โลกของผมมันมืดมนมาตลอด นี่ไม่ใช่คำเปรียบเปรย แต่ผมเป็นคนตาบอด ไม่เคยสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าแสงสว่าง
ไม่ อย่าทำหน้าอย่างนั้น ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาสงสาร ทุกวันนี้ผมเองก็มีความสุขดี
ผมคลำไปตามผนังสากมือ เมื่อพบเจอกับสวิตช์จึงเปิดมันขึ้นมา แสงไฟสามารถมอบความรู้สึกปลอดภัยให้แก่ผมเหมือนที่พวกคุณหลายคนเองก็เป็นแม้ผมจะไม่สัมผัสถึงมันก็ตาม
ผมยังคงเดินต่อไป เปิดตู้เสื้อผ้าออก และหยิบชุดที่เคยมีคนชมว่าผมใส่แล้วดูดีขึ้นมาสวม
"คุณแอชลี่ย์คะ ใกล้จะได้เวลาแล้วนะคะ" เสียงหวานใสตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง จากนั้นไม่นานก็ตามด้วยฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
เธอเคาะประตูห้องสามที ไม่ขาดไม่เกิน "ผมเสร็จแล้ว"
"ดีค่ะ ฉันเข้าไปนะคะ" เสียงประตูห้องถูกเปิดออก ร่างของเธอใกล้เข้ามา ก่อนจะสัมผัสเข้าที่ศอกผม "ไปกันเถอะค่ะ เด็ก ๆ เริ่มทยอยมากันแล้ว"
พวกเราเดินลงบันไดไป ผมได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวแตะเข้าที่โสตประสาทเข้าอย่างจัง อดขมวดคิ้วลงไม่ได้ เพราะอย่างนี้ไงผมถึงได้เกลียดวันเสาร์
"เด็ก ๆ จ๊ะ ครูแอชลี่ย์จะมาเล่าเรื่องสนุกให้ฟังแล้วนะ พร้อมกันหรือยังเอ่ย" คนข้างกายผมตะโกนแข่ง นั่นยิ่งทำให้ผมปวดหูเข้าไปใหญ่ เธอพยุงผมให้นั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ก่อนที่เด็กน้อยจะเงียบลง
"ที่บ้านของผมมีตุ๊กตาหมีสองตัว ตัวหนึ่งสวมชุดสีชมพู ตัวหนึ่งสวมชุดสีฟ้า แม่ยื่นมันให้แก่ผมตัวหนึ่ง อีกตัวให้น้องสาว ผมตั้งชื่อให้มันว่าบิ๊กแบรด ผมเอามันมานอนกอดในทุกคืน แม้แต่ตอนที่เริ่มไปโรงเรียนผมก็พกมันไปด้วย ในโรงเรียนนั้นผมมีเพื่อนเพียงคนเดียว นั่นก็คือเจ้าตุ๊กตาหมีนี่"
"ทำไมคุณถึงไม่มีเพื่อนล่ะครับ" เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากเบื้องหน้า
ผมกดริมฝีปากลง "ลองเดาสิ"
"เพราะคุณนิสัยไม่ดีเหรอ"
ผมพยักหน้าเบา ๆ "นั่นก็เป็นไปได้นะ" จากนั้นจึงยักไหล่ "แต่ผมไม่เคยรังแกใคร ไม่เคยแย่งขนมเพื่อนด้วย ผมดูเป็นคนไม่ดีเหรอ"
"ไม่เลยค่ะ หรือว่าเพราะว่าคุณมองไม่เห็นเหรอคะ"
"คุณเห็นผมแล้วอยากเป็นเพื่อนกับผมไหม" คราวนี้เสียงแตกออกเป็นสองสาย ทางหนึ่งอยาก อีกทางไม่
เสียงฝีเท้าเคลื่อนมาใกล้ แล้วสัมผัสแผ่วเบาก็แตะลงที่ฝ่ามือผม พร้อมกับน้ำเสียงปลอบโยน "คุณไม่ต้องกังวลนะคะ ไม่ว่าคุณจะมองเห็นหรือไม่ หนูก็อยากเป็นเพื่อนกับคุณค่ะ"
"เธอชื่ออะไร" ผมถามพลางดึงมือออกอย่างนุ่มนวล
"ทีน่าค่ะ" เด็กสาวตอบ
"ทีน่า…" ผมเรียกชื่อเธอ "คำว่าเพื่อนของเธอหมายความว่าอะไร"
เสียงของเธอเงียบหายไปนาน "ก็… คนที่กินข้าวด้วยกันตอนพักกลางวันไงคะ"
"อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นเราคงจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้วล่ะ เพราะผมไม่สามารถอยู่กินข้าวกับคุณได้ แต่ยังไงก็… ขอบคุณนะทีน่า" ผมผายมือเชิญเธอกลับไปนั่งที่เดิม "เอาล่ะ มาต่อกันเถอะ มีใครอยากลองทายอีกไหม"
คราวนี้ไม่มี… ผมจึงไม่ลังเลที่จะกล่าวต่อไป "สาเหตุที่ผมไม่มีเพื่อน… เพราะตุ๊กตาหมีตัวนั้นที่แม่ให้ผมมา" เสียงอุทานดังขึ้นในหมู่เด็ก ผมยกมือปราม "วันนั้นผมเดินชนเข้ากับเพื่อนคนหนึ่ง บิ๊กแบรดกระเด็นหลุดจากมือ ผมจึงก้มตัวลงควานหา แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะดังอยู่เหนือหัว"
ทั่วทั้งห้องเงียบสนิท ผมแอบได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของใครบางคน "ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบสีชมพู เพื่อนคนนั้นบอกแก่ผม ตอนนั้นผมถึงพึ่งตระหนักได้ว่าบิ๊กแบรดเป็นตุ๊กตาหมีที่สวมชุดสีชมพู ไม่ใช่สีฟ้าอย่างที่คาดไว้ พอแม่ผมมารับ ท่านรีบถามว่าทำไมผมจึงร้องไห้"
"ผมยังจำวันนั้นได้ดีทีเดียว ผมปาตุ๊กตาหมีใส่หน้าแม่ ตะโกนลั่นรถว่าผมเกลียดแม่ และสาธยายความเลวร้ายที่ท่านทำให้ผมไม่มีเพื่อน ทว่าสิ่งเดียวที่ท่านทำคือดึงผมเข้ามากอด"
"ลูกเกลียดแม่ เกลียดสีชมพู หรือเกลียดที่ถูกบังคับให้ไม่ชอบสีชมพูกันล่ะ นั่นคือคำที่ท่านถามผม"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in