สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่นเลยเราขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจเข้ามาอ่านเรื่องราวของเรานะคะ ตอนนี้เราอายุ 18 ปี ค่ะกำลังจะ19เร็วๆนี้ เราเขียนไดอารี่นี้ขึ้นมาเพราะเราไม่ไหวแล้วจริงๆ ต้องการระบายและอยากมีคนรับฟังก็พอ
ขอเล่านำตั้งแต่สมัยอยู่ประถมเลยนะคะ เรื่องราวช่วงนี้อาจจะเบื่อนิดหน่อยช่วยทนอ่านนิดนึงนะคะ?
เราไม่ใช่คนเก่งแต่เป็นคนหัวไว (คุณครูเคยพูดไว้) เวลาสอบเราจะได้อันดับต้นๆของห้องเสมอ จนกระทั่งเข้าม.ต้นเราได้เลื่อนห้อง ได้เข้ามาอยู่ในห้องคิง ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองพราวมาก เก่งมากจนถึงขั้นสอบเข้าห้องนี้ได้ แต่ก็นั่นแหละค่ะเราก็แค่กบในกะลาตัวหนึ่งที่คิดลำพองในความรู้ของตัวเอง
ในห้องนั้นทุกคนแข่งขันกันสูง คงเพราะมีความเป็นห้องคิงและมีแต่คนเก่งๆ พอเราเข้ามาในห้องนี้พบว่ามีคนเก่งกว่าเรามากมาย แต่เราก็ยังรักษาอันดับเวลาสอบไว้ได้ เราขยันขึ้นเพราะอยากให้ครูภูมิใจในตัวเรา และความขยันนี้ทำให้เราเก่งขึ้นจริงๆ มันทำให้ความลำพองในตัวเรามีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เนื่องจากเราอยู่ในห้องนั้นมา 3 ปี บรรยากาศแข่งกันเรียนได้หล่อหลอมเราให้เป็นคนที่ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเป็นคนที่ชอบแข่งเรียนเป็นคนที่ชอบเอาความรู้ไปข่มคนอื่น
พอจะสอบเข้าม.ปลาย ช่วงเวลาก่อนสอบเข้านั้นเราเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นงานอดิเรก เพราะเราชอบญี่ปุ่นมาก ตอนนั้นเราคลั่งทุกอย่างที่เป็นญี่ปุ่นเวลาเซนเซย์มี test ก็จะได้คะแนนดีทุกครั้ง จนเกือบจะตัดสินใจเข้าศิลป์ญี่ปุ่นของรร.นึง แต่ในตอนนั้นทุกคนรอบตัวเราบอกว่า ‘เข้าสายวิทย์มีโอกาสเลือกคณะตอนมหาลัยได้เยอะกว่านะภาษาญี่ปุ่นเรียนพิเศษไปเรื่อยๆก็ได้นี่’ ตอนนั้นเราไม่ได้คิดเยอะ ด้วยความที่ทั้งพ่อแม่และคนรอบๆตัวพูดถึงแต่ข้อดีของสายวิทย์ เราก็เลยสมัครเข้าสายวิทย์ของรร.ชื่อดังในระดับจังหวัดซะ
ด้วยความคิดและสังคมตอนม.ต้นทำให้เราฝังใจและคิดว่ารร.ที่เราเรียนอยู่ตอนนี้ยังไม่ดีพอยังไม่ได้มาตรฐานแถมยังเป็นเอกชนค่าเทอมก็แพงอีก เราเลยตั้งเป้าว่าจะสอบเข้ารร.รัฐชื่อดังให้ได้ แต่รร.ที่เราสอบเข้าเป็นรร.กึ่งรัฐกึ่งเอกชนซึ่งค่าเทอมไม่แพงมากพ่อแม่เรายังพอจ่ายไหว
