวานอปป้าเก่งมากเลยค่ะ’ ‘เพราะมากเลยค่ะ’ ‘ดีมาก ๆ เลยค่ะ’ ไม่ขาดปาก ทั้ง ๆ ที่โซเฟียเป็นพวกปากหนักไม่แพ้ผม
“ไม่ต้องมาเหอะกับฉัน ถ้าฉันชอบเขาจริง ๆ เธอห้ามไม่ได้อยู่แล้ว”
“ก็เขาดูไม่เหมาะกับเธอ และเธอก็ไม่ได้ชอบเขาแบบนั้น”
“เหอะ”
“ฉันรู้ก็แล้วกัน” พอเห็นเด็กสาวจะอ้าปากเถียง ผมรีบต่อบทสนทนาทันที “แถมเขายังสูงกว่าเธอแค่นิดเดียว”
“หืมมม?”
ผมถอนหายใจทันทีที่เห็นรอยยิ้มของเธอ
“แล้วเขาเหมาะกับใคร เธอเหรอ?”
ฉิบหาย
ผมพยายามข่มอาการพิกลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดสิบเจ็ดปีที่มีชีวิตมาโดยใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ไม่สนใจท่าทีกวนประสาทของโซเฟียที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้
“แฟนคนก่อนเคยเขินเขาขนาดนี้ไหมเหอะ”
ไม่เลย ผมตอบในใจ จะว่าไงดีล่ะ ความสัมพันธ์ในอดีตของผมไม่ค่อยหวือหวาเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะคนที่เริ่มต้นความสัมพันธ์ก่อนไม่ใช่ผม ด้วยเพราะเป็นคนขี้สงสารและพวกเธอก็น่ารักดีเลยตกลงคบไปทั้งที่ไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่ พอคบกันไประยะหนึ่ง ผมถึงค่อย ๆ เรียนรู้ว่าไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปไกลกว่านี้ได้อีก แต่ก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจ การกระทำของผมที่แสดงออกไปจึงน่าเบื่อในสายตาพวกเธอ เหตุการณ์ที่ดูเหมือนว่าผมถูกนอกใจจึงเกิดขึ้น
“เถียงไม่ออกล่ะสิ”
“เหลวไหลหน่า” แต่เรื่องอะไรผมจะยอมรับง่าย ๆ กัน รู้ถึงไหนอายถึงนั่น หมายถึงดันมามีความรู้สึกใจเต้นตึกตักคล้ายเด็กสาววัยแรกแย้มกับคน ๆ หนึ่ง เพียงเพราะชอบเสียง(และดวงตาและหน้าตาและรูปร่างบวกกลิ่นหอม ๆ ไปด้วยอีกหนึ่ง)ของเขา “ไม่หิวรึไง เดินเอื่อยแบบนี้อีกกี่ชาติจะถึงบ้าน”
“แล้วแต่เลยจ้า” ผมหรี่ตามองน้องสาวตัวดีที่ไม่วายพูดจาประชดประชันตามนิสัย ดวงตาเป็นประกายวิบวับจ้องผมกลับแบบนี้เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก “อย่าให้รู้ว่านะว่าแอบงุบงิบคุยกับเขา”
“ปากดีนักนะ” ผมเอ่ยพลางขยี้หัวทุยของโซเฟียจนผมที่เจ้าตัวหวงแหนยิ่งกว่าอะไรยุ่งเหยิง อดคิดไม่ได้ว่าช่วงบ่ายที่อวยเด็กคนนี้(ในใจ)นักหนานี่ไปเอาข้อมูลมาจากที่ไหนกัน
.
.
.
chwenotchew
ซึงกวาน เราเวอร์น่อนนะ
เธอพอจะเห็นพวงกุญแจ BB-8 มั้ย ตัวกลมๆสีส้มๆ
เราหายังไงก็ไม่เจอ ถามโซเฟียก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจว่าตกที่ชมรมเธอรึเปล่า
End.
◍ ◍ talk with me free wifi :
- BB-8 คือน้องหุ่นตัวกลมๆสีส้ม ตัวขโมยซีน (สำหรับเรา) จากสตาร์วอร์ตั้งแต่ภาค force awaken นะคะ
- จงวิเคราะห์ว่าน้อง BB-8 หายจริงหรือไม่ (10 คะแนน)
- ชื่อเรื่องมาจากตำนาน siren ปีศาจสาวครึ่งคนครึ่งปลาครึ่งคนครึ่งนกแล้วแต่ที่มา ล่อลวงนักเดินเรือด้วยเสียงร้องที่ไพเราะ นั่นแหละค่ะ ยืม element มาเขียนฟิคฟลัฟฟี่
- ธีม love at first sight ที่ไม่ใช่ first sight ซะทีเดียว
- มีอะไรติชมกันได้ที่ #kurofics ในทวิตภพหรือจะคอมเมนต์ตรงนี้ก็ได้นะคะ น้อมรับฟังเสมอ
- enjoy reading ♡
• แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 (01.12.19)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in