จนกระทั่งวันประกาศผลสอบ ผลออกมาคือ เราติด ’สำรองอันดับรองสุดท้าย’ มันทำให้เราสิ้นหวังมาก เพื่อนในห้องเราที่ดูไม่เก่งติดไปสองสามคนทำให้เราเอามาเปรียบเทียบอีกแล้วคุณครูก็ยินดีกับคนที่สอบติดอย่างออกนอกหน้าแต่กับเราที่ติดสำรองไม่มีคำปลอบใจสักนิดในใจเราตอนนั้นริษยาและผิดหวังในตัวเองทีี่สุด แต่นับว่าโชคดีของเราที่ปีนั้น รร.นี้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง ก็เลยรับนักเรียนสำรองทั้งหมดเพราะกลัวว่านักเรียนจะไปเข้าที่อื่นเสียหมด เราเลยได้เข้ามาเรียนที่นี่
ที่แห่งนี้คือโลกใบใหม่ใบกว้าง แต่พออยู่ๆไปก็พบว่าไม่กว้างเสียเท่าไหร่ แต่มันก็กว้างกว่าที่เก่าที่เราจากมาเยอะเหมือนกัน ที่นี่ให้ประสบการณ์เราหลายอย่างแบบหลายอย่างจริงๆ ทำให้เรารู้เลยว่าดีแล้วที่ออกมาจากกะลาจนกระทั่งตอนนี้เราก็ยังคิดเหมือนเดิมว่าไม่เคยเสียใจเลยที่เบือกเรียนที่นี่ รร.นี้สังคมผู้ใหญ่มากขึ้นกว้างมากขึ้น แต่ก็แข่งกันเรียนมากขึ้นเหมือนกันเพราะเป็นรร.ที่มีขื่อเสียง คนเก่งๆก็ต้องมีอยู่แล้วจะแข่งกันก็ไม่แปลก
ตอน ม.4 เรากดดันมากๆซึ่งตอนนั้นโดนบรรยากาศให้ห้องเรียนบังคับบวกกับความขยันที่ติดตัวมาจากที่เก่าทำให้ตอนสอบเราทำได้โอเคอยู่แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นซึ่งก็เหมือนเดิมเราเปรียบเทียบตัวเองอีกแล้ว แล้วเราก็พบอีกว่าสายวิทย์นี่เรียนยากกว่าที่คิดจริงๆและในตอนนั้นที่บ้านอยากให้เรียนหมอก็เลยตั้งเป้าว่าจะเข้าหมอตั้งแต่ม.4 ซึ่งเป้าที่เราตั้งไว้ก็แค่โดนค่านิยม สังคมและทีีบ้านปลูกฝังมาเรื่อยๆทำให้คิดไปเองว่าตัวเรานั้นอยากเข้าหมอจริงๆ ซึ่งมันไม่ใช่แล้วเราก็มารู้ใจตัวเองทีหลังก็ตอนที่มันสายไปแล้ว
พอขึ้นม.5 เราก็ยังรักษาความขยันมาได้ตลอดทำให้คะแนนเราไม่ตก แต่เพราะสายนี้เรียนหนักมากเราเริ่มขอเงินแม่ไปเรียนพิเศษ ที่เรียนภาษาญี่ปุ่นมาตั้งแต่ม.ต้นก็ดรอปไปเพราะเราทำ 2 อย่างพร้อมกันไม่ไหว ตอนนั้นคิดหนักมากเลยนะว่าจะหยุดหรือไม่หยุดเรียนดี จนมาถึงวัน test ภาษาญี่ปุ่นอีกครั้ง คะแนนเราแย่แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเราได้ D ซึ่งเป็นคะแนนที่แย่มากๆสำหรับเซนเซย์เราเลยตัดสินใจได้ง่ายขึ้นคือดรอปก่อนไม่ไหวแล้ว และตอน ม.5 นี้เราชอบการสอนของอาจารย์ปีนี้มากบวกกับอาจารย์ปล่อยเกรดมากขึ้น เราสอบชีวะได้ท็อปของสายชั้นทำให้ลำพองขึ้นไปอีก คิดว่าตัวเองเก่งแล้วไม่ต้องพยายามแล้วฉลาดแล้วยังไงตอนสอบเข้าก็ติดพยายามนิดๆหน่อยก็น่าจะได้ จนกระทั่ง...จุดเปลี่ยนชีวิตของเรา
เขาว่า ม.6 คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งเราเห็นด้วย
เราขี้เกียจขึ้น ความเหนื่อยล้าที่สะสมจากตอนม.4-ม.5ทำให้เราปล่อยตัว อาจารย์ที่สอนปีนี้เราก็ไม่ชอบวิธีสอนของเค้า จะว่าเราอคติก็ได้เราพยายามเปลี่ยนทัศนคติแล้วแต่มันไม่ช่วยเลย หนักเข้าไปอีกคือเรามีแฟน เราคิดว่าการมีแฟนของเราตอนนั้นคือเรื่องที่ผิดพลาดทีีสุดในชีวิต ในตอนนั้นเราเป็นคนที่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก เรามีปัญหากันจนเลิกกัน เราเลิกกันตอนเทอม 2 ซึ่งใกล้จะสอบเข้ามหาลัยแล้วตอนนั้นจิตใจเราไม่อยู่กับตัว เรียนก็ไม่มีสมาธิเรียน เราไปเรียนพิเศษเหมือนให้มันจบๆไปโดยที่ไม่ได้ใส่ใจเนื้อหาที่เรียนเลย กวดวิชาอีกที่เราก็ไปเรียนน้อยลง ตอนนั้นเราเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าเล็กน้อย เกรดเราตกตอนนั้นทุกอย่างดูแย่ไปหมด รู้เลยว่าเรายังเด็กประสบการณ์ต่างๆก็ยังเจอไม่มากพอ พอมองกลับมาแล้วคือดูโครตงี่เง่าโครตโง่ จากเหตุการณ์ช่วงม.6ครั้งนี้ได้ส่งผลกับเราครั้งใหญ่มากๆ เราคะแนนโอเน็ตไม่ถึง 300 ซึ่งเราได้ 299 (มันน่าเจ็บใจตรงขาดอีก 1 คะแนนนี่แหละ) เราเลยยื่นกสพท.เพื่อสอบเข้าหมอไม่ได้ แล้วพอคะแนน 9 วิชาสามัญออก คะแนนเราแย่ถึงขั้นสุดแบบแย่มากๆถึงขั้นที่ให้มองถังขยะยังดีกว่ามองคะแนนอันนี้ ตอนนั้นค่านิยมทีีโดนปลูกฝังให้เข้าหมอก็ยังไม่หมด เราเลยตัดสินใจซิ่ว เพื่อเข้าหมออีกปีโดยการหยุดไปเลยเฉยๆระหว่างนั้นก็เรียนกวดวิชาไปด้วย
ซึ่งเราตัดสินใจซิ่วนานเกินไปทำให้เสียเวลาไปเกือบครึ่งปีโดยใช่เหตุ และเหตุการณ์ซิ่วนี้คือปีที่มาผ่านมานี้เอง เมื่อปีที่แล้วที่บ้านเรามีปัญหาทางด้านการเงินหนักมาก ทำให้การซิ่วครั้งนี้ลำบากกว่าที่คิด เราเลยเริ่มหางานพาร์ทไทม์ทำเสาร์อาทิตย์ ทำให้ลดทอนเวลาอ่านหนังสือของเราลงไปอีกเพราะเราทำตั้งแต่เข้ายันมืดกลับมาห้องก็หมดแรงสลบคาฟูกแล้ว แต่จากการที่เราไปทำงานพาร์ทไทม์เราได้เจอคนมากมายและผู้ใหญ่กว่าเราทั้งนั้น เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันทำให้เราได้อะไรๆกลับมาเยอะแยะเค้าสอนเราและเราได้เรียนรู้หลายๆอย่างจากพวกเค้า ถึงการทำงานครั้งนี้จะทำให้เสียเวลาไปพอสมควรแต่เราไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจทำงานพาร์ทไทม์ครั้งนี้มันได้อะไรกลับมาเยอะมากจริงๆ
และช่วงเวลานี้เองก็สำคัญเหมือนกันเราได้พบสิ่งที่อยากจะทำจริงๆสักที ’เราอยากเป็นสัตวแพทย์’ ตั้งแต่เด็กเราคลุกคลีอยู่กับสัตว์เราสบายใจเวลาอยู่กับพวกมัน เราอยากรักษาสัตว์ที่ไม่ใช่แค่หมาแมวกระต่ายทั้งสัตว์ป่า สัตว์สงวน สัตว์ในสวนสัตว์เราก็อยากทำ ความฝันเราอยากเปิดคลินิกเล็กแถวบ้านหรือในเมืองก็ได้เพราะเดี๋ยวนี้คนเมืองก็เริ่มเลี้ยงสัตว์แปลกๆเยอะขึ้นมันคงจะดีไม่น้อยถ้ามีสัตวแพทย์ที่ถนัดด้านนี้เปิดคลินิกอยู่แถวนั้น ความคิดอาจจะดูง่ายๆเด็กๆ แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเราเคยเลี้ยงหนูแฮมเตอร์เมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นขามันติดอยู่ในกรงขามันเริ่มอักเสบเลือดออกและเอาออกไม่ได้ เราเลยตัดสินใจจะพาไปหาหมอ ซึ่งบ้านเราอยู่ในเมืองใหญ่ รพ.สัตว์ดีๆก็มีแต่เราโทรไปที่ไหนๆก็บอกว่าไม่มีสัตวแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ค่ะ เราท้อแท้มากจนต้องไปรพ.เอกชนแพงๆซึ่งหมอที่เขี่ยวชาญด้านนี้จะเข้าเวรตอนตี5 ซึ่งตอนเราโทรไปคือ 5 ทุ่ม มันนานมากนานเกินไป เรารอจนถึงเวลานั้นก็พาน้องไปหาหมอ หมอบอกน้องต้องตัดขาทิ้ง พอตัดขาน้องไปได้ไม่นานน้องก็จากเราไป มันทำให้เราคิดว่าถ้าเราสามารถช่วยสัตว์พวกนี้ได้บ้างก็คงดีและต้องไม่ใช่แต่หมาแมวเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อกลางปีที่แล้ว หมาเราเป็นโรคหัวใจ โรคนี้ในสัตว์จะรักษาไม่หายต้องให้ยาตลอด เราพาน้องไปรักษาที่คลินิกแถวบ้าน เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราตัดสินว่าอยากจะเรียนอะไรได้เร็วขึ้น เรานับถือสัตวแพทย์คนนี้มากๆ เขาทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจมากจริงๆ ระหว่างที่เขารักษาหมาเรา เขาสันนิษฐานว่าจากอันนี้ๆค่าเลือดอย่างนี้ๆจะเป็นแบบนี้จนผลออกมาเป็นโรคหัวใจ เราเพิ่งรู้ตัวว่าจ้องหมอนานไปความเลื่อมใสเกิดขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนมีความคิดเข้ามาในหัวว่า ‘อยากเป็นแบบหมอคนนี้บ้างจัง’ นั่นแหละที่ทำให้เราตัดสินใจอยากเรียนสัตวแพทย์
กลับมาที่เรื่องเรียนและสอบเข้าต่อนะคะ
จากทีี่กำหนดไว้ว่าจะเรียนพิเศษอะไรที่ไหนบ้างก็ตัดออกทีละอย่างๆเพราะเงินไม่ค่อยมี จนเหลือแค่วิชาที่หนักจริงๆที่ต้องเรียน ซึ่งความผิดพลาดได้เกิดขึ้นอีกครั้งเราดันไปตัดคณิตกับฟิสิกส์ออกเพราะค่าเรียนแพงเกินไปและคิดว่าแค่ทำโจทย์ไปเรื่อยๆก็คงได้เอง เราคิดน้อยไป คิดน้อยเกินไปจริงๆ เราประมาทวิชาที่ไม่ถนัดซึ่งก็คือสองตัวนี้
จนกระทั่งเข้าศักราชใหม่จนมาถึงวันสอบวิชาสามัญ พอเราออกจากห้องสอบคณิตกับฟิสิกส์มาคือเราสิ้นหวังอีกเป็นครั้งที่2 มันแย่มาก คณิตเปลี่ยนแนวที่ฝึกโจทย์เก่ามาไม่ได้ช่วยอะไรเลย ส่วนฟิสิกส์คือเราไม่ถนัดเนื้อหาพื้นฐานอยู่แล้วแถมฝึกโจทย์น้อยอีก มันแย่มากๆ ตอนนี้คะแนนยังไม่ได้ประกาศแต่เราคิดว่ามันแย่มากแน่ๆ เราตัดสินใจพลาดไปตั้ง 2 ครั้งในชีวิต มันทำให้ความฝันเราริบหรี่มากๆ เราไม่ได้กังวลวิชาอื่นเพราะเราทำได้ ฟิสิกส์ก็ไม่ได้น่ากังวลเท่าคณิตเพราะมันเข้าไปรวมกับชีวะและเคมีเป็นคะแนนของวิทย์ แต่เกณฑ์คะแนนในการยื่นกสพท.เพื่อสมัครเข้าสัตวแพทย์ คณิตศาสตร์ ต้องผ่าน 30% หรือ 30 คะแนนขึ้นไปถึงจะมีสิทธิ์ยื่นสมัครสอบได้ ปีที่แล้วเราได้ 22 ซึ่งมันแย่มากจริงๆ ปีนี้เราก็ทำได้ไม่ดีเลยไม่มั่นใจเลยสักนิด ’พลาด‘ แบบพลาดจริงๆที่ไม่เลือกเรียนพิเศษวิชานี้ ประมาทมาก ตอนนี้เราเครียดมากกลัวว่าจะไม่ผ่าน 30 คะแนนมากๆ
ระบบสอบเข้ามหาลัยมีทั้งหมด 5 รอบ ซึ่งไอเจ้าเกณฑ์ คณิตต้องผ่าน 30% นี้เป็นของรอบ 3 เป็นระบบของกสพท. ส่วนรอบ 4 ใช้คะแนนแกทแพท ซึ่งมันทำให้เราคิดมากอีกแล้ว เราทำแกทแพทของปีนี้ได้ไม่ดีซึ่งคะแนนออกเมื่อวันก่อน คะแนนเราแย่กว่าปีที่แล้วอีก เพราะเราไม่ได้เตรียมสนามนี้มาเลย เนื่องจากตอนนั้นเวลาเราเหลือน้อย มันทำให้เราต้องเลือกว่าจะทุ่มเตรียมตัวสอบรอบไหน เพราะคนที่จะยื่นหมอ/สัตวแพทย์/เภสัชอะไรพวกนี้มหาลัยจะรับที่รอบ3 มากที่สุดให้ ดังนั้นถ้าเราจะทุ่มรอบนี้ก็ต้องอ่านไป 7 วิชาสามัญ + 3 พาร์ทของวิชาเฉพาะแพทย์ ก็จะเป็น 10 อย่างที่เราต้องเครียมตัวสำหรับสอบครั้งถัดไป ซึ่งรอบนี้รับมากสุดและโอกาสติดมากที่สุดเราเลยตัดสินใจทุ่มที่รอบนี้ก็เลยตัดสินใจเน้นอ่านแค่ 10 อย่างนี้ จนกระทั่งอย่างที่เห็นเราประมาทและตัดสินใจพลาด ความวิตกเลยมาอยู่ที่วิชาคณิตกับฟิสิกส์...
เราเครียดหนักกว่าปีที่แล้ว เครียดที่สุดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรานอนไม่หลับ นอนเช้าทุกวันตื่นอีกทีก็เกือบเย็น กลายเป็นเรานอนมากไป เราไม่ค่อยอยากอาหารเวลาพ่อโทรถามว่าจะกินอะไรจะซื้อเข้าไปให้เราก็จะตอบว่าไม่มีเลย กลายเป็นเรากินแค่มื้อเดียวต่อวัน มันทรมาณมากจริงๆ ภายนอกเราดูนิ่งมากๆจนไม่เหมือนคนกังวลแต่ข้างในเราพังแบบสุดๆ แต่ปีนี้เราเตรียมทางเลือกสำรองไว้ พยายามคิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยไก็ไม่เคว้งเหมือนปีที่แล้ว ทางเลือกสำรองเราคือเอกญี่ปุ่นนี่แหละ แต่ด้วยความที่หยุดเรียนภาษาญี่ปุ่นไปแล้ว 2ปีแถมไม่ได้ทบทวนต่อเนื่อง ไหนจะแบ่งเวลาไปให้พวกวิชาวิทย์ๆหมดทำให้คะแนนแพทญี่ปุ่นออกมาไม่ดีเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะโชคดีหน่อยที่ปีนี้ออกสอบง่ายขึ้น แต่ก็ทำให้เราพลาดมหาลัยดีๆสำหรับคณะนี้ไป เราไม่ได้บอกว่ามหาลัยอื่นไม่ดี ทุกที่ดีเหมือนกันหมด แต่เครดิตหลังจบมาก็สำคัญอาจารย์เราเคยพูดไว้ เราอยากปลอบใจตัวเองและพ่อแม่ว่าถึงเราไม่คิดสัตวแพทย์แต่เรายังได้ม.ดังๆของคณะภาษานี้นะ
ตอนนี้เวลา ตีสองสามสิบนาที
เราเขียนไดอารี่มาจนถึงตอนนี้เพราะอยากระบายจริงๆ มันคงจะดีถ้ามีพวกคุณคอยรับฟังเรื่องโง่ๆพวกนี้ เราเครียดมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นคงเพราะปีนี้เราหาตัวเองเจอแล้ว ความอยากเรียนเลยมีมาก รวมทั้งความกลัวบวกกับความผิดหวังก็จะมากขึ้นตามเหมือนกัน ซึ่งเราผิดหวังในตัวเองมาก มากจริงๆ แต่มันผ่านมาแล้วเราพยายามปลอบใจตัวเอง และเราแก้ไขอะไรไม่ได้ เราแค่อยากหาทางปลดปล่อยความเครียดเหล่านี้ เราลองทำแบบทดสอบอาการของเราตอนนี้คือเราเป็นโรคซึมเศร้าปานกลาง แต่เราว่าเราไม่ได้หนักขนาดนั้น ถ้าวันไหนเราประสาทกินจนไม่ไหวจริงๆเราคงต้องพบจิตแพทย์อย่างเลี่ยงไม่ได้
*เพิ่มเติมนะคะ อาการที่เราชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเราเลิกได้แล้วค่ะ เพิ่งเลิกได้เมื่อตอนสอบเข้าปีที่แล้ว คือเราเสียใจ อาจจะไม่หนักเท่าตอนนี้แต่จากความล้มเหลวคราวนั้นอย่างน้อยก็ให้บทเรียนเรามา การเปรียบเทียบกับคนอื่นมีแต่จะกดดันและบั่นทอนจิตใจตัวเอง ยิ่งสภาพจิตใจเราไม่ดีเราก็จะยิ่งไม่มีสมาธิและเรียนไม่เข้าใจมากขึ้น ถ้าอยากจะเทียบจริงๆคงต้องเทียบกับตัวเองแข่งกับตัวเอง เราต้องดีกว่าตัวเราคนเดิมสิ ถึงจะดี:) *
จากบทเรียนทั้งชีวิตจนมาถึงตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ใช่คนเก่งเลย เราแค่ขยันเท่านั้นเองแล้วพอขาดความขยันไปมันทำให้เราเป็นแบบที่เห็นทุกวันนี้ มันคือความล้มเหลวในชีวิต มันอาจจะยังไม่ที่สุดเพราะอนาคตมันต้องมีมากกว่านี้แน่นอน แต่ก็นับว่าเป็นความล้มเหลวนะ เราไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเลย ถึงในใจจะบ่นมาเป็นล้านครั้งก็ตาม เพราะแม่ชอบกรอกหูเสมอว่าป๊าม๊าทำงานเหนื่อยกว่านี้อีกทำไมไม่คิดบ้าง มันทำให้เราไม่กล้าพูดคำนี้ออกมา จนกระทั่งเพื่อนของเราคนนึงพูดว่า เราก็เป็นคนนะ คนคนนึงก็เหนื่อยเป็นมันอาจจะไม่หนักเท่าคนอื่นแต่เหนื่อยก็คือเหนื่อย ปลดปล่อยออกมาบ้างเถอะ ตอนนั้นเองที่เราปล่อยจริงๆคือปล่อยทุกอย่าง พร่ำคำว่าเหนื่อยเยอะมาก คือเราไม่ไหวแล้วจริงๆ...
ถ้าคะแนนคณิตเราไม่ถึง 30 มันก็คงถึงจุดจบของความฝันเราแล้วแหละที่อยากเรียนสัตวแพทย์ รอบ4ก็ยื่นไม่ได้เพราะทำเราคะแนนแกทแพทได้ไม่ดี แต่ยังเหลืออีกที่นะที่เปิดรับนักศึกษาคณะสัตวแพทย์นอกรอบแถมยังผ่านการรับรองจากสัตวแพทย์สภาด้วย คือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร แต่ที่นี่เป็นม.เอกชน ซึ่งแน่นอนว่าค่าเทอมแพง พ่อแม่เราจ่ายไม่ไหวอยู่แล้ว ไหนจะค่าหอค่าจิปาถะ ขนาดตอนซิ่วยังลำบากเรื่องเงินค่าเรียนพิเศษเลยนับภาษาอะไรกับค่าเล่าเรียนพวกนี้ ขนาดเพื่อนเราที่เรียนเอกชนมีพ่อแม่เป็นข้าราชาการ การงานมั่นคง ยังมาบ่นกับเราเลยว่า แค่ค่าเทอมก็แทบจะไม่มีจ่ายแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่แต่ละคนจะมีทางเลือกที่ต่างกันออกไป ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น เรามีทางเลือกไม่มากอย่างน้อยทางสำรองที่เราวางไว้มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ภาษาญี่ปุ่นเราเรียนมาตั้งแต่เด็กถึงจะหยุดไปแล้วเกือบสองปีก็เถอะนะ เราชอบมัน ซึ่งนั่นก็โอเค แต่ก็นั่นแหละเราแค่ชอบเฉยๆ มันก็เหมือนงานอดิเรกทั่วๆไป ส่วนอาชีพในอนาคต เราก็ยังไม่ได้คิดเลย...
ตัวเรานั้นพลาดหลายอย่างจริงๆ ได้แต่เก็บไว้เป็นบทเรียนในอนาคต ความผิดพลาดในปีที่ผ่านมาหลักๆคือ เราแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก เราขาดวินัยและความขยันในการทำเรื่องบางอย่างให้ประสบความสำเร็จ เราประมาทเกินไปในบางเรื่องเราต้องคิดให้เยอะกว่านี้ต้องรอบคอบกว่านี้ เหมือนคำสอนที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าที่ว่า ‘อัปปมาท’ นั้นแหละค่ะ
มาถึงตรงนี้ ขอบคุณทุกคนจริงๆนะคะทีี่อ่านจนจบ
มาถึงจุดๆนี้คือท้อจริงๆค่ะแต่เราจะไม่ยอมแพ้ มันทั้งเครียดและกดดัน แต่ก็ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่านและรับฟังกันค่ะ?
ไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้เขียนจะเป็นอย่างไรบ้างนะคะ
อยากบอกว่าเป็นกำลังใจให้นะค่ะ
เป็นเด็ก 64 ปีนี้ค่ะ เป็นรุ่นน้องคุณผู้เขียน 2 ปีรึเปล่าคะ
ด้วยความเครียดเรื่องคะแนน ที่เพิ่งสอบไป เททั้งกายทั้งใจให้แกทแพท แต่พอมันเปลี่ยนแนว ทำในห้องสอบไม่ได้มาก อย่างเคว้งเลยค่ะ จึงมาหากระทู้อ่าน จนเจอกระทู้นี้ค่ะ
ขอบคุณที่มาแบ่งปันกันนะคะ